กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 921.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (บน)
หลังจากที่น่าหลันไฉ่ฮ่วนออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไปที่ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปก่อน บอกว่าตัวเองมาจากเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว มารับหน้าที่ดูแลสำนักแห่งนี้ จากนั้นก็ทำการค้ากับราชวงศ์ล่างภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง ระหว่างนั้นมีผู้ฝึกตนหญิงในท้องถิ่นของของฝูเหยาทวีปนามว่ากงเยี่ยน ขอบเขตไม่ต่ำ เป็นขอบเขตหยกดิบ แต่ว่าในสายตาของน่าหลันไฉ่ฮ่วนแล้ว ผู้ฝึกตนของไพศาลที่มีสถานะจากทำเนียบสำนักเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอวิ๋นเชียน หากใช้คำพูดของคนบางคนก็คือมีขอบเขตกระดาษเปียกเปลือกไม้ไผ่บางๆ แต่ถึงแม้ความสามารถในการต่อสู้ของกงเยี่ยนผู้นี้จะไม่ได้เรื่อง ทว่าคัมภีร์การค้ากลับไม่เลว ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จึงประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้ง่าย
ถึงอย่างไรน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็รู้ว่าถ้ำซานสุ่ยไม่ใช่สถานที่ที่ควรรั้งรออยู่นาน มือซ้ายขายทรัพย์สินออกไป มือขวารับเอาเงินเทพเซียนและวัตถุดิบแห่งฟ้าดินกลับมา เพียงไม่นานก็ได้กำไรมาเป็นกอบเป็นกำ แน่นอนว่านางไม่กล้าเก็บเข้ากระเป๋าทั้งหมด ได้แต่เอากำไรมาสองส่วน ส่วนอื่นๆ ที่เหลือล้วนมอบให้วิญญูชนท่านหนึ่งที่จัดการเรื่องเงินทองของศาลบุ๋น ดูเหมือนว่าทุกวันนี้เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงแล้ว ได้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งในฝูเหยาทวีป ไม่ใช่ว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนรังเกียจว่าเงินมาก แต่เพราะกังวลว่าจะถูกคนบางคนมาคิดบัญชีย้อนหลัง
แม้ว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นไม่ได้มีข้อบังคับอะไรนาง แต่น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ยังกะน้ำหนักบนเส้นทางการหาเงินของตัวเองอย่างพอเหมาะพอดี ไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น
รอกระทั่งกวาดเอาทรัพย์สมบัติของถ้ำซานสุ่ยมาจนเกลี้ยงแล้ว หลังจากนั้นนางก็เดินทางท่องขึ้นเหนือไปตลอดทาง ทยอยไปที่เกราะทองทวีปและหลิวเสียทวีป แล้วยังทำการค้าไปตลอดทางอีกด้วย
พูดถึงแค่บนร่างของน่าหลันไฉ่ฮ่วน ลำพังแค่วัตถุฟางชุ่นก็มีพกติดตัวถึงหกชิ้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีวัตถุจื่อชื่ออีกสองชิ้น
น่าหลันไฉ่ฮ่วนยิ้มถาม “อิ่นกวานของพวกเราเท่านั้นถือเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อเจ้าอวิ๋นเชียนและสำนักอวี่หลง คิดดีแล้วหรือยังว่าในอนาคตจะตอบแทนเขาด้วยวิธีใด?”
อวิ๋นเชียนได้ยินเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก เพียงแต่ขณะที่นางกำลังจะเปิดปากพูด กลับได้ยินว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนสันดานเก่ากำเริบ พูดจาไม่กระดากปากอีกครั้ง “ไม่สู้เอาให้รวดเร็วฉับไวหน่อย…ใช้ร่างกายตอบแทน? น่าอายไปหน่อยแล้วอย่างไร สำนักอวี่หลงของพวกเจ้าไม่ใช่ว่ามีวิชาลับไม่แพร่งพรายที่ยากจะฝึกสำเร็จอยู่บทหนึ่งไม่ใช่หรือ? ได้ยินมาว่าแม้แต่ศิษย์พี่หญิงของเจ้าก็ยังฝึกไม่สำเร็จ กลับเป็นเจ้าที่จับผลัดจับผลู คนโง่มีโชคของคนโง่ คล้ายจะถูกขนานนามว่าเป็น… ‘กระโจมดอกผุดตานอันอบอุ่น ดินแดนแห่งเมฆและฝน’ ไม่ใช่หรือ?”
