กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 920.5 เพียงแต่ตนที่แก่ชราแล้ว
กว่าจะรอจนมีที่นั่งว่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือมีลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนพอดี บุรุษร่างสูงใหญ่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ยกมือขึ้นกำลังจะขยับปาก แต่ก็วางมือลงอย่างรวดเร็ว ในบรรดาลูกค้าที่ชิงตัดหน้าเดินเข้าร้านไปก่อนนั้น มีคนผู้หนึ่งเดินข้ามธรณีประตูไปแล้วยังจงใจหันหน้ามามองชายฉกรรจ์ที่อยู่หน้าร้าน บุรุษร่างสูงใหญ่จึงคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปกดหมวกขนสัตว์ ไม่ถือสาอะไร แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่กล้าถือสาเสียมากกว่า
รออยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง บุรุษมองไปทางปากซอยแล้วกวักมือตะโกนเรียก “เสี่ยวเซวียน ทางนี้”
เด็กหนุ่มบ่น “ท่านลุงหลิ่ว ไอ้ข้าก็หาอยู่ตั้งนาน ทำไมท่านถึงได้เลือกร้านเล็กๆ ที่ข้าไม่รู้จักเช่นนี้ล่ะ”
เด็กหนุ่มที่ถูกชายฉกรรจ์เรียกว่าเสี่ยวเซวียนสวมชุดคลุมอาคมสีทองเข้ม และข้างกายเด็กหนุ่มก็ยังมีผู้ติดตามมาด้วยอีกสองคน ผู้เฒ่าที่รูปร่างผอม สวมชุดคลุมตัวยาวสีดำ ผู้เฒ่าเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่หน้าประตูร้านอาหารก็ยิ้มพลางผงกศีรษะทักทาย ทั้งสองฝ่ายเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วยกันทั้งคู่ การที่ตนสามารถสวามิภักดิ์กับศาลซานหลางได้ ปีนั้นยังต้องยกคุณความชอบให้กับการช่วยสนับสนุนลับๆ อย่างเต็มกำลังของตระกูลอีกฝ่าย
ส่วนผู้ติดตามหญิงนั้นสะพายธนูพกดาบ อายุสี่สิบกว่าปี แต่รูปโฉมมองดูแล้วยังอ่อนเยาว์อยู่มาก สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแล้ว นางถือว่าอายุน้อยมากแล้ว
ชายฉกรรจ์เดินเร็วๆ ไปข้างหน้า กุมหมัดยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่หลิว แม่นางฝาน”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มรับ “น้องหลิ่ว”
สตรีแซ่ฝานรีบกุมหมัดคารวะกลับคืนทันใด “คารวะเซียนกระบี่หลิ่ว”
ใบหน้าชายฉกรรจ์ฉายแววอ่อนใจ “ด่าคนหรืออย่างไร? เรียกข้าว่าลุงหลิ่วตามเสี่ยวเซวียนก็พอแล้ว”
สตรีหัวเราะ อีกฝ่ายเกรงใจ แน่นอนว่านางมิอาจไม่รู้มารยาทเช่นนั้นได้
เพราะถึงอย่างไรชายฉกรรจ์ที่มองดูเหมือนทึ่มทื่อผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงมานานแล้วคนหนึ่ง อีกทั้งยังเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน น่าเสียดายที่ไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตเป็นหยกดิบที่นั่นได้
เด็กหนุ่มทอดถอนใจ “ท่านลุงหลิ่ว ไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้วนะ”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน ไม่ถึงยี่สิบปี ไม่นับเป็นอะไรได้”
ท่านลุงหลิ่วผู้นี้ ตอนที่หยวนเซวียนยังเด็กก็ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
การที่เขาจดจำได้อย่างลึกซึ้งก็เป็นเพราะผู้อาวุโสจากหลัวหม่าเหอท่านนี้ไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่แม้แต่น้อย
ไม่เหมือนผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเลยสักนิด แล้วก็ไม่เหมือนคนมีเงินเลยสักนิด!
