กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 920.3 เพียงแต่ตนที่แก่ชราแล้ว
‘ชายชรา’ ที่ชื่อว่าจางเซียผู้นี้ แน่นอนว่าต้องเป็นจางหลิวจู้เค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิว
เพียงแต่ว่าหนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มนี้ คนหนึ่งไม่เหมือนกับเทพเซียนก่อกำเนิด อีกคนก็ไม่เหมือนรองเจ้ากรมของกรมโยธา
ตั้งแต่เมืองหลวงจนมาถึงท้องถิ่น ตลอดทางที่ผ่านมานับว่ายังดี อาหารรับรองตามจุดพักม้าตลอดทางที่ผ่านมา แค่ทำไปตามกฎของวงการขุนนางก็พอแล้ว เพียงแต่ว่าพอไปถึงที่ตั้งใหม่ของเมืองหลวงสำรองกลับต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันอย่างแท้จริงแล้ว อันที่จริงเรื่องของการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สอง ในนามนั้นเป็นเจ้ากรมโยธาของเมืองหลวงที่เป็นผู้นำ แต่ทุกวันนี้คนที่ดูแลอย่างแท้จริงกลับเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวาอย่างซืออวี้เหยียน
การสร้างนครในท้องถิ่น ศาลบุ๋นบู๊และศาลเทพอภิบาลเมือง การซ่อมแซมบูรณะศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ และยังมีการซ่อมถนนทางหลวง ศาลบูรพกษัตริย์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ในภูเขา ขอแค่คิดจะทำอะไรสักอย่างก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด แล้วดันบังเอิญมาเจอกับรองเจ้ากรมกลาโหมที่อยากจะลงมือทำอะไรบางอย่างจริงๆ
คนบางส่วนที่เดิมทีคิดจะฉวยโอกาสคว้ากำไรสักก้อนอย่างถูกต้องชอบธรรม พอมาเจอกับรองเจ้ากรมโยธาที่เชี่ยวชาญเรื่องการค้าเป็นอย่างดีเช่นนี้ก็ต้องปวดหัวอยู่มากเช่นกัน อายุไม่มาก แต่กลับเข้าใจกระจ่างชัดดี ตลอดทางที่รองเจ้ากรมหนุ่มผู้นี้เดินทางลงใต้ ท้องถิ่นหลายแห่งต่างก็เริ่มทำการแก้ไขบัญชีกันไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว แต่เดิมขอเงินจากราชสำนักมาหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ทุกวันนี้เป็นฝ่ายลดลงไปเหลือเจ็ดแปดพันตำลึง ศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งก็ยิ่งลดลงไปถึงครึ่ง
และทุกอย่างนี้ แน่นอนว่าต้องยกคุณความชอบให้กับกุนซือผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายซืออวี้เหยียนผู้นี้ ไม่อย่างนั้นซืออวี้เหยียนหรือจะเข้าใจเรื่องราคาและคุณภาพของไม้บนภูเขาพวกนั้น?