อวิ๋นเชียนถอนหายใจ เลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายเสียเลย
อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นวางแผนรอบคอบรัดกุมถึงเพียงใด วางตัวสูงส่งรักษาตนอย่างสำรวมถึงเพียงใด น่าเสียดายก็แต่จนถึงทุกวันนี้นางก็ยังไม่ได้เห็นเองกับตาเลยสักครั้ง
คนที่เดินทางยามค่ำคืน ห่มดาวสวมจันทร์
ไม่รู้ว่าเหตุใด พออวิ๋นเชียนได้ยินข่าวลือบางอย่างของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกครั้งที่จินตนาการภาพถึงคนหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งอยู่ในร้านเหล้า ในขณะที่เสียงผู้คนรอบด้านดังจอแจวุ่นวาย นางกลับรู้สึกว่าเมื่อเขาก้มหน้าลงดื่มสุรากลับดูแปลกแยกเปลี่ยวเหงามากเป็นพิเศษ
อวิ๋นเชียนกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง เดินออกไปจากศาลบรรพจารย์พร้อมกัน
ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วันก็มีแขกสูงศักดิ์มาเยือนถึงถิ่น ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับอวิ๋นเชียน ก็คือเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่แห่งเรือนชุนฟานและถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมย
หากบวกกับจวนหยวนโหรวของสกุลหลิวเข้าไป เรือนส่วนตัวสี่แห่งของภูเขาห้อยหัวในอดีตก็จะรวมกันได้ครบถ้วนแล้ว
ถัวเหยียนฮูหยินต้องการไปเยือนอารามชิงเหมยของทะเลสาบหนันถังแจกันสมบัติทวีป คิดจะไปพบโจวฉงหลินสักหน่อย
ข้างกายไม่มีเซียนกระบี่คอยให้การคุ้มกัน ถัวเหยียนฮูหยินหรือจะกล้าไปเดินเล่นเตร็ดเตร่เพียงลำพัง
ดังนั้นจึงเดินทางผ่านสำนักอวี่หลงที่ ‘เปลี่ยนรัชศกใหม่’ สำหรับการที่อยู่ดีๆ น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็กลายเป็นเจ้าสำนัก ถัวเหยียนฮูหยินตกตะลึงเป็นทบทวี แต่เส้าอวิ๋นเหยียนกลับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด
ไปถึงสำนักอวี่หลง ถัวเหยียนฮูหยินคุยธุระกับอวิ๋นเชียน ส่วนเส้าอวิ๋นเหยียนก็เดินเคียงบ่าไปกับน่าหลันไฉ่ฮ่วน ห้องบัญชีของเรือนชุนฟานในอดีต นอกจากพวกเขาสองคนแล้วยังมีเยี่ยนหมิง นอกจากนี้ก็มีเหวยเหวินหลงคอยเป็นผู้ช่วย เซียนกระบี่ใหญ่หมี่รับหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลกเลย”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนยิ้มรับ นอกจากจะคุยกับนางเรื่องเงินแล้ว นางก็ไม่มีความสนใจในเรื่องอื่นอีกจริงๆ
เส้าอวิ๋นเหยียนใช้เสียงในใจพูดคุยเรื่องบางอย่าง สีหน้าของน่าหลันไฉ่ฮ่วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง หลุดปากเอ่ยออกมาว่า “อะไรนะ?! จริงหรือ?!”
เฉินผิงอันถึงกับสามารถแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้?!
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า อย่างมากเจ้าก็กลับไปดูกับตาตัวเองสักครั้ง ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนถอนหายใจหนักๆ เอ่ยอย่างจนใจว่า “มีอะไรให้ไม่เชื่อกันเล่า หากเป็นเจ้าหมอนั่น ไม่ว่าเรื่องประหลาดแค่ไหนก็ไม่ประหลาดอีกต่อไป”
บอกตามตรง น่าหลันไฉ่ฮ่วนหวาดเกรงอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นจริงๆ ไม่ได้ดีไปกว่าถัวเหยียนฮูหยินสักเท่าไรเลย
พวกนางทั้งสองคนต่างก็ต้องกล้ำกลืนความทุกข์ยากขมขื่นอย่างเต็มกลืนด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายมาก่อน
ไอ้หมอนี่มีความแค้นกับสตรีหน้าตาดีมากนักหรือ?
