กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 921.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (บน)
เฉินผิงอันเดินตรวจตราเรือข้ามฟากไปพร้อมกับหมี่ลี่น้อยก็เจอกับผู้ดูแลเรือสองคนที่เดินตรงมาหา
ผู้คุมกฎฉางมิ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ เนื่องจากนางต้องเข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่าง ตอนนี้จึงมารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของเรือเฟิงยวนชั่วคราว นางเดินนวยนาดตรงมา ก่อนจะหยุดลง ยอบกายคารวะเฉินผิงอันด้วยบุคลิกสุภาพสง่างาม “คารวะคุณชาย”
ในฐานะผู้ดูแลรองของเรือข้ามฟากที่เจ้าขุนเขาหนุ่มเลือกตัวมาด้วยตัวเอง เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงจัดการดูแลตนเองอย่างสะอาดเอี่ยมตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปร่างผอมเพรียว หนวดเคราและเส้นผมเป็นสีขาวหิมะ ฐานะและสภาพแวดล้อมทำให้บุคลิกของคนเปลี่ยนแปลง เขาจึงยิ่งมีมาดของยอดฝีมือนอกโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เทพเซียนผู้เฒ่าได้ยกเอาการแต่งกายที่เป็นสมบัติก้นกรุออกมาใช้งานแล้ว ทุกวันนี้สวมชุดคลุมเต๋า สวมรองเท้าปักลายเมฆ ตรงเอวห้อยชิ่ง (เครื่องดนตรีประเภทเคาะหรือตี) หยกขนาดเล็กอันหนึ่ง ของชิ้นนี้เป็นนักพรตเฒ่าตาบอดที่ควักกระเป๋าเงินซื้อเองเมื่อนานมาแล้ว เป็นสมบัติวิเศษที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นจึงซื้อมาจากร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลง บนชิ่งหยกมีตัวอักษรขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันแกะสลักไว้ด้วยฝีมือที่โบราณและเรียบง่าย ‘ลมสวรรค์พัดชิ่ง ข้าท่องคัมภีร์หวงถิง เสียงทองเสียงหยก เหล่าทวยเทพให้การเคารพกันและกัน’
เจี่ยเฉิงยืนอยู่ข้างกายฉางมิ่ง ตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย คารวะเฉินผิงอันตามขนบของลัทธิเต๋า เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คารวะเจ้าขุนเขา”
ส่วนรองเท้าลายเมฆปักด้วยด้ายสีรากบัวบนเท้าของเทพเซียนผู้เฒ่าคู่นี้ ก็คือหนึ่งในของขวัญที่อาจารย์เสี่ยวโม่มอบให้
เฉินผิงอันยิ้มพลางอธิบายว่า “เมื่อครู่นี้พาเสี่ยวโม่ไปเยือนใต้หล้าห้าสีด้วยกันมารอบหนึ่ง เพิ่งจะกลับมา”
เจี่ยเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย “ฮูหยินเจ้าขุนเขาไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นางต้องปิดด่าน ปลีกตัวมาไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานะของนางในทุกวันนี้ไม่ค่อยเหมาะที่จะไปมาระหว่างสองใต้หล้าบ่อยๆ”
เทพเซียนผู้เฒ่าถอนหายใจยาวเหยียด “บุพเพวาสนาที่สวรรค์สรรค์สร้าง การจัดการของผู้เฒ่าจันทรา ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังได้อยู่ร่วมกันน้อยกว่าพรากจาก เจ้าขุนเขาและฮูหยินเจ้าขุนเขาต่างก็ลำบากแล้ว”
เฉินผิงอันเพียงอืมรับหนึ่งที คลี่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร
ผู้คุมกฎฉางมิ่งมองเจ้าขุนเขาหนุ่มแล้วเอ่ยอย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “คุณชายมีเรื่องจะปรึกษาหรือ?”