แต่กรอบป้าย กลอนคู่บางส่วนที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ ล้วนเป็นรองเจ้ากรมหนุ่มที่ใช้ความสัมพันธ์ควันธูปของบ้านตัวเอง บวกับคำชี้แนะอย่างลับๆ ของกุนซือเฒ่า บอกว่าสะบั้นเส้นทางการทำเงินของผู้อื่นคือข้อห้ามใหญ่หลวง จะต้องชดเชยให้พวเขาบ้าง กฎระเบียบในวงการขุนนางต้องรักษาเอาไว้ แต่ก็ไม่ขัดต่อการสานไมตรี แล้วนับประสาอะไรกับที่ในวงการขุนนาง หลายๆ ครั้งการให้หน้าได้ผลยิ่งกว่าให้เงินเสียอีก หนึ่งในนั้นมีตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ของจวนพ่อปู่ลำคลองที่ซืออวี้เหยียนถึงกับไหว้วานให้บิดาช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว เจ้ากรมผู้เฒ่าถึงได้บากหน้าไปขอน้ำหมึกจากวิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษาต้าฝู และจวนพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้ก็เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ร่ำร้องว่าตัวเองยากจนกับกรมโยธา ไม่ขอเงินส่งเดชจากกรมคลัง นี่จึงเป็นเหตุให้พ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ ที่ขึ้นชื่อว่านิสัยเจ้าอารมณ์ กระดูกแข็งไม่ไว้หน้าใครผู้นี้ ไม่ว่าเจอใครก็จะบอกว่ารองเจ้ากรมซือเป็นขุนนางน้ำใสคนหนึ่ง และยิ่งเป็นขุนนางผู้มีความสามารถ ข้าเลื่อมใสรองเจ้ากรมท่านนี้อย่างยิ่ง กองกำลังของแคว้นจะต้องรุ่งโรจน์ได้แน่นอน
จากลากันที่หอเติงหมีของเมืองหลวง จางหลิวจู้กับไต้หยวน พี่น้องร่วมทุกข์ยากสองคน ตอนแรกก็ต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมัน จากนั้นก็เริ่มทำตามแผนการของตัวเอง
จางหลิวจู้ที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งกลับไปที่เสี่ยวหลงชิวก่อน จัดการงานบางอย่างให้เรียบร้อย เพียงไม่นานก็ออกเดินทางไปเยือนราชวงศ์ต้าฉง สุดท้ายมาหาคนหนุ่มที่มีชื่อว่าซืออวี้เหยียน ใช้นามแฝงและสถานะปลอมๆ มาทำหน้าที่เป็นกุนซือคอยวางแผนให้กับรองเจ้ากรมโยธาที่อายุน้อยๆ แต่อยู่ในตำแหน่งสูงมากอำนาจผู้นี้อย่างมีความสุข
ชื่อของใต้เท้ารองเจ้ากรมไม่เลว มีความหมายว่ายึดมั่นในคุณธรรม อบรมปลูกฝังความประพฤติและคุณธรรม
เจ้ากรมอาญาได้ลูกชายมาตอนอายุมากตามแบบฉบับ แน่นอนว่าต้องรักและตามใจบุตรโทนผู้นี้จนแทบจะปีนขึ้นฟ้าแล้ว อะไรที่บอกว่าไม้เรียวทำให้ลูกกตัญญู เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้ว่าซืออวี้เหยียนจะมีสติปัญญาแต่ชอบอิสระเสรี แต่หากไม่พูดถึงเรื่องเหลวไหลเรื่องนั้น ในบรรดาลูกหลานขุนนาง ก็ถือว่าเขามีอนาคตก้าวหน้าเป็นอันดับหนึ่งมากแล้ว อาศัยความสามารถที่แท้จริงสอบติดจิ้นซื่อ เป็นลูกศิษย์ของโอรสสวรรค์อย่างจริงแท้แน่นอน
จางหลิวจู้ยิ้มตอบ “แน่นอนว่าข้าต้องถูกใจในความมีอนาคตก้าวหน้าอย่างที่มิอาจประเมินได้ของใต้เท้ารองเจ้ากรม”
ซืออวี้เหยียนยิ้มเอ่ย “เหล่าจางประโยคนี้ของเจ้ามีความจริงใจบ้างไหม? ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่?”
จางหลิวจู้เอ่ยอย่างหนักแน่น “แน่นอนว่าข้าเชื่อ!”
รองเจ้ากรมหนุ่มเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “หยอกข้าแรงเกินไปแล้วนะ!”