แต่พอเป็นอวิ๋นเชียนก็ไม่ใช่ว่าเขาให้การดูแลดีมากหรือไร
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกดข่มความตกตะลึงในใจลงไป เริ่มหาพวก เชื้อเชิญให้เส้าอวิ๋นเหยียนกับถัวเหยียนฮูหยินมาเป็นเค่อชิงของบ้านตน ในเมื่อต่างก็เป็นคนคุ้นเคยกันดี พูดเรื่องเงินจะทำลายความรู้สึกแล้ว
คุณสมบัติด้านการฝึกเวทกระบี่ของเส้าอวิ๋นเหยียน หากเอาไปวางไว้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้แต่ถือว่าธรรมดาเท่านั้น ทว่าอาศัยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หลายลูกที่ผลิออกมาจากเถาน้ำเต้าเส้นนั้นทำให้เขามีเส้นสายอยู่ในใต้หล้าไพศาลไม่น้อย
เส้าอวิ๋นเหยียนเองก็ไม่คิดมากหากจะมีสถานะเป็นเค่อชิงที่ได้แขวนชื่อเพิ่มมาอีกหนึ่งสถานะ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนบางคนของใต้หล้าไพศาลที่มีช่องทางทำเงิน มียศตำแหน่งผู้ถวายงานเค่อชิงเป็นกองพะเนิน และถัวเหยียนฮูหยินก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับอวิ๋นเชียนมาก่อน แน่นอนว่าย่อมไม่มีความเห็นต่าง
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้อยู่ที่สำนักอวี่หลงนานนัก แค่พักสองวัน ก่อนจะลากตัวถัวเหยียนฮูหยินที่อยากจะพักอยู่ที่นี่ไปนับแต่นี้ออกเดินทางข้ามมหาสมุทรไปหาประสบการณ์กันต่อ
ระหว่างนั้นเดินทางผ่านถ้ำแห่งโชควาสนาของเกาะหลูฮวา ถัวเหยียนฮูหยินก็เริ่มออกไปเดินเล่นอีกครั้ง เส้าอวิ๋นเหยียนจึงได้แต่เอ่ยเตือนว่า “นี่เจ้าคิดว่าตัวเองออกมาท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำจริงๆ หรือไร?”
ถัวเหยียนฮูหยินสะบัดค้อนใส่ “อิ่นกวานไม่ได้ให้กำหนดเวลาที่แน่นอนเสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”
อยู่ร่วมกับเฉินผิงอันมีข้อดีแค่อย่างเดียว ทำการค้ายุติธรรม ฉับไวตรงไปตรงมาอย่างมาก
กว่าเส้าอวิ๋นเหยียนจะห้ามไม่ให้ถัวเหยียนฮูหยินไปเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสำนักกุยหยกได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาเลือกจะนั่งโดยสารเรือข้ามทวีปลำหนึ่งกลางทาง ตรงดิ่งไปที่นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป
ไปถึงอาณาเขตของทะเลสาบหนันถัง ถัวเหยียนฮูหยินเห็นต้นเหมยที่แห้งเหี่ยวพวกนั้นแล้วนางก็ยื่นนิ้วมาคลึงหว่างคิ้ว จุ๊ปากพูด “สภาพอเนจอนาถจนแทบทนมองมิได้ อนาถแค่ไหน ก็แค่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานมอบปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าให้ข้าเสียแล้ว”
เพราะความสัมพันธ์ในเรื่องของเถาน้ำเต้าเส้นนั้น เกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชพรรณ เส้าอวิ๋นเหยียนจึงพอจะถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ครึ่งตัว ถึงขั้นที่ว่าชำนาญเข้าขั้นกว่าผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมทั่วไปด้วยซ้ำ
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้าเอ่ย “ยากมากจริงๆ หากไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ถือสาหรอก”
ถัวเหยียนฮูหยินคลี่ยิ้มหวาน “ไม่ไหว? เซียนกระบี่เส้าไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติมาก ก็บุรุษนี่นะ”
เส้าอวิ๋นเหยียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่เอ่ยว่า “ทางหนึ่งคือไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง หรืออีกทางก็คือหากเจ้าอยากจะช่วยให้อารามชิงเหมยกลับคืนสู่สภาพเดิมได้จริงก็ต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดอย่างไม่มีออมแรง”
ถัวเหยียนฮูหยินกลอกตาใส่ “ต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ?”