ทั้งสองฝ่ายพบกันครั้งแรกในคุกของเฒ่าหูหนวก ซึ่งก็ถือว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของสิงกวานหาวซู่ด้วย
ริมลำธารมีสตรีนั่งทุบผ้า เด็กสาวซักผ้า มองปราดๆ ก็คือสาวงามในชนบทสองคนที่รูปโฉมงดงามเป็นธรรมชาติ
กาลเวลาผันผ่าน ตะวันจันทราเคลื่อนดุจกระสวย โดยไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว
ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์สองคนที่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจับโยนเข้าไปในคุก ต่างคนก็ต่างได้รับโชควาสนา ตู้ซานอินกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของหาวซู่ โยวอวี้ที่มีนิสัยเรียบง่ายบริสุทธิ์กลายเป็นลูกศิษย์ของเฒ่าหูหนวก
เด็กสาวที่จำแลงร่างมาจากบรรพบุรุษเงินฝนธัญพืช สุดท้ายติดตามหาวซู่ผู้เป็นเจ้านายออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน ใช้นามแฝงว่าจี๋ชิง ติดตามตู้ซานอินออกเดินทางไปท่องใต้หล้าไพศาลด้วยกัน เคยเผยกายอยู่ในนครหรงเม่าของเรือราตรี
ปีนั้นเด็กชายผมขาวเคยเอ่ยคำว่า ‘ทำตอนนี้เลย’ ช่วยให้ ‘บรรพบุรุษอิ่นกวาน’ มองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของพวกนาง พูดถึงแค่จี๋ชิง ตอนนั้นผิวกายของนางปรากฏเป็นสีเขียวมรกตที่มีกลิ่นอายของความโบราณ ตรงหน้าผากเหมือนหน้าต่างสวรรค์บานเล็กที่เปิดออก สาเหตุเป็นเพราะนางถือกำเนิดด้วยรูปลักษณ์ของเงิน จึงมีรอยมีด รอยแกะสลักตัวอักษรดำรงอยู่
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ฉางมิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายมีเรื่องต้องรีบใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหรือ?”
พูดเข้าประเด็นในคำเดียว
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน ถึงขั้นพูดได้ว่าช่างเตาเผาเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิง ปีนั้นจำนวนครั้งที่ได้เห็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองในเมืองเล็กยังมากกว่าเงินทองของจริงที่ไหลเวียนในตลาดเสียอีก
ในอดีตเพื่อเป็นค่าผ่านทางของการเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมีสามชนิด แบ่งออกเป็นเงินอิ๋งชุน เงินก้งหย่างและเงินยาเซิ่ง
เงินต้นแบบสามชนิดที่ขอให้จวี้จื่อสำนักโม่เป็นคนสร้างขึ้นในช่วงแรกสุด เฉินผิงอันเดาว่าเกินครึ่งน่าจะมาจากฝีมือของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ไม่อย่างนั้นสกุลซ่งต้าหลีในเวลานั้นที่เป็นแค่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเป็นราชสำนักต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีปมากนัก ด้วยรากฐานกำลังทรัพย์ที่ตื้นเขินของสกุลซ่งไม่มีทางเชิญให้จวี้จื่อแห่งสำนักโม่มาช่วยหลอมเงินได้ไหวแน่นอน
และเงินสามชนิดนี้ก็เป็นผลงานที่งดงามเป็นอันดับหนึ่งของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองบนโลก เพียงแต่ว่าปีนั้นสกุลซ่งต้าหลีควบคุมเข้มงวดเกินไป เงินทุกถุงล้วนเท่ากับว่าออกจากมือซ้ายเข้าไปอยู่ในมือขวา ถึงได้ไม่ได้แพร่ไปถึงทวีปอื่น รอกระทั่งถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมาหยั่งรากลงกับพื้นดิน ลดระดับขั้นจากหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมาเป็นพื้นที่มงคล เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดที่ราชสำนักต้าหลีสร้างขึ้นอย่างลับๆ บางส่วนถึงได้ค่อยๆ กระจายออกไปจากคลังสมบัติของสกุลซ่ง นำไปใช้หนี้บนภูเขาส่วนหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