จางหลิวจู้ส่ายหน้า “ไยคุณชายต้องดูถูกตัวเองด้วย”
เป็นกุนซือที่คอยวางแผนอยู่เบื้องหลังให้กับรองเจ้ากรมหนุ่มผู้นี้ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ถึงขั้นต้องทำอย่างขอไปที หนึ่งเพราะเขาต้องการตำแหน่งราชครูที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังว่างอยู่ นอกจากนี้จางหลิวจู้ก็ถูกชะตากับรองเจ้ากรมหนุ่มที่เคยเป็นเสเพลแล้วกลับตัวเป็นคนดีซึ่งหายากยิ่งกว่าทองคำผู้นี้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรเจ้าซืออวี้เหยียนผู้นี้ ตอนที่รับหน้าที่เป็นหยวนไหว้หลางตัวเล็กๆ อยู่ในกรมคลังก็กล้าโยกย้ายเงินสามล้านตำลึงมาใช้เป็นการส่วนตัวเพียงเพื่อให้เทพธิดาที่ตัวเองถูกใจได้เลื่อนอันดับสูงขึ้นบนกระดานแยนจือ โยนเงินให้กับภูเขาฮวาเสินของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาทั้งหมด จนตัวเองเกือบหัวหลุดออกจากบ่า เดือดร้อนให้บิดาของเขาต้องตามเช็ดก้นให้ ทุบหม้อขายเหล็ก วิ่งโร่ยืมเงินไปทั่วก็ยังไม่อาจชดใช้หนี้ที่ติดค้างได้ทั้งหมด หากไม่เป็นเพราะฮ่องเต้เห็นแก่ที่เจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมอาญามีคุณความเหนื่อยยากสูง อีกทั้งผู้เฒ่ายังเป็นขุนนางผู้ประคับประคองมังกรที่รู้ใจเขาเป็นอับดับหนึ่ง ทั้งยังมีความสามารถด้านการปกครอง ไม่ใช่พวกขุนนางบุ๋นน้ำใสที่ดีแต่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ไม่อย่างนั้นคาดว่าบุตรชายคงทำให้บิดาแก่ๆ เดือดร้อนต้องไปกินข้าวแดงในคุกด้วยกันแล้ว
เรื่องราวเกิดเหตุพลิกผัน และยังเป็นเพราะซืออวี้เหยียนมิอาจทนเห็นบิดาแก่ๆ ถอนหายใจเฮือกๆ ด้วยความกลัดกลุ้มโดยที่ไม่ตีไม่ด่าเขา ราวกับว่าหมดอาลัยตายอยากไปแล้ว คิดเพียงว่าไม่เคยให้กำเนิดบุตรชายอย่างเขามาก่อน
มารดาก็ต้องคอยใช้น้ำตาอาบหน้ายามอยู่กับบิดา คอยพูดโน้มน้าวว่าต้องโทษที่ตัวเองอบรมสั่งสอนเขาไม่เข้มงวดมากพอ อันที่จริงอวี้เหยียนไม่ใช่คนเลวร้าย วันหน้าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ได้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าวันใดเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความรับผิดชอบแล้ว หนึ่งตระกูลก็อาจเจริญรุ่งเรืองเพราะมีเจ้ากรมถึงสองท่านเลยก็เป็นได้ อาศัยบุตรชายของพวกเราก็พอจะมีความหวังได้อยู่บ้าง พูดถึงแค่ในเมืองหลวงแห่งนี้ หลายปีมานี้เนื่องจากขาดแคลนขุนนางมากมาย คนดีและคนเลวปะปนกัน แต่ละคนต่างก็อาศัยคุณความชอบของบรรพบุรุษมาเป็นขุนนาง อีกอย่างมีลูกหลานของสหายร่วมงานบ้านไหนบ้างที่อาศัยความสามารถที่แท้จริงสอบติดเป็นจิ้นซื่อสองรอบ เดินไปบนเส้นทางของขุนนางน้ำใสอย่างอวี้เหยียนของพวกเรา…แต่รอกระทั่งสตรีมาหาบุตรชายเป็นการส่วนตัว นางกลับไม่ได้เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้แล้ว