ในร้านเล็กๆ มีโต๊ะว่างพอดี ชายฉกรรจ์จึงเดินนำทุกคนเข้าไป เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลนคือมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยฝึกตน แน่นอนว่ามิอาจจำแขกที่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเคยแวะมาอุดหนุนที่ร้านแล้วครั้งหนึ่งได้
เพียงไม่นานก็มีคนจำเด็กหนุ่มได้ ลูกค้าที่แย่งโต๊ะก่อนหน้านี้สังเกตเห็นว่าชายท่าทางขี้ขลาดได้นั่งร่วมโต๊ะกับหยวนเซวียนก็รีบโยนเงินทิ้งไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผ่นแนบไปทันที
เจ้าไม่ตีข้า ข้าก็ไม่เอ่ยขออภัย ทั้งสองฝ่ายทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าพูดมากผิดมากก็โดนซ้อมมาก
หยวนเซวียนยิ้มถาม “เคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือ?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
หยวนเซวียนบ่น “ก่อนข้าจะออกจากบ้าน ท่านปู่ทวดยังพูดถึงท่านอยู่เลยนะ บอกว่าท่านไม่รู้จักมารยาท มีใครเขาทิ้งของขวัญแล้วก็เผ่นหนีอย่างท่านกัน”
ท่านลุงหลิ่วที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือหลิ่วซวี่แห่งหลัวหม่าเหอ และหลัวหม่าเหอกับศาลซานหลางก็สนิทสนมกันมาตลอด ความสัมพันธ์ดีเยี่ยมเสมอมา เจ้าประมุขผู้เฒ่าของทั้งสองฝ่าย ตอนที่อายุยังน้อยก็คือสหายรักที่นิสัยใจคอเข้ากันได้ดีมาก
ชายฉกรรจ์ถามคนทั้งสามว่าแพ้อาหารอะไรหรือไม่ เห็นว่าพวกเขาสบายๆ ยังไงก็ได้จึงสั่งอาหารแนะนำของร้านมาสี่ห้าอย่างอย่างคุ้นเคย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “บ้านเจ้ามีแขกเยอะทุกวัน ข้าเจอกับพวกคนที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันแม้แต่น้อยพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ถึงอย่างไรท่านปู่หยวนก็รู้จักนิสัยข้าดีอยู่แล้ว”
หยวนเซวียนยิ้มเอ่ย “ท่านลุงหลิ่ว เหล้าภูเขาชิงเสิน ทุกวันนี้หาซื้อได้ยากมากจริงๆ”
หลิ่วซวี่พยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มกลับหัวเราะหึหึ “กว่าจะไหว้วานคนให้ไปหาไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์เสวียนมี่ผู้นั้นมาได้ไม่ง่ายเลย นี่ก็เพิ่งจะซื้อมาได้แค่สองไห!”
บุรุษยิ้มเอ่ย “เป็นวัตถุดิบที่ดีในการทำการค้า ค่าใช้จ่ายจดลงบัญชีไว้ ตอนนี้เอาออกมาเลยเถอะ พวกเราดื่มกันวันนี้เลย”
หยวนเซวียนเอ่ยอย่างตกตะลึง “ดื่มที่นี่น่ะหรือ?”