ตามคำกล่าวของเด็กชายผมขาว รูปแบบของเงินบรรพบุรุษบนโลกส่วนใหญ่มักจะมาเป็นคู่ หากว่าสามารถทำให้มหามรรคาจำแลงออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาก็จะกลายเป็นคู่รักเทพเซียนอันดับหนึ่งบนโลก
เฉินผิงอันไม่ปิดบังอีกต่อไป บอกไปตามสัตย์จริงว่า “‘จันทร์กลางบ่อ’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้าเล่มนั้น หากคิดจะยกระดับก็ต้องหลอมแม่น้ำแห่งกาลเวลาขึ้นมาสายหนึ่ง ตอนอยู่นครบินทะยาน หนิงเหยามอบให้ข้ามาแล้วบางส่วน ตามหลักก็มากพอจะให้ข้าสร้างแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องของการหลอมกระบี่นี้ไม่ค่อยเหมือนกับสถานการณ์ทั่วไป มันก็คือหลุมที่ไร้ก้น”
ฉางมิ่งคลี่ยิ้มหวาน ถามเสียงอ่อนโยน “เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีประโยชน์มาก เรียบง่ายอย่างยิ่ง ไยคุณชายต้องรู้สึกลำบากใจด้วย? หรือว่าแค่อนุญาตให้ขุนนางวางเพลิง ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านจุดตะเกียง? หรือจะบอกว่าภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอนุญาตให้เจ้าขุนเขามานะหมั่นเพียร เป็นนกนางแอ่นที่คาบดินโคลนมาทำรัง เสริมเติมสมบัติได้คนเดียว ไม่อนุญาตให้คนอื่นใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดช่วยเหลือเจ้าขุนเขาบ้าง?”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งไปทันใด
อันที่จริงเหตุผลจะพูดกันแบบนี้ไม่ได้ หากเป็นแค่เงินเทพเซียนธรรมดาทั่วไป เฉินผิงอันย่อมไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าวัตถุอย่างเงินเหรียญทองแดงแก่นทองนั้น เกี่ยวพันไปถึงการฝึกตนบนมหามรรคาของฉางมิ่ง เฉินผิงอันหลอมกระบี่จันทร์กลางบ่อ ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีประโยชน์มาก อันที่จริงฉางมิ่งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ การเลื่อนขั้นขอบเขตของนางไม่มีวิธีอื่น มีเพียงการกินเงินเท่านั้น อีกทั้งกินแค่เงินเหรียญทองแดงแก่นทองอย่างเดียว นี่คล้ายคลึงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้แต่อาศัยควันธูปในโลกมนุษย์มาหล่อหลอมร่างทอง นอกจากนี้แล้วคาถาเซียนวิชาอาคมทุกอย่างบนโลกล้วนเป็นความเลื่อนลอย
ฉางมิ่งยิ้มถาม “ในฐานะที่ฉางมิ่งเป็นผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่ว หรือว่าอาศัยแค่ขอบเขตอย่างเดียว? โจวอันดับหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หมี่อวี้เองก็กำลังจะกลายเป็นขอบเขตเซียนเหริน เจ้าสำนักชุยคือเซียนเหริน คงโหวแห่งตรอกฉีหลงก็ยิ่งเป็นขอบเขตบินทะยาน ถ้าอย่างนั้นข้ายังจะควบคุมพวกเขาได้อีกอย่างไร? ไม่สู้ออกจากตำแหน่งผู้คุมกฎแล้วมอบให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่ฝ่าทะลุขอบเขตมาเป็นไม่ดีกว่าหรือ?”