แค่บอกกับบุตรชายว่าไม่ต้องกลัว บิดาของเจ้ายังคงเป็นเจ้ากรมอาญา เป็นคนรู้ใจของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน ราชสำนักขาดใครไปก็ได้ มีเพียงขาดบิดาของเจ้าไม่ได้เด็ดขาด ทุกวันนี้ต้าฉงของพวกเรามีแค่บิดาของเจ้าเท่านั้นที่กล้าพูดเสียงดังน้ำเสียงแข็งกระด้างกับพวกนายท่านเทพเซียนบนภูเขาทั้งหลายเพื่อราชสำนักและเพื่อฝ่าบาท ไม่อย่างนั้นเจ้าลองดูเจ้ากรมหลิวของกรมพิธีการ และยังมีเจ้ากรมหม่าของกรมคลังสิ พวกเขาทำได้หรือ? แม้แต่จะผายลมก็ยังไม่กล้า เพียงแต่ต้องจำไว้นะว่าคำพูดพวกนี้ เป็นคำพูดส่วนตัวระหว่างพวกเราสองแม่ลูกเท่านั้น อย่าได้เอาไปพูดให้คนนอกฟัง ไม่อย่างนั้นบิดาของเจ้าจะวางตัวลำบากแล้ว…
ตอนนั้นซืออวี้เหยียนทนรับกับบรรยากาศเช่นนั้นไม่ไหวจริงๆ บิดาเห็นตนแล้วขัดหูขัดตา มารดาก็มักจะเห็นตนเป็นเด็ก ด้วยความโมโห คนหนุ่มจึงออกจากบ้านไปหาประสบการณ์เสียเลย ฟ้าดินกว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้ไม่รั้งนายท่านไว้ย่อมมีที่อื่นรั้งนายท่านไว้ ผลคือได้เจอกับคนรู้ใจแซ่โจวคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของแจกันสมบัติทวีป บอกว่าตัวเองมีฉายาว่าเปิงเลอะเจินจวิน ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งที่กล่าวถ้อยคำจริงใจเอาไว้ให้ซืออวี้เหยียน ซืออวี้เหยียนจึงรู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาตนยังไม่เคยเจอเพื่อนที่จริงใจคอยทักท้วงตัวเองเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีเงินเทพเซียนอีกสามเหรียญ พอกลับมาถึงเมืองหลวง ซืออวี้เหยียนถึงเพิ่งรู้ว่านั่นคือเงินฝนธัญพืชบนภูเขา ดังนั้นจึงสามารถชดเชยส่วนที่ขาดของคลังสมบัติกรมการคลังได้ครบถ้วนทันที
หลังจากนั้นมาก็เป็นซืออวี้เหยียนที่หวนกลับมายังวงการขุนนางอีกครั้ง แต่ไม่ได้กลับไปทำงานที่กรมคลัง เขากลับเลือกกรมโยธาอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง อีกทั้งยังเป็นหยวนไหว้หลาง วงการขุนนางของเมืองหลวงต่างก็นึกว่าเจ้าหมอนี่เตรียมจะหาเงินนอกรีตนอกรอยอีกครั้ง แต่ซืออวี้เหยียนกลับอยู่ในห้องเอกสารของกรมโยธาทั้งวัน ตั้งใจศึกษาการบูรณะซ่อมแซมไม้ดินและรูปแบบการก่อสร้างที่น่าเบื่อหน่ายพวกนั้นอย่างจริงจัง หลังจากผ่านไปนานเกือบครึ่งปี ก็เป็นฝ่ายเหมาเอางานยากลำบากมาทำ หยวนไหว้หลางหนุ่มยังถึงขั้นควักกระเป๋าตัวเองให้เพื่อช่วยหาคนมา พาพวกช่างประปา ช่างไม้เก่าแก่ที่อยู่ในตระกูลของตัวเองหลายคนออกจากเมืองหลวงไปด้วยกัน เหมือนอย่างที่พี่โจวคนนั้นพูด ไม่มีเหตุผลที่สามารถเป็นคุณชายเสเพลที่เก่งทุกด้านได้เป็นอย่างดี แต่กลับมิอาจเป็นขุนนางดีๆ ที่เป็นได้ง่ายที่สุดในใต้หล้าได้