หลิ่วซวี่ถาม “ดื่มเหล้าไม่เลือกคน หรือยังต้องเลือกสถานที่ด้วย? นี่มันเหตุผลอะไรกัน”
หยวนเซวียนถึงได้หยิบเอาเหล้าภูเขาชิงเสินสองกาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ หลิ่วซวี่ก็แกะผนึกดินออกจริงๆ ขอชามเหล้าจากลูกจ้างร้านมาเพิ่มสามชาม แล้วเริ่มรินเหล้าให้คนทั้งสาม
ทันใดนั้นร้านเล็กๆ ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุราทันที
ผู้ฝึกยุทธหญิงยิ้มอย่างรู้ใจ
ดูเหมือนจะไม่เหมือนกับที่เล่าลือกันภายนอกสักเท่าไรเลยนะ
หลิ่วซวี่เคยพกกระบี่ไปเพียงลำพัง แสงกระบี่สาดสะท้อนไปทั่วราชวงศ์แห่งหนึ่งและแคว้นใต้อาณัติหลายแห่ง รื้อถอนศาลบรรพชนเจ็ดแปดแห่งไปตลอดทาง
เล่าลือกันว่าหลิ่วซวี่ยังถือกระบี่ด้วยมือเดียว ใช้ตัวกระบี่ตบหน้าของฮ่องเต้ผู้นั้นไปหลายครั้ง บอกกับอีกฝ่ายว่าอย่าได้รังแกคนซื่อ
หลิ่วซวี่ยกชามเหล้าขึ้น ดื่มคารวะคนทั้งสามก่อนหนึ่งชาม เพียงแต่ว่าก่อนจะดื่มเหล้าก็ยังไม่ลืมบอกหยวนเซวียนว่าดื่มให้น้อยๆ หน่อย
หยวนเซวียนดื่มเหล้าไม่ค่อยเก่ง แล้วก็ไม่ทำตัวห่างเหินกับท่านลุงหลิ่ว ดื่มเหล้าแค่อึกเดียวจริงๆ จากนั้นก็ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยว่า “ท่านลุงหลิ่ว คนจริงไม่เผยโฉมสินะ”
หลิ่วซวี่ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร
ครั้งนั้นตนดื่มจนเมามากจริงๆ แม้จะบอกว่าไม่ถึงขั้นพลาดไปทีเดียวก็เสียใจนานเป็นพันปี แต่ทุกวันนี้ที่บ้านเกิดก็ถูกคนไม่น้อยหัวเราะเยาะแล้ว
และตนที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ดื่มเหล้าเก่ง การที่ดื่มจนเมามากขนาดนั้นก็ต้องโทษคำพูดจากใจจริงที่เถ้าแก่รองเอ่ยออกมาหลังจากเหล้าเข้าปาก เขาบอกว่าตัวเองเคยไปเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปมาก่อน ระหว่างนั้นก็เจอทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี แต่หากจะให้พูดถึงขนบธรรมเนียมของบนภูเขา ทอดสายตามองไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล…สายตาของเถ้าแก่รองในเวลาส่องแสงสว่างไสว ยกนิ้วโป้งให้กับหลิ่วซวี่แล้วบอกว่า คืออย่างนี้
ทีนี้เลยทำให้หลิ่วซวี่ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด จึงสั่งเหล้ามาเพิ่มอีกกา ใช้กาเหล้าของตัวเองชนกับชามเหล้าของเถ้าแก่รองเบาๆ แล้วดื่มจนหมดกา
หลังจากนั้นเถ้าแก่รองก็กอดไหล่เขา บอกว่าพี่หลิ่ว ช่วยสนับสนุนพี่น้องของตัวเองหน่อยได้ไหม?
หลิ่วซวี่บอกว่าตัวเองไม่ถนัดทำเรื่องพวกนี้ ผลคือเถ้าแก่รองกลับบอกว่ามีของสำเร็จรูปอยู่ก่อนแล้ว แค่เขียนตามไปก็พอ เขียนตัวอักษรก็น่าจะพอทำได้กระมัง จะดีจะชั่วก็เป็นถึงนายน้อยของหลัวหม่าเหอเชียวนะ
ตอนนั้นเดิมทีเขาก็ดื่มจนเมากรึ่มๆ มึนหัวไปหมดแล้ว หลิ่วซวี่จึงตอบตกลง ถึงได้มีป้ายสงบสุขแผ่นนั้น เช้าวันที่สองที่สร่างเมา ไปอ่านเนื้อหาที่ร้าน ตอนนั้นยังรู้สึกว่าดีมากเลย
หยวนเซวียนถือชามเหล้าด้วยสองมือ คลี่ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “ต้องอวยพรล่วงหน้าให้กับเรื่องที่ท่านลุงหลิ่วจะได้กลายเป็นเจ้าประมุขตระกูลแน่นอนแล้วหรือไม่?”
“เจ้าเด็กนี่ เรื่องไหนไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้เอาเสียได้?”