บทสนทนาระหว่างเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วและผู้คุมกฎไม่ได้มีการปิดบังอำพราง ไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเป็นคนนอก
เจี่ยเฉิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินอย่างชัดเจน เพียงแต่ฟังไปฟังมากลับรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว
สหายฉางมิ่งโกรธแล้ว
อีกทั้งครั้งแรกที่โกรธยังเป็นความโกรธที่มีพุ่งเข้าใส่เจ้าขุนเขาของพวกเราด้วย
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่ว! หากเป็นตน มีหรือจะกล้า
ฉางมิ่งเอ่ยต่ออีกว่า “ผลเก็บเกี่ยวโดยไม่คาดคิดสองครั้งก่อนหลัง หากไม่เป็นเพราะติดตามคุณชาย ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นของที่อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า ฉางมิ่งหรือจะกล้าเก็บมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง?”
ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลังจากที่จัดการเรื่องของอิ่นกวานกับสิงกวานเรียบร้อยแล้ว ฉางมิ่งที่ได้รับสถานะใหม่เอี่ยมเคยร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตทำให้โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่ทั่วฟ้าดินกลายมาเป็นเมล็ดทรายสีทอง กองทับถมกันเป็นภูเขา ขนาดเท่ากับหน้าผาสังหารมังกรในจวนเหยา ขนาดใหญ่น่าดูชม สุดท้ายเม็ดทรายสีทองทั้งหลายที่เกิดจากโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาขัดเกลาออกมาก็พากันมาเกาะอยู่บนเสื้อผ้าของฉางมิ่ง รวมตัวกันกลายเป็นชุดคลุมอาคมหายากที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง
เหตุใดมองดูเหมือนแค่ฉางมิ่งเอื้อมมือคว้าก็ได้โชควาสนาบนมหามรรคาที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดพวกนี้มาครอง ทว่าท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน นางกลับไม่เคยได้แตะต้องมันแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะนางไม่สะดวกที่จะทำเช่นนั้น แล้วก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น ต่อให้เวลานั้นนางจะเป็นหนึ่งในสาวใช้ของสิงกวาน แต่ขอแค่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่อนุญาต เฒ่าหูหนวกไม่ยอมรับ สมบัติส่วนตัวที่ถือว่าเป็นของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกนี้ สิงกวานหาวซู่และฉางมิ่งล้วนเอาไปด้วยไม่ได้
ตามการคำนวณคร่าวๆ ของเทวบุตรมารนอกโลก ‘ภูเขาทอง’ ที่สมชื่อลูกนั้น หากเอาไปวางไว้ในใต้หล้ามืดสลัวจะสามารถหลอมออกมาเป็นร่างทองที่บริสุทธิ์ของเทพวารีและเทพภูเขาได้ถึงสามสี่ท่าน
ครั้งที่สองคือตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว จวินเชี่ยนศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขาเคยปล่อยหมัดใส่กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำแดนเข้ามาในม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีป ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือจึงเคยมีฝนห่าใหญ่สีทองตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่เวลานั้น ฉางมิ่งเกิดความใกล้ชิดสนิทใจกับอิ่นกวานหนุ่มมากกว่าจี๋ชิง นั่นเป็นดั่งคำว่าเมื่อความโชคดีมาเยือนสติปัญญาก็บังเกิดซึ่งสอดคล้องกับมหามรรคาที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันได้แต่เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ กลับไปถึงภูเขาเซียนตูแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน”
เห็นว่าฉางมิ่งมีท่าทีคลางแคลง เฉินผิงอันก็อธิบายว่า “อีกเดี๋ยวจะต้องพาเสี่ยวโม่ออกเดินทางไกลอีกครั้งแล้ว”
หมี่ลี่น้อยยืนนิ่งๆ อยู่ข้างกายเจ้าขุนเขาคนดีมาโดยตลอด
เฉินผิงอันลูบศีรษะของแม่นางน้อย ยิ้มเอ่ย “ได้เดินทางในครั้งนี้ ยังต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคที่เอ่ยโดยไม่ตั้งใจของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา”
ในร้านเล็กมอซออาณาเขตศาลซานหลาง อุตรกุรุทวีป
เพียงแค่เพราะหยวนเซวียนถามเรื่องเกี่ยวกับอิ่นกวานมากหลายประโยคหน่อย บรรยากาศก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดทันที
หลิ่วซวี่ยังคงค้างอยู่ในท่าเอามือปิดปากชามเหล้า ยิ้มถาม “เป็นคนรู้จักเก่า? หมายความว่าไง?”