ผลกลับดีนัก เมื่อก่อนตอนที่เป็นหัวโจกของกลุ่มคุณชายเสเพลและบุตรอกตัญญูของเมืองหลวง อย่างมากสุดบิดาก็แค่สั่งสอนด้วยความหวังดีสองสามประโยค จากนั้นค่อยถ่ายทอดเรื่องข้อพิถีพิถันและข้อห้ามบางอย่างในวงการขุนนางให้ฟัง รอกระทั่งซืออวี้เหยียนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำงานอย่างจริงจังแล้ว น้ำหนักลดลงไปตั้งสามสิบกว่าจินแล้ว มือเท้ามีแต่รอยด้านเต็มไปหมด บิดาของเขากลับไม่ชมเชยสักคำ หลายครั้งที่กลับไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองหลวง ก็ยังคงเรียกเขาคำแล้วคำเล่าว่าลูกทรพี ลูกอกตัญญูอยู่เหมือนเดิม
แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว
ทุกครั้งที่รองเจ้ากรมหนุ่มออกไปจากเมืองหลวง เจ้ากรมผู้เฒ่าจะต้องคอยเตือนบุตรชายว่าอย่าลืมกินให้อิ่มสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่น พูดซ้ำไปซ้ำมา ก็มีประโยคอยู่แค่ไม่กี่ประโยคนี้
ซืออวี้เหยียนส่ายหน้า “อย่าเห็นข้าเป็นคนโง่สิ ข้ารู้กฎระเบียบของบนภูเขาดีหรอกนะ เทพเซียนผู้เฒ่าที่ทะยานเมฆทะยานหมอกอย่างพวกเจ้า ต่อให้ลงจากภูเขามาคลุกคลีกับธุลีในโลกโลกีย์ คำว่าหาประสบการณ์ก็หนีไม่พ้นสี่คำว่าทรัพย์สินมิตรภาพวิชาคาถาและสถานที่ฝึกตนอย่างที่นิยายเรื่องเล่าประหลาดพูดถึง ดังนั้นตัวเลือกอันดับหนึ่งก็ต้องเป็นเหมือนอย่างอารามจีชุ่ยของราชวงศ์สกุลอวี๋ ไปเป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น มีฐานะเป็นขุนนางคนสำคัญ สถานะนั้นสูงศักดิ์จนมิอาจหาคำมาบรรยายได้ ส่วนข้อดีน่ะหรือ แน่นอนว่ามีมากมายไม่หมดไม่สิ้น อันดับที่สองก็คือเป็นผู้ถวายงานวงในของราชสำนัก คล้ายคลึงกับแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือ ช่วงชิงเอาป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาของสกุลซ่งต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายมาไว้ในมือ”
“นอกจากนี้ก็คือคล้ายคลึงกับขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่างขุนนางหลักของจังหวัดหรือผู้ตรวจการการขนส่ง เป็นเค่อชิงประจำตระกูล อีกทั้งท้องฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไกล ก็มีผลประโยชน์มากมายให้ฉกชิงมาเช่นกัน”
“หากว่าเป็นขุนนางของเมืองหลวง ต่อให้เป็นขุนนางหลักของหกกรมอย่างท่านพ่อของข้า ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอสรสสวรรค์ อย่างมากสุดก็ถือว่าเป็นขุนนางคู่คิดเท่านั้น แต่จะดีจะชั่วก็ถือว่ามีหน้ามีตา บางครั้งเจอกับเรื่องบางอย่างก็อาจจะยังช่วยพูดให้ได้ ส่วนอันดับสุดท้ายก็คือไปสวามิภักดิ์กับตระกูลชนชั้นสูงที่มีเส้นทางการทำเงินเป็นของตัวเอง มาหาข้า ข้าก็แค่รองเจ้ากรมโยธาที่ไม่มีน้ำร้อนน้ำชาให้ดื่ม เหล่าจาง เจ้าลองบอกมาสิว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“หากจะพูดถึงการเลื่อนขั้น แน่นอนว่าข้าต้องการ แต่หากจะพูดถึงเรื่องของความร่ำรวย ก็เลิกคิดเถอะ เหล่าจาง หากว่าวันนี้เจ้าไม่บอกมาตามตรง ข้าก็คงไม่กล้าเก็บเจ้าไว้ข้างกายแล้ว”
