กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 920.4 เพียงแต่ตนที่แก่ชราแล้ว
ทุกวันนี้สำหรับสถานเริงรมย์และนารี ซืออวี้เหยียนไม่มีความคิดอะไรอีกแล้ว บางครั้งมีสหายที่เมืองหลวงเชื้อเชิญก็จะไปดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่บ้างสองสามครั้ง แต่ก็แค่ไปร่วมให้การสนับสนุนด้วยเท่านั้น
อายุยังไม่ทันถึงสามสิบปีก็กลายเป็นรองเจ้ากรมหนุ่มที่มีสถานะสูงศักดิ์อยู่ในราชสำนักแล้ว ความคิดเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ก็คงจะเป็นสามคำนี้
เคยหนุ่มมาก่อน
บนแม่น้ำที่ห่างไปไกลมีเรือเล็กลำหนึ่งมาจอดเทียบท่า มีหญิงชาวเรือคนหนึ่งนั่งหลังตรงยกมือรวบผม
ซืออวี้เหยียนมองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่เป็นไร ส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นก็มากพอจะทำให้เจริญหูเจริญตาแล้ว
ต่างคนต่างดึงสายตากลับคืนมา เซียนซือผู้เฒ่ากับขุนนางหนุ่มหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงเสียด้วย
อยู่ดีๆ ซืออวี้เหยียนก็ทอดถอนใจอย่างไร้สาเหตุ “ตลอดทางที่ติดตามข้ามานี้ ในที่สุดก็มองออกแล้ว เหล่าจางเจ้าทั้งสง่างามก็ได้ หรือจะให้สามัญธรรมดาก็ได้ ความลำบากก็ทนรับได้ไหว ความสุขก็ดื่มด่ำเป็น หากว่าเทพเซียนบนภูเขาล้วนเป็นอย่างเจ้าก็คงทำให้ข้าอิจฉาอย่างมากจริงๆ ไม่แน่ว่าวันใดเป็นขุนนางได้ไม่สมดั่งใจก็อาจจะติดตามเจ้าขึ้นเขาไปฝึกตนก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นเจ้าอย่างรังเกียจว่าข้าคุณสมบัติแย่ล่ะ”
จางหลิวจู้ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ราชวงศ์ต้าฉงมีซืออวี้เหยียนเป็นขุนนางจะดีกว่าซืออวี้เหยียนที่ขึ้นเขาไปฝึกตนมากนัก”
ซืออวี้เหยียนหันหน้ามาถาม “มีความมั่นใจในตัวข้าขนาดนี้เชียวหรือ?”
จางหลิวจู้พยักหน้า “แน่นอนว่ามั่นใจ อีกทั้งยังมั่นใจในสายตาของตัวข้าเอง และสายตาของพี่โจวด้วย”
มารดามันเถอะ ในที่สุดตอนนี้จางหลิวจู้ก็ขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออกแล้ว โจวโซ่ว (ผอม) โจวเฝย (อ้วน) อะไรนั่น เห็นชัดๆ ว่าเป็นเจียงซ่างเจินที่ปรากฏตัวหน้าประตูของภูเขาไท่ผิงพร้อมกับเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้น!
ส่วนเจ้าคนที่มาจากภูเขาเซียนตู เรียกตัวเองว่าชุยตงซาน ก็เห็นได้ชัดว่าจงใจโยนตนมาอยู่ข้างกายซืออวี้เหยียน เวลานี้ก็ไม่รู้ว่าไปหลบรอดูเรื่องสนุกอยู่ตรงไหนแล้ว
นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่าหยอกข้าแรงเกินไปแล้ว!
ผลคือท้ายทอยของจางหลิวจู้ถูกฝ่ามือหนึ่งตบลงมาทันที จากนั้นก็ถูกเด็กหนุ่มชุดขาวที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับรัดคอของก่อกำเนิดเฒ่าอย่างแรง “บอกข้ามาตามตรง ในใจกำลังพูดจาไม่ดีถึงข้าอยู่ใช่หรือไม่?!”
