กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 921.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (บน)
หลิ่วซวี่ฟังมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะ “เถ้าแก่รองก็พูดกับเจ้าตามมารยาทเท่านั้น อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง”
หยวนเซวียนสะอึกอึ้ง กระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่เงียบๆ
ฝานอวี้และผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน หลิ่วซวี่พูดถูกจริงเสียด้วย
คงเป็นเพราะเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่ม หลิ่วซวี่จึงวางตะเกียบลง ยกชามเหล้าขึ้นให้กับคนทั้งสาม แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กระดกดื่มหมดชาม
หยวนเซวียนเองก็เอาอย่าง แข็งใจดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินที่เหลือครึ่งชามจนหมดในรวดเดียว
ผู้ติดตามทั้งสองรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็ยกชามเหล้าดื่มจนหมดชามเช่นเดียวกัน
“เสี่ยวเซวียน มีเวลาว่างก็พาพี่หลิวกับแม่นางฝานไปเป็นแขกที่หลัวหม่าเหอด้วยกัน”
หลิ่วซวี่ลุกขึ้นยืนกุมหมัดเอ่ยลา สุดท้ายยิ้มเอ่ย “อย่าลืมจ่ายเงินด้วยล่ะ”
หยวนเซวียนรอกระทั่งท่านลุงหลิ่วเดินออกไปจากร้านอาหารขนาดเล็กแล้วถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายอีก
ผู้เฒ่าใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “นายน้อย คราวนี้ได้สัมผัสกับบารมีของเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งกับตัวเองแล้วสินะ?”
หยวนเซวียนพยักหน้ารับอย่างแรง
ท่านลุงหลิ่วเมื่อครู่นี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
บุรุษเดินอยู่ในตรอกเล็กเพียงลำพัง
เรื่องบางอย่างก็เหมือนการดื่มเหล้า ออกฤทธิ์ร้อนแรง
ก็เหมือนกับการเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
……
ศาลชิวเฟิงของแจกันสมบัติทวีป จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกใครยึดครอง บนทะเลมีเรือประหลาดลำหนึ่งที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง หอชมมหาสมุทรบนภูเขาของเกราะทองทวีปที่เซียนเจินยุคบรรพกาลเป็นผู้มอบวาสนาให้ สายแร่ที่ซ่อนแฝงซึ่งมีโอกาสทางการค้าและความร่ำรวยมหาศาลของฝูเหยาทวีป ซากปรักวังมังกรและซากปรักจวนเซียนมากมายที่หายสาบสูญไปในสี่มหาสมุทร พากันผุดลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง…
นี่ก็คือผลลัพธ์จากการที่ใต้หล้าไพศาลเชื่อมโยงกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นก็เชื่อมโยงเข้ากับใต้หล้ามืดสลัวในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
สำนักอวี่หลงแห่งใหม่มีเซียนกระบี่หญิงอยู่คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ได้มาคิดบัญชีกับอวิ๋นเชียน
คือน่าหลันไฉ่ฮ่วนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
นี่ทำให้อวิ๋นเชียนที่ช่วงหลายปีมานี้ยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นรู้สึกโล่งอก
จัดการกิจธุระของสำนักไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเชียนถนัดเลยจริงๆ ดังนั้นอวิ๋นเชียนจึงทำตามข้อตกลงลับในอดีตอย่างไม่ลังเล ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เป็นฝ่ายลาออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก ให้คนนอกอย่างน่าหลันไฉ่ฮ่วนมารับหน้าที่แทน ส่วนตัวเองหันไปเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎ
โชคดีที่สำนักอวี่หลงในทุกวันนี้ไม่ได้เป็นสำนักใหญ่ที่ยึดมั่นในแนวทางเก่าอย่างในอดีตอีกแล้ว คำสั่งสอนของบรรพบุรุษและกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์เก่าไร้ประโยชน์ไปนานแล้ว บวกกับที่อวิ๋นเชียน ‘อดีตเจ้าสำนัก’ ยังเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียว รวมถึงชาติกำเนิดและขอบเขตบนวิถีกระบี่ของน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่วางอยู่ตรงนั้นอย่างชัดเจน นี่จึงเป็นเหตุให้การเปลี่ยนเจ้าสำนักนับว่าราบรื่น
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพาผู้ฝึกตนคนสนิทกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ในสำนักอวี่หลงด้วยกัน จำนวนคนไม่มาก แค่หกคน สามคนเป็นผู้ฝึกกระบี่ สามคนเป็นผู้ฝึกตนผี ทั้งหกคนต่างก็เป็นเซียนดิน
เพียงแค่จัดพิธีปลดระวางเจ้าสำนักและพิธีรับสืบทอดตำแหน่งอย่างขอไปทีในศาลบรรพจารย์ที่สร้างขึ้นใหม่เท่านั้น
บอกตามตรง อวิ๋นเชียนเองก็ไม่อาจเชื้อเชิญผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีน้ำหนักอะไรมากมาได้เหมือนกัน ในอดีตนางพาลูกศิษย์ของสำนักออกเดินทางไปหาประสบการณ์ในสามทวีปทางตะวันออกก็ไม่ได้สะสมความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาไว้มากนัก
วันนี้การประชุมในศาลบรรพจารย์สิ้นสุดลง ผู้ฝึกตนที่มีเก้าอี้ต่างก็แยกย้ายกันไปนานแล้ว ต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเอง สำนักมีคนน้อยก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรก็ยังได้ครอบครองเกาะใหญ่แห่งหนึ่งบนทะเล บุกเบิกเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของตัวเอง
มีเพียงผู้คุมกฎของสำนักที่ยังอยู่ต่อ
เวลานี้น่าหลันไฉ่ฮ่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเจ้าสำนักในตำแหน่งประธาน ยกขานั่งไขว่ห้างผึ่งผาย พลิกเปิดทำเนียบขุนเขาสายน้ำบางๆ เล่มหนึ่ง
ในอดีตตอนอยู่ในห้องบัญชีของเรือนชุนฟาน เหล่าเหนียงก็มีกิริยาท่าทางเช่นนี้ ใครจะมาบังคับข้าได้?
แน่นอนว่ามีเพียงตอนที่คนบางคนมาตรวจบัญชีที่ภูเขาห้อยหัวเท่านั้น น่าหลันไฉ่ฮ่วนถึงจะยอมสงบเสงี่ยมสำรวมตนมากหน่อย
อันที่จริงน่าหลันไฉ่ฮ่วนมาเข้าร่วมการประชุมศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลงครั้งแรก ทุกคนที่ได้ยินชื่อนางต่างก็ไม่มีความเห็นต่างใดๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าไม่มีความเห็นต่างจริงๆ แต่เป็นเพราะไม่กล้ามี หรือควรจะพูดว่าไม่กล้าแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้า หากน่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้นั้นเห็นเข้า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะถูกเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งสับร่างแล้วโยนไปให้ปลากินหรือไม่?
ใช้เหตุผลกับเจ้า? ด้วยกระบี่บิน ขอบเขตและนิสัยในการกระทำเรื่องต่างๆ ของน่าหลันไฉ่ฮ่วนเองแล้ว ล้วนเป็นเหตุผลอันไร้เสียงที่วางให้เห็นกันทนโท่
ต้องรู้ว่าบนสนามรบที่บ้านเกิดของเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้ น่าหลันไฉ่ฮ่วน ฉีโซ่ว และหมี่อวี้ที่ตอนอยู่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ได้ฉายาหมี่ผ่าเอวมาครองแล้ว ต่างก็เป็นพวกที่ใช้วิธีการสังหารปีศาจเหมือนกัน กระหายเลือด อำมหิตไร้ปราณี ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเขา ไม่มีสักคนที่มีจุดจบดี
นี่จึงเป็นเหตุให้น่าหลันไฉ่ฮ่วนกับอวิ๋นเชียนที่นิสัยอ่อนโยน พูดจานิ่มนวล เจ้าสำนักสองรุ่น หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดิน
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกวาดตามองไม่กี่ทีก็อ่านทำเนียบศาลบรรพจารย์ที่มีอาเหมาอาโก่วอยู่แค่ไม่กี่คนจบ จึงได้แต่เปิดอ่านซ้ำอีกรอบ เหล่ตามองอวิ๋นเชียน ยิ้มถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าไปหาตำหนักสุ่ยจิงหลายครั้งแล้วหรือ?”