กุนซือผู้เฒ่าทอดถอนใจ “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าเหล่าจางก็คงไม่ปิดบังต่อไปแล้ว”
“บอกตามตรง ข้าคือสหายรักบนภูเขาของเปิงเลอะเจินจวินผู้นั้น เขาแซ่โจวนามโซ่ว คือ…ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ส่วนข้าก็เป็นเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของที่นั่นพอดี ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมข้าที่เป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบฝ่ายนอกของเสี่ยวหลงชิวถึงได้ไปเป็นเค่อชิงให้กับจวนเซียนของแจกันสมบัติทวีปได้ ในนี้มีเรื่องวกวนอ้อมค้อมบางอย่าง ตอนที่ข้ายังหนุ่ม ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ใช้ชีวิตอย่างเสรี เคยเดินทางข้ามทวีปไปเที่ยวเยือนแจกันสมบัติทวีป นครมังกรเฒ่า สำนักโองการเทพ ภูเขาเมฆาเรือง ล้วนเคยไปเยือนมาหมดแล้ว ก็เลยได้รู้จักกับพี่น้องโจว แม้จะบอกว่าตอนนั้นข้าเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต ทว่าผู้ฝึกตนของใบถงทวีปในเวลานั้น อยู่ในแจกันสมบัติทวีป หึหึ มีหน้ามีตามากนักล่ะ สามารถมองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งได้เลย ปีนั้นสหายโจวแยกจากกับเจ้าแล้วก็ได้ไปเที่ยวเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ตอนที่กลับคืนบ้านเกิดที่อยู่ทางเหนือก็ได้ตั้งใจไปหาข้าที่จวนวารีหวงสุ่ย เกลี้ยกล่อมข้าว่าต้นไม้ย้ายที่ตายคนย้ายที่รอด แทนที่จะอยู่ในจวนวารีอย่างไม่ได้รับความสำคัญ ทุกปีต้องทนอัดอั้นคับแค้นใจ ก็ไม่สู้มาหาเจ้า บอกว่ารู้จักคนหนุ่มผู้หนึ่งของราชวงศ์ต้าฉงชื่อว่าซืออวี้เหยียน มีปณิธานสูงส่งยาวไกล วันหน้าเป็นเจ้ากรมแห่งหนึ่งได้อย่างสบายๆ ก็เลยให้ข้ามาบริหารจัดการที่เมืองหลวงต้าฉงให้ดี ถือเสียว่ามาใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่นี่แล้ว”
ซืออวี้เหยียนฟังด้วยความตกตะลึง หักมุมวกวนจริงดังคาด ไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา!
เกี่ยวกับโจวโซ่วที่มีฉายาว่าเปิงเลอะเจินจวิน หลายปีมานี้ซืออวี้เหยียนแค่เล่าให้บิดาฟังคนเดียวเท่านั้น
บิดาบอกแค่ว่าคนผู้นี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางครึ่งๆ กลางๆ อะไรแน่นอน จะใช่คนของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่ยังบอกได้ยาก มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลก ถึงขั้นที่ว่าอาจเป็นเทพเซียนพสุธาที่สร้างโอสถทองได้คนหนึ่ง
อีกทั้งไม่รู้ว่าบิดาไปได้ข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งมาจากที่ไหน บอกว่าบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของบางสถานที่ในทวีปของเราก็มีเซียนซือบนภูเขาที่ใช้ฉายาว่าเปิงเลอะเจินจวินอยู่คนหนึ่งพอดี มือเติบใจป้ำ นอกจากฉายาที่เลื่องลือนี้แล้วยังชอบเรียกตัวเองว่า ‘เจียงซ่างเจินแห่งหลงโจว’ อีกด้วย