ซืออวี้เหยียนหันหน้ามามอง เอ่ยอย่างตกตะลึง “ท่านผู้นี้คือ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มเอ่ย “ข้าแซ่ชุย ทุกวันนี้คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ เพิ่งจะเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ มาพบสหายเก่าคนหนึ่ง แน่นอนว่าข้าก็ยิ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานของโจวอันดับหนึ่งด้วย”
……
หอเซียนจิ่วเจินแห่งราชวงศ์ต้ายง ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ศาลาหลังเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำ น้ำในบ่อใสกระจ่าง ก้นบ่อเห็นปลาแหวกว่าย มองปราดๆ พอจะนับจำนวนได้
สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก แม้แต่ลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์ก็ยังมิอาจเข้าใกล้ที่แห่งนี้
เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวสวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะ กำลังเปิดอ่านรายงานเก่าสองฉบับ
หลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขา ก่อนหน้านี้คิดสารพัดวิธีเพื่อหาข้ออ้างออกไปท่องหาประสบการณ์ข้างนอก แต่เนื่องจากได้ฉายาอันไพเราะว่า ‘หลี่กระดอนน้ำ’ มาจากเกาะยวนยาง คาดว่าภายในเวลาหกสิบปีนี้คงไม่ค่อยยินดีอยากจะเผยโฉมเท่าไรแล้ว
สตรีอายุน้อยคนหนึ่งเดินนวยนาดตรงมา รูปโฉมของนางมองดูคล้ายคนอายุเกินสิบห้าแต่ไม่ถึงยี่สิบ ไม่ประทินโฉม ใบหน้าดุจดอกท้อ สวมเสื้อแพรต่วนสีขาวกระโปรงสีเขียว รูปโฉมเฉิดฉันชวนให้คนหวั่นไหว
นางมีชื่อว่าเว่ยจื่อ คือคนรักบนภูเขาของอวิ๋นเหมี่ยว นางเองก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง
อวิ๋นเหมี่ยววางรายงานขุนเขาสายน้ำลง เงยหน้าถามว่า “มีความคืบหน้าบ้างไหม?”
เรื่องบางอย่างเปิดเผยไม่ค่อยได้ เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน คนรักทั้งสองจึงไม่ได้ใช้กระบี่บินแจ้งข่าวให้แก่กัน
เว่ยจื่อคลี่ยิ้มหวาน “ราบรื่นมาก หากไม่เป็นเพราะศาลบุ๋นมีกฎอยู่ คิดจะเปลี่ยนใต้เท้าเจ้าสำนักของพวกเราคนนั้นให้เป็นหุ่นเชิดก็ไม่ยากเลย พูดถึงแค่เรื่องของการปิดภูเขาก็ต้องทำได้อย่างผีไม่รู้เทพไม่เห็นแน่นอน”
บรรพบุรุษของหอเซียนจิ่วเจินเคยร่ำรวยมาก่อน ระบบสืบทอดที่ถ่ายทอดต่อกันมาจึงยิ่งใหญ่น่าดูชม พรรคยันต์ พรรคกระถางโอสถ โองการคำเขียว ชีพจรมังกรการก่อตั้งสุสาน ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ต่างก็มีการสืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น และคนรักของอวิ๋นเหมี่ยวผู้นี้ก็มีโชควาสนาที่ดีเยี่ยม ได้ครอบครองพื้นที่มงคลขนาดเล็กที่ปริแตกแห่งหนึ่งซึ่งมีปราณชั่วร้ายเข้มข้น คือพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่ผู้ฝึกตนผีในใต้หล้าปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน และนางเองก็อาศัยเวทลับบรรพกาลหลายบทในพื้นที่ลับแห่งนั้น ปีนั้นจึงเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองที่เดิมทีไร้ความหวังจะเป็นก่อกำเนิด หันมาฝึกตนวิถีผี จึงฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่
อวิ๋นเหมี่ยวจ้องนาง เอ่ยเตือนว่า “จะทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
นางยืดแขนบิดขี้เกียจ “ละแล้ว ละแล้ว”
คำว่า ‘ละแล้ว’ คือภาษาถิ่นบ้านเกิดของนาง
สำนักที่หนันกวงจ้าวอยู่ รากฐานทรัพย์สมบัติเกินครึ่งล้วนอยู่บนร่างของบรรพจารย์ขอบเขตบินทะยานคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตฃ สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน เงินเทพเซียน ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ในบรรดากลุ่มของลูกศิษย์ผู้สืบทอด ทั้งๆ ที่ไม่ขาดแคลนลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติไม่เลว แต่ถึงเวลาเข้าจริงๆ หนันกวงจ้าวกลับประคับประคองผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบขึ้นมาแค่คนเดียว ให้เป็นเจ้าสำนักหุ่นเชิดที่เป็นหมอนปักลายบุปผา
ผลคือต่อให้เป็นเช่นนี้ หนันกวงจ้าวก็ยังต้องตายไป อีกทั้งตายไปอย่างที่เหนือการคาดคิดของทุกคนอย่างมาก
นอกจากหนันกวงจ้าวที่ศีรษะและร่างกายแยกจากกันตรงหน้าประตูภูเขาแล้ว ยังมีตัวอักษรที่แกะสลักด้วยปราณกระบี่อันเฉียบคมอีกประโยคหนึ่ง ‘ผู้ที่สังหารหนันกวงจ้าว คือผู้ฝึกกระบี่หาวซู่แห่งพื้นที่มงคลหลิงส่วง’
หาวซู่?