ฝานอวี้รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “ท่านปู่หลิว ไม่ต้องแจ้งไปทางศาลซานหลางจริงๆ หรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าใช้เสียงในใจตอบกลับ “ไม่เป็นไร เรื่องที่ไม่ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดกันด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
อันที่จริงเขามีการพิจารณาและความกังวลเป็นของตัวเอง
มีเรื่องกับใครก็มีได้ แต่อย่าไปมีเรื่องกับคนดื้อด้านอย่างหลิ่วซวี่เด็ดขาด
เวลาที่พูดง่าย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ล้วนปรึกษาพูดคุยกันได้หมด แต่เวลาที่พูดยากขึ้นมา อย่าว่าแต่ท่านปู่ทวดของหยวนเซวียนเลย เกรงว่าจะแม้แต่เจ้าประมุขสกุลหลิ่วหลัวหม่าเหอก็ยังห้ามหลิ่วซวี่ไม่อยู่ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้เสียเรื่อง อยู่เฉยๆ รอดูการเปลี่ยนแปลงไปดีกว่า
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่า หลิ่วซวี่ที่ตั้งแต่ต้นจนจบเรียกคนผู้นั้นด้วยคำว่า ‘เถ้าแก่รอง’ ไม่เคยเรียกว่า ‘อิ่นกวาน’ เคารพนับถือเฉินผิงอันมากเพียงใด
อะไรที่บอกว่าดีกว่าคนรู้จักกันผิวเผินนิดหน่อยเท่านั้น?
ใครจะไปเชื่อ?
มีเพียงหยวนเซวียนที่ทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ยิ้มถามว่า “ท่านลุงหลิ่ว ได้ยินมาว่าอิ่นกวานผู้นั้นเป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ แล้วยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธคนหนึ่งด้วย?”
ตามการประกาศบนกระดานรายชื่อของปีนั้น ในฐานะหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาและยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด
หลิ่วซวี่ยกมือออก คีบผักกาดขาวผัดเปรี้ยวเผ็ดขึ้นมากินหนึ่งคำ พยักหน้าเอ่ย “ตอนที่เพิ่งไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงเถ้าแก่รองยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่วิชาหมัดสูงมากจริงๆ ข้าได้ยินหวงโซ่วเล่าว่า ตอนที่เถ้าแก่รองยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าจะแพ้หมัดให้กับเฉาสือสามครั้ง ภายหลังกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง เฉาสือกลับออกไปจากกระท่อมบนหัวกำแพงเมืองแล้ว แต่เถ้าแก่รองกลับเอาชนะอวี้เจวี้ยนฟูของราชวงศ์เสวียนมี่แผ่นดินกลางได้ การถามหมัดสองครั้งนั้น ข้าเห็นทุกขั้นตอนมากับตาตัวเอง”
หยวนเซวียนถามอีก “เฉินอิ่นกวานชอบสะพายกระบี่สวมชุดคลุมอาคมใช่หรือไม่?”