หลิ่วซวี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าดื่มของเจ้าไป เหล้าชามนี้ข้าไม่ดื่มแล้ว”
หลัวหม่าเหอได้ครอบครองเรือข้ามทวีปลำหนึ่ง เอาไว้ทำการค้าที่ธวัลทวีป หลังจากถูกศาลบุ๋นเกณฑ์ไปใช้งาน เพียงไม่นานก็ซื้อเรือใหม่อีกลำ ผลคือหลัวหม่าเหอดันเป็นฝ่ายนำไปมอบให้กับศาลบุ๋นอีก
ว่ากันว่าเป็นความต้องการของหลิ่วซวี่ ในศาลบรรพชนของตระกูล ผู้คนพากันต่อต้าน ถกเถียงกันอย่างดุเดือด มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่าทุกวันนี้เจ้าหลิ่วซวี่เป็นเจ้าประมุขตระกูลอย่างนั้นหรือ?
อันที่จริงสิบหกบ้านของสกุลหลิ่วหลัวหม่าเหอล้วนเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน หลิ่วซวี่ไม่เคยมีความสนใจอยากจะเป็นประมุขตระกูล แต่สกุลหลิ่วใครบ้างที่ไม่อยากให้หลิ่วซวี่ที่สยบใจคนได้ดีที่สุดสืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขมากที่สุด?
คาดว่าตอนนั้นหลิ่วซวี่ก็คงถูกกระตุ้นอารมณ์แล้วเหมือนกันจึงโพล่งออกไปประโยคหนึ่งว่า หากข้าจะเป็นเจ้าประมุขท่านจะขัดขวางได้หรือ?
ผลคือผู้อาวุโสท่านนั้นเอ่ยประโยคหนึ่งมาทันทีว่า ดี ตกลงตามนี้ ข้าขัดขวางไม่ได้ แล้วก็จะไม่ขัดขวางด้วย!
เจ้าตัวดี ตลอดทั้งศาลบรรพชนล้วนกำลังรอคอยประโยคนี้ของเจ้าหลิ่วซวี่อยู่นะ
หากใช้คำพูดของเจ้าประมุขผู้เฒ่าก็คือใช้เรือข้ามฟากลำหนึ่งแลกตัวเจ้าประมุขคนหนึ่งมา การค้าครั้งนี้คุ้มค่าอย่างมาก
แต่หลิ่วซวี่ได้ข้อตกลงร่วมกับท่านปู่ว่าต้องรอให้ตนเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเสียก่อนแล้วค่อยมาจัดการกิจธุระในตระกูล
เรื่องนี้แน่นอนว่าทางฝั่งของศาลซานหลางต้องรู้เรื่อง เจ้าประมุขผู้เฒ่าสกุลหลิ่วส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาโอ้อวดให้สหายรักฟังนานแล้ว
หลิ่วซวี่พลันถามว่า “ได้ยินมาว่าแม่นางฝานเคยไปเยือนสนามรบทางทิศใต้?”
ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ชื่อว่าฝานอวี้มีสีหน้าละอายใจเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “ออกแรงไม่มาก คล้ายไปเยือนแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ข้าจะดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งชาม”
หลิ่วซวี่ยกชามเหล้าขึ้น เอ่ยว่า “ข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ดื่มกันคนละชาม”
ฝานอวี้เคยไปเยือนสนามรบในเมืองหลวงแห่งที่สองซึ่งตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพัง แล้วก็ได้เลื่อนขั้นจากขอบเขตร่างทองเป็นขอบเขตเดินทางไกลอยู่ที่นั่น เพียงแต่นางเกือบจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาบ้านเกิด มีครั้งหนึ่งโชคร้ายตกอยู่ในวงล้อมหนาหนักบนสนามรบ ทั่วร่างอาบโชกไปด้วยเลือด เพราะถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างคนหนึ่งหมายหัวไว้นานแล้ว ระหว่างที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ฝานอวี้ก็ถูกปรมาจารย์ใหญ่หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าเจิ้งเฉียนช่วยชีวิตเอาไว้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือถูกปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่มีฉายาว่า ‘เจิ้งชิงหมิง’ กระชากไหล่แล้วจับฝานอวี้โยนออกไปนอกสนามรบ
ภายหลังนางยังตั้งใจไปขอบคุณอีกฝ่ายถึงที่พัก แรกเริ่มผู้อาวุโสคนนั้นยังเกรงใจกันอย่างมาก แต่ก็จำกัดอยู่แค่ความเกรงใจตามมารยาทเท่านั้น
เพียงแต่พอรู้ว่าฝานอวี้มาจากศาลซานหลางของอุตรกุรุทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ฝานอวี้บอกว่าตัวเองเป็นผู้ติดตามของหยวนเซวียนแห่งศาลซานหลาง จนถึงทุกวันนี้นางก็ยังจดจำภาพนั้นได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงว่าเจิ้งเฉียนเบิกตากว้าง เผยสีหน้าประหลาดราวกับรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
เพียงแต่ว่าตอนนั้นฝานอวี้ไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนไว้ และยิ่งเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่สามารถถามหมัดกับเฉาสือติดต่อกันถึงสี่ครั้ง
หยวนเซวียนวางชามเหล้าลง ถามเสียงเบาว่า “ท่านลุงหลิ่ว ท่านสนิทกับใต้เท้าอิ่นกวานมากหรือ?”
หลิ่วซวี่ครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า “ยังดี ดีกว่าคนที่รู้จักกันผิวเผินนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสหายรักอะไร”
หลิ่วซวี่ทั้งไม่ขาดเงิน แล้วก็ไม่ชอบเล่นพนัน หลายครั้งที่เถ้าแก่รองเป็นเจ้ามือ เขาก็ไม่เคยเข้าร่วม บวกกับที่เป็นน้ำเต้าตันที่คุยไม่เก่ง พอไปถึงร้านเหล้าก็แค่ดื่มเหล้า แล้วก็ไม่เคยเป็นหน้าม้าให้กับร้านเหล้า แม้แต่เหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาหนึ่งไหหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยก็อย่าหวังว่าข้าจะเป็นคนหลอกง่ายยอมควักเงินจ่าย เอาอย่างใครก็ได้แต่อย่าเอาอย่างเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะเด็ดขาด
แล้วนับประสาอะไรกับที่ชั่วชีวิตนี้ของหลิ่วซวี่ นอกจากการฝึกกระบี่แล้วก็ไม่เคยพิถีพิถันในเรื่องของการกินอยู่มาก่อน
แต่หลิ่วซวี่บอกว่าตัวเองกับเฉินผิงอันดีกว่าคนที่รู้จักกันผิวเผินเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะหลิ่วซวี่ถ่อมตัว ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้ ทุกครั้งที่หลิ่วซวี่ไปถึงร้านเหล้า ขอแค่เถ้าแก่รองอยู่ด้วยจะต้องเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้หลิ่วซวี่ดื่มเหล้าด้วยกัน แน่นอนว่าทุกครั้งจะต้องถามประโยคหนึ่งอย่างกระตือรือร้นว่า ต้องการเหล้าภูเขาชิงเสินสักกาหรือไม่ กว่าจะช่วยเก็บไว้ให้เจ้าได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากวันนี้ยังไม่ดื่ม ต้นเดือนหน้าก็ต้องถูกเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยซื้อไปแล้วนะ
หยวนเซวียนถามต่อว่า “ได้ยินว่าเขาชื่อเฉินผิงอัน เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป?”
“อืม”
ผู้เฒ่ากับผู้ฝึกยุทธหญิงหันมามองหน้ากัน
“แล้วยังเคยไปเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปของพวกเราด้วย?”