อวิ๋นเชียนเอ่ยอย่างเขินอายระคนละอายใจ “ล้วนกลับมามือเปล่าทุกครั้ง”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน “เจ้าคิดว่าเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างล้วนเป็นพวกคนโง่ที่มีสมบัติหล่นอยู่บนพื้นแล้วไม่รู้จักเก็บงั้นหรือ? อวิ๋นเชียน มีบรรพจารย์ผู้คุมกฎที่เป็นเช่นเจ้า เจ้าสำนักอย่างข้าช่างโชคดีสามภพสามชาติจริงๆ”
อวิ๋นเชียนหน้าแดงเล็กน้อย ไม่เอ่ยอะไร
คำพูดเหน็บแนมอะไรพวกนี้ ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ถึงอย่างไรตลอดชีวิตนี้นางก็ได้ยินได้ฟังมาไม่น้อย เมื่อก่อนนับตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงที่เป็นเจ้าสำนักไปจนถึงสมาชิกศาลบรรพจารย์สำนักอวี่หลง หรือแม้กระทั่งผู้เยาว์ที่คุณสมบัติดีหน่อย ถึงขั้นที่แม้แต่ฝ่ายในของตำหนักสุ่ยจิ่งเอง…
ตำหนักสุ่ยจิ่งที่ในอดีตถูกสำนักอวี่หลงสร้างไว้ในภูเขาห้อยหัว ตอนนั้นถูกเจียงอวิ๋นเซิงนักพรตเด็กคนเฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัวโยนทิ้งลงทะเลไปโดยตรง ทั้งที่รู้ดีว่าโอกาสที่นางจะหาตำหนักสุ่ยจิงพบมีน้อยมาก แต่อวิ๋นเชียนก็ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี ร่ายเวทหลบน้ำแฝงตัวลึกลงไปใต้มหาสมุทรหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของมัน
สำนักแห่งหนึ่ง หากไม่พูดถึงผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่ช่วยประคองสถานการณ์ให้อย่างอวิ๋นเชียน ก็มีแค่ผู้ฝึกตนเซียนดินห้าคน โอสถทองสี่คน ก่อกำเนิดมีแค่คนเดียวเท่านั้น
ตอนนี้ผู้ฝึกตนบนทำเนียบที่ถูกบันทึกในศาลบรรพจารย์ อันที่จริงก็มีแค่เก้าสิบกว่าคน นี่ยังเป็นจำนวนที่อวิ๋นเหยียนเอาพวกเกาะใต้อาณัติของสำนักเก่ามารวมไว้แล้วด้วย ไม่อย่างนั้นจะต้องมีสภาพที่อเนจอนาถยิ่งกว่านี้เสียอีก
ก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งในนั้น เมื่อหลายปีก่อนตอนที่อวิ๋นเชียนไปดึงตัวมาเป็นพวก ถึงกับเหยียบย่ำซ้ำเติม ให้ข้อเสนออย่างหน้าไม่อายว่า มีเพียงได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับนางอวิ๋นเชียนเท่านั้น เขาถึงจะยินดีมาเป็นผู้ถวายงานคนใหม่ให้กับสำนักอวี่หลง เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีมาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดให้ หากว่านางวางหน้าไม่ลง ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะถอยให้ก้าวหนึ่ง ค่ำคืนวสันต์สองสามคืน ฟ้าฝนพัดกระโชกกันสักรอบสองรอบก็ได้เหมือนกัน
หากว่าเป็นสำนักอวี่หลงที่ในอดีตผู้ฝึกตนหญิงได้รับความเคารพสูงสุด ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เป็นแค่กองกำลังใต้อาณัติกล้าเปิดปากพูดจาสามหาวเช่นนี้ ไม่ใช่รนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร
อวิ๋นเชียนเองก็รู้ว่าตัวเองนิสัยอ่อนแอเกินไป มีขอบเขตเสียเปล่า ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็ไม่มีทางถูกศิษย์พี่หญิงที่สังหารคนได้อย่างเด็ดขาดไล่ไปอยู่ภูเขาห้อยหัว อีกทั้งในนามยังต้องดูแลตำหนักสุ่ยจิงด้วย
การทำการค้าที่เป็นรูปธรรม อวิ๋นเชียนไม่เคยยื่นมือเข้าแทรก ผู้ฝึกตนที่ดูแลเรื่องนี้ล้วนเป็นคนสนิทของสายศิษย์พี่หญิงทั้งสิ้น คำว่าตรวจบัญชีประจำปีก็เป็นแค่การทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้น พูดไปแล้วก็น่าขัน หลักๆ แล้วเป็นเพราะอวิ๋นเชียนกังวลว่าหากตัวเองแสดงออกว่าไม่สนใจจัดการงานต่างๆ มากเกินไปแล้วจะถูกศิษย์พี่หญิงตวาดด่าว่าไม่ใส่ใจกิจธุระของตำหนักสุ่ยจิงเลย
น่าหลันไฉ่ฮ่วนยิ้มตาหยี “เจ้าแก่บ้ากามผู้นั้น เมื่อครู่นี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้ฟังว่าข้าพูดว่าอะไร มักจะลอบเหลือบมองเจ้าด้วยสีหน้าลับๆ ล่อๆ อยู่บ่อยๆ เขาใช้เสียงในใจพูดคุยอะไรกับเจ้าใช่ไหม?”
อวิ๋นเชียนส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนขมวดคิ้ว “อวิ๋นเชียน อย่าลืมว่าทุกวันนี้ใครเป็นเจ้าสำนัก ข้าถามอะไร เจ้าก็ตอบมาตามตรงซะดีๆ”
อวิ๋นเชียนยังคงลังเลอยู่นานมาก สุดท้ายก็พูดอย่างคลุมเครือ บอกแค่ว่าผู้คุมกฎของอดีตสำนักหวังว่าตนจะไม่ถือสาเรื่องในอดีตที่ผ่านมา นับแต่วันนี้ไปลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ช่วยทำให้สำนักอวี่หลงลุกผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง
น่าหลันไฉ่ฮ่วนหัวเราะหยัน “หากว่าข้าไม่มาเป็นเจ้าสำนัก ด้วยสมองอันน้อยนิดของเจ้า สักวันย่อมต้องถูกตาแก่นั่นบังคับเอาจนได้ดั่งใจ ปีนมาทับบนตัวโยกขย่มสุดแรงจนได้”
อวิ๋นเชียนหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายสุดขีด ถลึงตามองเซียนกระบี่หญิงปากไร้หูรูดผู้นั้น
น่าหลันไฉ่ฮ่วนจุ๊ปากไม่หยุด สายตาไล่มองผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบตั้งแต่หัวจรดเท้า
สตรีอย่างอวิ๋นเชียนผู้นี้ มองดูเหมือนจะผอม แต่แท้จริงกลับอวบอิ่ม สีหน้าคล้ายเรียบเฉยเย็นชา แต่แท้จริงแล้วกลับปกปิดความงามเย้ายวนตามธรมชาติเอาไว้ นี่ก็คงเป็นนางปีศาจจิ้งจอกคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ประเภทที่ยั่วยวนกรีดกรายดึงดูดหมู่ภมรอยู่ตลอดเวลา
น่าหลันไฉ่ฮ่วนหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา ไม่ได้เปิดจุกดื่ม แต่เริ่มพูดจาสัปดนแทน
“หากว่าข้าไม่ใช่สตรี ก็ต้องอยากได้เจ้าเหมือนกันแน่นอน ทุกวันจะช่วยเจ้าอาบน้ำ ทุกคืนต้องเอาน้ำลายถูไปทั่วร่างเจ้า”
อวิ๋นเชียนโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม สองมือจับที่วางแขนเก้าอี้เอาไว้ เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “น่าหลันไฉ่ฮ่วน เจ้าระวังคำพูดหน่อย!”