ตอนนั้นแทบจะทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้คือใคร และสามารถสังหารผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้อย่างไร
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่โผล่มาจากไหน? แล้วเหตุใดถึงได้ไร้ชื่อเสียงเช่นนี้?
ต้องรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนั้นมีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานตายไปคนหนึ่ง ทว่าทางสำนักกลับไม่ทันจะลงมือห้ามปราม การเข่นฆ่าตัวต่อตัวก็ปิดฉากลงแล้ว
อีกทั้งเมื่อบรรพจารย์ผู้เฒ่าอย่างหนันกวงจ้าวจากไป ก็ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่กายดับมรรคาสลายเท่านั้น วัตถุจื่อชื่อหลายชิ้นที่อยู่บนร่างล้วนถูกแสงกระบี่ทำลายไปสิ้นพร้อมๆ กัน นี่หมายความว่าสมบัติของสำนัก อย่างน้อยที่สุดก็หายไปทีเดียวเกินครึ่ง
คลังสมบัติของสำนัก ต่อให้มีการป้องกันเข้มงวดแค่ไหน ไหนเลยจะเชื่อถือได้เท่าผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งพกเอาไว้กับตัวเอง?
เดิมทีบรรพจารย์ผู้เฒ่าหนันกวงจ้าวก็ไม่ได้ใจคนอยู่แล้ว ก่อกำเนิดเฒ่าที่มีแต่คุณสมบัติการฝึกตน ทว่าขอบเขตกลับหยุดชะงักนิ่งพวกนั้นรู้สึกไม่พอใจเขามานานมากแล้ว ดังนั้นรอกระทั่งหนันกวงจ้าวกายดับมรรคาสลาย จิตใจคนของสำนักแห่งหนึ่งจึงแตกฉานซ่านเซ็นทั้งอย่างนี้ พวกผู้ถวายงาน เค่อชิงได้อาศัยการส่งข่าวผ่านกระบี่บินมาตัดขาดความสัมพันธ์กับทางสำนักนานแล้ว แม้แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์บางคนก็ยังแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ต่างคนต่างมีแผนสูงเป็นของตัวเอง สรุปก็คือเมื่อก่อนหนันกวงจ้าวมีเงินแต่ไม่ยอมจ่ายเงินให้คนอื่น สำนักทุกวันนี้จึงไม่มีเงินจริงๆ แล้ว
ดังนั้นรอกระทั่งเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวลงมือ ในนามบอกว่าเป็นการสานสัมพันธ์เป็นพันธมิตร แต่แท้จริงแล้วก็เท่ากับว่าสำนักได้กลายมาเป็นภูเขาใต้อาณัติที่ต้องพึ่งพาหอเซียนจิ่วเจินแล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าขอบเขตหยกดิบผู้นั้นไม่กลัวจะชักศึกเข้าบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการกระทำด้วยความจนใจเพราะต้องเจอกับอันตรายทั้งสองทางจึงได้แต่เลือกทางที่มีอันตรายน้อยกว่า หากปฏิเสธหอเซียนจิ่วเจิน สำนักบ้านตนก็จะต้องพินาศอย่างแท้จริงแล้ว
ต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว กระดูกของเขาแข็งมากพอ ใช้ฐานะเจ้าสำนักปฏิเสธข้อเสนอของอวิ๋นเหมี่ยว นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ อูฐตายถึงอย่างไรก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องก่อกำเนิดทั้งหลายมีความโมโหโกรธาสูงเทียมฟ้า ได้เริ่มวางแผนลับๆ กันแล้วว่าควรจะช่วงชิงบัลลังก์แล้วค่อยแบ่งทรัพย์สมบัติให้หมดสิ้นกันอย่างไร!
ดูเหมือนนางจะนึกเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงปิดปากหัวเราะคิกคัก งดงามมีเสน่ห์ กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางใช้นิ้วปาดหางตาเบาๆ สุดท้ายเลียนแบบน้ำเสียงของเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบเอ่ยประโยคที่มาจากใจจริงยามที่ผู้ฝึกตนเฒ่าอยู่เพียงลำพังว่า “มารดามันเถอะ นอกจากข้าผู้อาวุโสแล้ว นับตั้งแต่อาจารย์จนถึงเพื่อนร่วมสำนัก ล้วนมีแต่พวกที่คานบนไม่ตรงคานล่างเอียงกันทั้งนั้น”
อวิ๋นเหมี่ยวได้ยินก็เพียงแค่ยิ้มรับ
อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของอวิ๋นเหมี่ยว หรือก็คือเจ้าสำนักคนก่อนของหอเซียนจิ่วเจิน เคยเป็นสหายรักบนภูเขากับหนันกวงจ้าว ก่อนที่ผู้ฝึกตนเฒ่าทั้งสองจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็มักจะออกเดินทางด้วยกันบ่อยๆ ทั้งสองฝ่ายแทบจะเรียกได้ว่าตัวติดกันเป็นเงา เนื่องจากตอนที่อาจารย์ของอวิ๋นเหมี่ยวเป็นขอบเขตเดียวกันกับหนันกวงจ้าวนั้นเป็นเหมือนลูกสมุนของอีกฝ่ายมาโดยตลอด เป็นเหตุให้ในกลุ่มของผู้ฝึกตนบนยอดเขาของแผ่นดินกลางมีคำพูดเสียดสีที่ว่าเขาก็คือ ‘เงา’ ของหนันกวงจ้าวอยู่เสมอ
ทุกวันนี้ถือว่าลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
ในมือของอวิ๋นเหมี่ยวไม่มีหลิงจือหยกขาวที่มักจะพกติดตัวอยู่ตลอดชิ้นนั้นอีกแล้ว จึงเปลี่ยนมาใช้แส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะแทน
คนรักที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เคยเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์ ปีนั้นอวิ๋นเหมี่ยวสามารถอาศัยขอบเขตหยกดิบรับช่วงต่อตำแหน่งเจ้าหอได้ อีกทั้งยังนั่งครองตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง นางก็คือคนที่แอบออกแรงไปเยอะมาก
เพราะเมื่อหลายปีก่อนนางเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้อย่างราบรื่น เป็นเหตุให้หอเซียนจิ่วเจินมีเซียนเหรินสองคนคู่บำเพ็ญตนหนึ่งคู่
ราชวงศ์สกุลชุยของต้ายง นับแต่โบราณมาก็มีธรรมเนียมทัดบุปผากันทั้งแคว้น มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผา
ในนี้ก็มีข่าวอย่างหนึ่งที่เผยแพร่อยู่แค่บนยอดเขา บอกว่าฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์ต้ายงเคยสกัดขวาง ‘มรสุม’ ครั้งหนึ่งให้กับพื้นที่มงคลร้อยบุปผา
หอเซียนจิ่วเจินนั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่งของจวนเซียนบนภูเขาแห่งราชวงศ์ต้ายงได้อย่างมั่นคง น่าเสียดายที่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้ายงยังมีสกุลซ่งจัวลู่ที่กองกำลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าหอเซียนจิ่วเจินอยู่ด้วย
หลังจากที่อาจารย์ของอวิ๋นเหมี่ยวแห่งหอเซียนจิ่วเจินจากโลกนี้ไป ก็ได้ค่อยๆ ตกไปเป็นผู้อยู่ใต้อาณัติของสกุลซ่ง
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ช่วงเวลาที่หอเซียนจิ่วเจินรุ่งโรจน์ที่สุด หากรวมอาจารย์เข้าไปด้วยก็มีหนึ่งบินทะยานหนึ่งเซียนเหรินสามหยกดิบ บวกกับผู้ถวายงานและเค่อชิงอีกสี่ท่าน ในศาลบรรพจารย์ก็ได้ครอบครองผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนถึงเก้าคนในเวลาเดียวกัน!
อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจึงถือเป็นสำนักชั้นสูงอย่างสมชื่อ
ทุกๆ สิบปี สกุลซ่งจัวลู่จะต้องส่งลูกศิษย์และลูกหลานในตระกูลของตัวเองกลุ่มหนึ่งให้มาฝึกตนอยู่ที่นี่ เวลานั้นไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์คนใดก็ตามของหอเซียนจิ่วเจินที่ไปเยือนพื้นที่มงคลร้อยบุปผา มีใครบ้างที่ไม่ใช่แขกผู้สูงศักดิ์?
เว่ยจื่อถาม “ทางฝั่งของสำนักกระบี่เหมยซาน?”
อวิ๋นเหมี่ยวส่ายหน้า “ไม่ต้องคิดมากแล้ว เดี๋ยวจะเป็นการวาดงูเติมขาเสียเปล่า”
สวี่ซินย่วนแห่งสำนักกระบี่เหมยซาน หลานสาวสายตรงของเจ้าสำนัก อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของบรรพจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่ง และนางก็ยิ่งได้รับความสำคัญจากเจ๋อเซียนซานหลิ่วโจว เดิมทีอวิ๋นเหมี่ยวคิดว่าจะให้หลี่ชิงจู๋กับสวี่ซินย่วนผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากัน สองสำนักแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ พยายามเก็บเอาสำนักกระบี่เหมยซานมาเป็นของในกระเป๋าของตัวเองภายในเวลาสามร้อยห้าร้อยปี ตอนนี้อวิ๋นเหมี่ยวกลับไม่เหลือความคิดนี้อีกแล้ว
เว่ยจื่อเหลือบตามองโต๊ะน้ำชา ยิ้มเอ่ย “ทำไมถึงยังอ่านรายงานสองฉบับนี้อยู่อีก ไม่เบื่อบ้างหรือ?”
รายงานขุนเขาสายน้ำสองฉบับนี้มาจากสำนักซานไห่
อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มกล่าว “คนนอกไม่รู้ก็ช่างเถิด แต่เจ้าไยต้องถามเช่นนี้”
เว่ยจื่อหุบยิ้ม ถามอย่างระมัดระวังว่า “หากวันใดคนบางคนมาเป็นแขกที่หอเซียนจิ่วเจินล่ะ?”
ไม่รู้ว่าเหตุใด พอคิดถึงคนผู้นี้ เว่ยจื่อก็มีความรู้สึกหวาดผวาไม่คลายอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในฐานะยอดฝีมือผู้ฝึกตนผีขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง เว่ยจื่อเชื่อว่าต่อให้ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็ยังไม่มีทางรู้สึกเช่นนี้ และสภาพจิตใจที่แปลกประหลาดนี้ เว่ยจื่อก็ไม่เคยบอกกล่าวกับคนรักอย่างอวิ๋นเหมี่ยว ราวกับว่าเป็นปมในใจอย่างหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
อวิ๋นเหมี่ยวเงียบไม่ตอบคำถาม
ศึกบนเกาะยวนยาง เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวต่อสู้กับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ไม่รู้สถานะผู้นั้นโดยผลัดกันรุกผลัดกันรับ แรกเริ่มทุกคนยังคิดว่าดูเป็นเรื่องสนุกครั้งหนึ่ง รอกระทั่งรู้ว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นถึงกับเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีการต่อสู้ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า กลายเป็นว่าหอเซียนจิ่วเจินกับเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวได้สร้างวีรกรรมที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ครั้งหนึ่ง บอกว่าไม่ใหญ่ เพราะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งต่อสู้เอาจริงเอาจังกับเซียนเหรินคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับการประลองเวทคาถาบนยอดเขาของสองบินทะยานอย่างนักพรตเนิ่นและหนันกวงจ้าวในภายหลังได้ บอกว่าไม่เล็กก็เพราะเซียนกระบี่ชุดเขียวคืออิ่นกวาน
แต่อวิ๋นเหมี่ยวกลับรู้สึกว่าน้ำหนักของคำว่า ‘ยอดเขา’ ของการต่อสู้ในภายหลังนั้น เมื่อเทียบกับตนแล้วก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ระดับความอันตรายระหว่างนั้นมิอาจมีคุณสมบัติพอที่จะยกมาเปรียบเทียบกับการต่อสู้ของตนได้เลย
วีรกรรม?