หลิ่วซวี่ไม่ดื่มเหล้าอีก เพียงแค่คีบกับแกล้มมากิน เขาชอบเคี้ยวละเอียดกลืนช้าๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “เวลาปกติไม่สวมชุดคลุมอาคม แต่พอไปถึงสนามรบกลับชอบสวมหลายๆ ชิ้น ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่หลายคน โดยเฉพาะคนรุ่นเยาว์ต่างก็เลียนแบบเอาอย่างเขา ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าอายอีกต่อไป รักษาชีวิตรอดสำคัญกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้คุณความชอบทางการสู้รบเพิ่มมาอีกก้อนหนึ่งก็เป็นได้ ส่วนบนร่างของเถ้าแก่รองสวมชุดคลุมอาคมกี่ตัวกันแน่ นี่เป็นปริศนามาโดยตลอด เถ้าแก่รองในเวลานั้นได้ไปรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานที่คฤหาสน์หลบร้อนแล้ว จึงไม่มีโอกาสได้ถามเขา”
“คำกล่าวที่ว่า ‘ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวาน’ ทุกวันนี้ยังแพร่ไปไม่มาก วันหน้าพวกเจ้าก็จะเข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้เอง”
บนสนามรบ ยอมเจอกับหนิงเหยาดีกว่าเจอกับอิ่นกวาน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“นอกจากหลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ ยังมีตัวอ่อนเซียนกระบี่กลุ่มของกระโจมเจี่ยเซิน แต่ละคนล้วนมีสถานะที่ปิดบังอำพราง มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ไม่ต่างกัน การล้อมฆ่าที่ผ่านการวางแผนอย่างตั้งใจ ผลกลับกลายเป็นว่าต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงด้วยน้ำมือของเถ้าแก่รอง อีกทั้งผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานที่ทุกวันนี้เป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เคยแอบเล่นงานเถ้าแก่รองมาก่อนเหมือนกัน”
ฟังแล้วไม่เหมือนสักเท่าไรนะ?
ในความทรงจำ คนผู้นั้นเป็นคนที่มีมารยาทอย่างมากเลยนี่นา
ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นคนที่แซ่เดียวชื่อเดียวกันสินะ? อีกทั้งยังเคยมาเยือนอุตรกุรุทวีปของพวกเรามาก่อน ใต้หล้าจะมีเรื่องที่บังเอิญเช่นนี้จริงๆ หรือ?
หลิ่วซวี่ขมวดคิ้วน้อยๆ “หยวนเซวียน จะพูดจาให้รวดเร็วตรงไปตรงมาหน่อยไม่ได้หรือ?”
หยวนเซวียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วถึงได้ไม่มัวอ้อมค้อม เล่ารายละเอียดการเดินทางท่องหุบเขาผีร้ายของตัวเองในปีนั้นให้หลิ่วซวี่ฟัง ที่ทะเลสาบถงลวี่แห่งนั้น ได้เจอกับจอมยุทธพเนจรสะพายกระบี่ที่สวมชุดคลุมอาคม สวมงอบไม้ไผ่ได้อย่างไร ตนยังเคยชวนให้อีกฝ่ายมาตกปลาด้วยกัน มองออกว่าอีกฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกันกับ ‘หยวนหนึ่งฉื่อ’ อย่างตน การเดินทางหาประสบการณ์ครั้งนั้นของหยวนเซวียน นอกจากจะไปเพื่อปลาหลั่วแล้ว เขาก็ยังอยากตกปลาหลีสีเงินที่ถูกบนภูเขาขนานนามว่า ‘เจียวทะเลสาบน้อย’ มาเหมือนกัน หนึ่งปีจะโตหนึ่งจิน หนึ่งร้อยปีให้หลังก็จะมี ‘หนวดมังกร’ งอกออกมาสองหนวด ทุกๆ สามปีหนวดจะยาวหนึ่งชุ่น กระทั่งยาวหนึ่งฉื่อ ปลาหลีก็จะสามารถเดินลงน้ำกลายเป็นเจียวได้…และจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่ก็คล้ายจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วยคนนั้นก็ทำอะไรรอบคอบมีประสบการณ์ ต้อนรับขับสู้ได้อย่างรัดกุมไร้ช่องโหว่ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะจากกันยังชมว่าตนคือ…คนเก่าแก่ในยุทธภพด้วย!
——