โอ้ ไม่เรียกเจ้าสำนักแล้ว แต่เรียกชื่อตรงๆ เลย ดูท่าจะโมโหไม่เบา
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเบ้ปาก “หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ หากไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าคงได้แต่หลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนแล้ว”
อวิ๋นเชียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “เจ้าสำนัก วันหน้าอย่าได้ล้อเล่นแบบนี้อีก”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนมองเทือกเขาที่ขยับขึ้นลงของนาง แล้วค่อยก้มลงมองหน้าอกของตัวเอง เอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย”
อวิ๋นเหยียนจึงได้แต่หลับตาทำสมาธิ
น่าหลันไฉ่ฮ่วนปิดสมุดทำเนียบเล่มนั้นลง ทำท่าเอามาปาดคอ พูดเหมือนล้อเล่นว่า “อวิ๋นเชียน ไม่อย่างนั้นให้ข้าช่วยเจ้าจัดการก่อกำเนิดที่เอาแต่กินข้าวสิ้นเปลืองโดยไม่ยอมทำอะไรผู้นี้ดีไหม? เก็บเขาไว้ก็ไม่มีความหมาย ทั้งหงุดหงิดใจทั้งขวางหูขวางตา”
หลักๆ แล้วเป็นเพราะทุกปีจะต้องได้เงินเดือนจำนวนที่ไม่น้อยตามกำหนด ทำให้น่าหลันไฉ่ฮ่วนเสียดายทุกครั้งที่นึกถึง
อวิ๋นเชียนลืมตาขึ้นทันที เอ่ยด้วยสีหน้าตระหนกลน “จะทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้จะแค่ยกเลิกสถานะของเขาในศาลบรรพจารย์ก็ยังต้องหาเหตุผลที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่อย่างนั้นวันหน้าสำนักอวี่หลงของพวกเราก็ยากจะรับสมัครผู้ถวายงานหรือเค่อชิงคนใหม่มาได้แล้ว ต่อให้มีคนยินดีมาสวามิภักดิ์พวกเรา พวกเราจะกล้ารับไว้จริงๆ หรือ?”
อวิ๋นเชียนพูดเสียงหนักด้วยสีหน้าจริงจัง “น่าหลันไฉ่ฮ่วน แม้ว่าข้าจะไม่เชี่ยวชาญศาสตร์ของการดำเนินกิจการ ยิ่งไม่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักที่ควบคุมดูแลสถานการณ์ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรข้าก็เข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง หากเรื่องเรื่องหนึ่งแค่ไม่ตรงใจเล็กน้อยก็ใช้วิธีการสังหารคนมาแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเด็ดขาด หากเจ้ายืนกรานจะทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็คงไม่กล้าให้เจ้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักอวี่หลงต่อไปแล้ว เจ้าจะด่าว่าข้าชิงบัลลังก์ก็ได้ จะว่าข้าผิดคำสัญญาก็ได้ ข้าจะต้องอธิบายหลักการเหตุผลข้อนี้ให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน ข้ายินดีให้สำนักอวี่หลงแตกแยก ผู้ฝึกตนพลัดพรากจากถิ่นฐาน ต่อให้นับแต่นี้ต้องสูญเสียชื่ออักษรจงไปอย่างสิ้นเชิงก็จะไม่ยอมให้ตัวเองมอบสำนักให้กับผู้ฝึกตนที่ชอบการเข่นฆ่ากับมือตัวเอง ข้าจะไม่ยอมทนมองสำนักอวี่หลงเดินหลงผิดเด็ดขาด”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเอนตัวไปด้านหลัง ยกขานั่งไขว่ห้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไม่เอ่ยอะไร สองนิ้วเคาะที่เท้าแขนเป็นระยะ