“ได้ยินเถ้าแก่รองเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอยู่เหมือนกัน”
หยวนเซวียนรีบจิบเหล้าหนึ่งอึกระงับความตกใจ
เพราะปีนั้นเขากับท่านปู่หลิวและพี่หญิงฝาน คนทั้งสามเดินทางไปเที่ยวเยือนหุบเขาผีร้ายด้วยกัน ไปถึงทะเลสาบถงลวี่ที่บันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ตอนนั้นหยวนเซวียนไปเพราะต้องการของวิเศษหายากที่มีชื่อว่าปลาหลั่ว เกล็ดปลาเป็นสีทองอร่าม มีปีกสองข้าง เสียงเหมือนนกยวนยาง ได้ยินมาว่าหากผู้ฝึกตนกินเป็นอาหารจะไม่ต้องถูกฝันร้ายใดๆ ตามพัวพัน และผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งของหยวนเซวียนก็ต้องการของสิ่งนี้พอดี เดิมทีหยวนเซวียนก็ชอบการตกปลาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นอายุน้อยๆ ก็ไม่มีทางได้ฉายาว่า ‘หยวนหนึ่งฉื่อ’ ทำเหยื่อล่อหนึ่งครั้ง น้ำเพิ่มหนึ่งฉื่อ
ศาลซานหลางมีผู้ฝึกตนหญิงที่หยวนเซวียนต้องเรียกว่าอาหญิงอยู่คนหนึ่ง ฝึกตนประสบความสำเร็จ มีศาสตร์คงความเยาว์ รูปโฉมโดดเด่น นางกับหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิง ซุนชิงแห่งจวนไฉ่เชวี่ย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเลื่อมใสชื่นชอบหลิวจิ่งหลงอดีตเจ้ายอดเขาเพียนหรานอย่างมาก และเทพธิดาสามคนนี้ต่างก็เลื่อนขั้นติดอันดับสิบเทพธิดาใหญ่ของอุตรกุรุทวีปแล้ว ทว่าสตรีของศาลซานหลางคนนี้หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมานานหลายปี ก็เพราะว่าถูกฝันร้ายรบกวนอยู่ตลอด เป็นเหตุให้ไม่กล้าปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขต
“เฉินอิ่นกวานเป็นคนอย่างไร?”
“เสี่ยวเซวียน เจ้าถามเรื่องพวกนี้ทำไม?”
“ก็แค่อยากรู้”
ได้ยินมาถึงตรงนี้ หลิ่วซวี่ก็หรี่ตาลง ยื่นมือไปกดลงบนชามสีขาวที่ยังมีเหล้าเหลืออีกครึ่งชาม เอ่ยเสียงหนักว่า “หยวนเซวียน หากไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ดื่มเหล้ากันได้ต่อ ถ้าอย่างนั้นคำพูดที่เจ้าจะพูดต่อจากนี้ก็ต้องระวังให้มากแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแซ่หลิวและฝานอวี้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ทั้งสองฝ่ายรู้สึกหายใจไม่ออกแทบจะในเวลาเดียวกัน
ผู้เฒ่าเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดเหมือนกัน อีกทั้งยังอยู่ในขอบเขตนี้นานกว่าหลิ่วซวี่หลายปี ทว่ากระทั่งถึงบัดนี้ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจำต้องยอมรับว่า ตนกับหลิ่วซวี่ผู้ฝึกกระบี่แห่งหลัวหม่าเหอแตกต่างกันมากยิ่งนัก
ฝานอวี้กำลังจะอธิบายแทนเด็กหนุ่ม หลิ่วซวี่กลับเหล่ตามองมา ฝานอวี้จึงได้แต่หุบปากแต่โดยดี
หยวนเซวียนกลับไม่สนใจบรรยากาศตึงเครียดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้แม้แต่น้อย ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงหลิ่ว ท่านต้องดื่มคารวะข้าชามหนึ่งแล้ว เพราะข้ารู้จักเฉินผิงอันเร็วกว่าท่าน!”
เด็กหนุ่มเคยเจอกับจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบไม้ไผ่คนหนึ่ง
อีกฝ่ายคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ทว่ากลับสวมชุดคลุมอาคมไว้บนร่าง จึงดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งด้วย
ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะจากลากัน อีกฝ่ายเคยยิ้มเอ่ยว่า ข้าชื่อเฉินผิงอัน มาจากแจกันสมบัติทวีป
——