แต่ว่าทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปดูเหมือนจะมีจังหวัดหลงโจวอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ
ตอนนั้นซืออวี้เหยียนล่ะสงสัยยิ่งนัก ท่านพ่อท่านเป็นเจ้ากรมอาญาคนหนึ่ง ไปรู้เรื่องหยุมหยิมบนภูเขาพวกนี้มาจากไหน เจ้ากรมผู้เฒ่าจึงบอกว่าในกรมอาญามีเซียนซือผู้เฒ่าที่เป็นผู้ถวายงานอยู่คนหนึ่ง เป็นเพื่อนกันมานานหลายปีแล้ว เขามาจากภูเขาชื่ออี คือบรรพจารย์โอสถทองคนหนึ่งที่ไม่สนกิจธุระในสำนัก ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ถูกกับอดีตเจ้าสำนักเจียงแห่งสำนักกุยหยก ทุกครั้งที่ได้รับเงินเดือนจากทางราชสำนักก็จะต้องรีบเอาไปทุ่มให้กับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเพื่อด่าเจ้าโจรเฒ่าเจียงทุกครั้งโดยที่ฟ้าผ่าก็ไม่มีสะเทือน
แรกเริ่มที่เจ้ากรมผู้เฒ่าได้ยินเรื่องนี้ก็ตกใจสะดุ้งโหยง ไม่ว่าจะด้วยส่วนรวมหรือส่วนตัวก็จำต้องเปิดปากเอ่ยโน้มน้าวสหายบนภูเขาที่มีไม่มากผู้นี้ด้วยความหวังดี บอกว่าระวังอดีตเจ้าสำนักเจียงจะมาหาถึงบ้านล่ะ ด้วยตบะโอสถทองเล็กๆ ของเจ้า ภูเขาชื่ออีจะไม่ต้องแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมา แล้วยังต้องเดือดร้อนให้ราชสำนักของพวกเราติดร่างแหไปด้วยหรอกหรือ
แต่สหายเฒ่าคนนั้นกลับโบกมือเป็นวงกว้าง พูดจาน่าเชื่อถือว่าเจ้าโจรเฒ่าเจียงผู้นั้นเป็นพวกบ้าตัณหา ชีวิตนี้ชอบแค่นอนแนบติดใต้กระโปรงสตรีเพื่อชมทัศนียภาพเท่านั้น
ยังบอกอีกว่าพรรคของพวกเขา แม้ว่าตบะและขอบเขตของตัวเขาเองจะไม่ถือว่าสูง แต่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในการด่าเจ้าโจรเจียง ดังนั้นจะต้องอยู่ในอันดับที่สาม นอกจากเจ้าประมุขพรรคแล้วก็เป็นรองแค่เปิงเลอะเจินจวินที่ใช้เงินมือเติบเท่านั้น
แม้แต่เปิงเลอะเจินจวินเองยังเลื่อมใสเขาอย่างมาก บอกว่าเข้าขั้นชำนาญสุดยอดแล้ว เปิงเลอะเจินจวินยังบอกว่าหากไม่ใช่เพราะตนต้องอาศัยเงินเหม็นๆ หากว่ากันตามมโนธรรมในใจแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเป็นเจ้าที่ได้อยู่ในอันดับที่สอง
ได้ยินเปิงเลอะเจินจวินพูดอย่างนี้ เซียนซือผู้เฒ่าก็ผ่อนคลายสบายอารมณ์ทันที จะที่สองหรือที่สาม แย่งชิงชื่อเสียงจอมปลอมกันเพื่ออะไร ถึงอย่างไรทุกคนก็ล้วนอาศัยความสามารถในการด่าเจียงซ่างเจินทั้งสิ้น…
ซืออวี้เหยียนไม่สนใจบุญคุณความแค้นบนภูเขาที่ลี้ลับมหัศจรรย์อะไรพวกนั้นแม้แต่น้อย แต่เสี่ยวหลงชิวที่เหล่าจางอยู่ก่อนหน้านี้มีเทพธิดาเด็กสาวอายุไม่มากคนหนึ่งนามว่าลิ่งหูเจียวอวี๋ ซืออวี้เหยียนรู้จักนางไม่น้อย ช่วยไม่ได้ นังหนูผู้นี้ช่วงชิงอันดับกับเทพธิดาในใจของตนผู้นั้น
——