อวิ๋นเชียนมองสบตากับนาง สายตาเด็ดเดี่ยว
น่าหลันไฉ่ฮ่วนพลันคลี่ยิ้มกว้าง “ก็ได้ๆ ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ดูเจ้าทำท่าจริงจังเข้าสิ ก่อกำเนิดผู้นั้น ข้าจะอธิบายเหตุผลให้เขาฟังดีๆ อีกทั้งจะต้องเรียนรู้เอาจากเจ้าให้มาก จะใช้ท่าทีที่จิตใจสงบเป็นกลาง สีหน้าเป็นมิตรและน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายฝนพร่างพรมคุยกับเขา รับรองว่าต้องสามารถทำให้บุคคลอันดับสี่แห่งสำนักอวี่หลงผู้นี้เก็บความคิดจิตใจที่ไม่เหมาะไม่ควรแล้วยอมให้สำนักอวี่หลงของพวกเราใช้งานอย่างแน่นอน”
ตนพูดได้ก็ต้องทำได้แน่นอนอยู่แล้ว
วันหน้าจะไปหาก่อกำเนิดเฒ่าผู้นั้น ถามเขาว่าอยากตายหรือไม่ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่อยากตาย ก่อกำเนิดเฒ่าไม่ใช่คนโง่ ต้องไม่อยากตายแน่ ต่อจากนั้นนางก็จะถามคำถามที่สอง วันหน้าจะตั้งใจฝึกตนให้มาก ช่วยทำธุระให้กับสำนักมากหน่อยก็จะได้เงินมากหน่อยหรือมา กับผู้คุมกฎอวิ๋นเชียนของพวกเราก็เก็บน้ำลายที่ไหลหกให้ดี บางทีก่อกำเนิดเฒ่าอาจปากไม่ตรงกับใจ ถ้าอย่างนั้นก็มอบกระบี่ให้เขาหนึ่งที บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ฆ่าคน ถ้าอย่างนั้นก่อกำเนิดเฒ่าก็ต้องจดจำบทเรียนได้แล้ว สุดท้ายถามคำถามอีกข้อ กล้าแอบออกไปจากสำนักอวี่หลงหรือไม่ อยากจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ตลอดทั้งปีอีกหรือไม่
อวิ๋นเชียนถามหยั่งเชิง “เจ้าสำนักไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ หรือ?”
น่าหลันไฉ่อ่วนรู้สึกจนใจเล็กน้อย ลำพังแค่คำเรียกขานก็รู้ความคิดของอวิ๋นเชียนแล้ว
น่าหลันไฉ่ฮ่วนรู้สึกตัดใจที่จะปั่นหัว กลั่นแกล้งนางไม่ลงบ้างแล้ว จึงเปลี่ยนความคิด ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว วันหน้าใครที่ตาไร้แวว มารังแกถึงหัวของสำนักอวี่หลง ก็จะได้ถามกระบี่กับพวกเขาอย่างมีเหตุผลชอบธรรมสักครั้ง เรื่องนี้ เจ้าจำไว้ว่าต้องเก็บเป็นความลับด้วย”
อวิ๋นเชียนรีบลุกขึ้นยืน เตรียมจะเอ่ยแสดงความยินดีกับเจ้าสำนัก
น่าหลันไฉ่ฮ่วนหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “เพิ่งจะบอกว่าให้เก็บเป็นความลับ รีบนั่งลงไปเลย!”
อวิ๋นเชียนได้แต่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้แต่โดยดี สีหน้าเต็มไปด้วยความลิงโลด น่ารักใสซื่อเหมือนเด็กสาวคนหนึ่ง
——