แน่นอนว่าใช่!
ข้าอวิ๋นเหมี่ยวที่อยู่บนเกาะยวนยางเท่ากับว่าได้ถามมรรคากับอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวครั้งหนึ่ง!
พวกเจ้าที่ชมเรื่องสนุกจะไปรู้กะผายลมอะไร
อวิ๋นเหมี่ยวเหลือบมองรายงานที่อยู่บนโต๊ะน้ำชา ด้านบนเขียนการกระทำที่ต่อเนื่องกันเป็นชุดของอิ่นกวานหนุ่มในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
อาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวคือผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่จริงดังคาด
รู้สึกเสียดายเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่พูดถึงความจริงที่กระจ่างชัดอยู่ในสองทวีป เชื่อว่าทุกวันนี้จะต้องมีคนฉลาดบางส่วนที่รู้เรื่องนี้เหมือนกับตนแล้ว
ไม่อย่างนั้นหากมีแค่อิ่นกวานหนุ่มที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนเดียวจะสามารถสร้างเรื่องตะลึงพรึงเพริดต่อเนื่องเป็นระยะอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้จริงหรือ?
ความลับบางอย่างก็เหมือนตำราเล่มหนึ่ง เนื่องจากชอบและทะนุถนอมมากเกินไป จึงกลับกลายเป็นว่าไม่ยินดีจะให้คนอื่นได้ยืมอ่าน
หากว่า ‘อิ่นกวานหนุ่ม’ ผู้นั้นให้เกียรติมาเยือนหอเซียนจิ่วเจินจริงๆ อวิ๋นเหมี่ยวย่อมยินดีที่จะแสดงละครร่วมกับเจิ้งจวีจงอีกครั้ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์เจิ้งจะยอมให้เขาอวิ๋นเหมี่ยวไม่ยินดีหรือ?
เมื่อเทียบกันแล้ว อวิ๋นเหมี่ยวก็รู้สึกจากใจจริงว่าขอบเขตและสติปัญญาของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไปจริงๆ
อุตรกุรุทวีป อาณาเขตของศาลซานหลาง
ร้านขายอาวุธแห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด พูดถึงแค่เบาะรองนั่งที่ศาลซานหลางสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีลับ ทั่วทั้งทวีปมีจวนเซียนแห่งใดบ้างที่ไม่มีติดไว้สักสองสามชิ้น?
ส่วนเสื้อเกราะหลิงเป่าที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ไม่ได้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เท่าเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร แต่เหนือกว่าตรงที่ราคาถูก เป็นของดีที่ราคาหาซื้อได้ง่าย
อีกทั้งผู้ฝึกตนสำนักการทหารของศาลซานหลางที่เชี่ยวชาญการหล่อหลอมก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบการต่อสู้ อีกทั้งยัง…สู้ได้เก่ง
ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งมีบุรุษวัยกลางคนเรือนกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่พอทำงานในมือเสร็จแล้วก็เดินไปบนถนนที่ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่เพียงลำพัง เจอกับพวกผู้ฝึกลมปราณที่ตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร ข้าผู้อาวุโสคือราชาแห่งสวรรค์จงเปิดทางให้ข้าแต่โดยดีทั้งหลาย บุรุษก็จะเดินอ้อมไปสองก้าว สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมตัวหนา สวมหมวกขนสัตว์ใบเก่า ก้มหน้าเป่าลมใส่มือ สุดท้ายก็เดินมาถึงตรอกเล็กแห่งหนึ่ง คือร้านอาหารขนาดเล็กที่คุ้นเคย เห็นว่าด้านในร้านไม่มีที่ว่าง บุรุษก็ยืนเอามือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวยืนรออยู่ในตรอกเล็กนอกประตูด้วยความเคยชิน
——