คนทั้งสองทะยานลมข้ามไปเหนือผิวน้ำของทะเลสาบหนันถัง ไปยังเกาะที่ตั้งของอารามชิงเหมย
พลิ้วกายลงนอกประตูใหญ่ของอารามชิงเหมย คนเฝ้าประตูคือเด็กสาวอายุน้อยขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่ง
ถัวเหยียนฮูหยินยื่นเทียบรายชื่อสองแผ่นที่เตรียมไว้นานแล้วไปให้ เขียนด้วยกระดาษสีแดงตัวอักษรสีทองเข้มหนึ่งบรรทัด เหมยโส่ว ฉายาเจ้าแห่งดอกเหมย
เส้าอวิ๋นเหยียนเหลือบตามองเทียบรายชื่อของตัวเองแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ เส้าซานสือ ช่างเป็นชื่อดีที่สุภาพไพเราะจริงๆ อีกทั้งไม่มีแม้กระทั่งฉายาด้วยซ้ำ
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มเอ่ย “พวกเรามาจากทักษินาตยทวีป ได้ยินว่าดอกเหมยของทะเลสาบหนันถังงดงามมาก จึงมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงมานาน”
นางแสร้งทำเป็นเหลียวซ้ายแลขวา “สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น”
แม่นางน้อยที่เป็นคนเฝ้าประตูสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ แขกท่านนี้ล้อกันเล่นหรืออย่างไร
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ปล่อยให้ถัวเหยียนฮูหยินพูดเหลวไหลต่อ ยิ้มเอ่ยว่า “ผ่านมาเยือนสถานที่สูงศักดิ์แห่งนี้ อยากจะขอดื่มน้ำบ๊วยจากอารามชิงเหมยสักสองถ้วย”
เด็กสาวบากหน้าถามเสียงเบา “แขกทั้งสองท่าน นอกจากเทียบรายชื่อแล้ว บนร่างยังมีเอกสารผ่านด่านที่ทางต้าหลีแจกจ่ายให้หรือไม่?”
หากว่าเป็นในอดีต อารามชิงเหมยไม่มีข้อพิถีพิถันพวกนี้ เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน กฎของต้าหลีวางไว้อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเพิกเฉย
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้า “มี”
เขาหยิบเอกสารผ่านด่านบนภูเขาสองฉบับออกมาจากชายแขนเสื้อ ปีนั้นที่มาเข้าร่วมงานพิธีการเลื่อนเป็นสำนักของภูเขาลั่วพั่วก็เคยได้ใช้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงลงหลักปักฐานอยู่ในทักษินาตยทวีป เขากับถัวเหยียนฮูหยินจึงเป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบจริงแท้แน่นอนแล้ว ทุกวันนี้ออกมาข้างนอกย่อมต้องพกเอกสารผ่านด่านติดตัวมาด้วย
ส่วนของเส้าอวิ๋นเหยียน แน่นอนว่าต้องเป็นชื่อจริง ตามกฎของเอกสารนั้นจำเป็นต้องระบุภูเขาให้ชัดเจน หากว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระก็ต้องเขียนสำมะโนครัวให้แจ่มแจ้ง
ถัวเหยียนฮูหยินใช้นามแฝง แซ่เหมยนามชิงเค่อ แล้วยังตั้งฉายาให้ตัวเองอีกอย่างว่า ‘ฉวีเซียน’ (อีกชื่อเรียกของดอกเหมย)
เดิมทีเด็กสาวก็เป็นคนคล่องแคล่วอยู่แล้ว รอกระทั่งนางได้เห็นคำว่า ‘สำนักกระบี่หลงเซี่ยง’ ก็ตกใจสะดุ้งโหยง เบิกตากว้าง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้มองผิดไปก็รีบส่งเอกสารผ่านด่านคืนให้ ก้มหัวคารวะตามแบบของอารามเต๋าต่อเส้าอวิ๋นเหยียน ก่อนจะยอบกายคารวะถัวเหยียนฮูหยิน เอ่ยเรียกขานอย่างนอบน้อมว่า “คารวะเซียนกระบี่เส้า เซียนกระบี่เหมย”
ไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตอะไร ขอแค่เป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง เรียกว่าเซียนกระบี่ต้องไม่ผิดแน่!
ต่อให้จะเป็นกบในกะลาแค่ไหน เด็กสาวก็ยังรู้ว่าสำนักกระบี่หลงเซี่ยงคือสำนักวิถีกระบี่ที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่ายได้
มีเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้นำ! ในสำนักยังมีเซียนกระบี่ใหญ่หญิงนามว่าลู่จืออยู่ด้วย!
ได้ยินมาว่าลูกศิษย์ในสำนักทุกวันนี้มีน้อยมาก และทุกคนต่างก็เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
เอาเป็นว่าก็คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้าก็แล้วกัน
คิดไม่ถึงว่าตนจะโชคดีขนาดนี้ วันนี้ได้พบถึงสองท่าน
ถัวเหยียนฮูหยินกลั้นขำ ปิดปากพูดกลั้วหัวเราะ “โอ้โห ถูกคนเรียกขานว่าเซียนกระบี่เส้าเชียวนะ?”
เด็กสาวเปลี่ยนคำเรียกใหม่อย่างขลาดๆ “เซียนกระบี่ใหญ่เส้า?”
ถัวเหยียนฮูหยินกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ่งอ่อนใจมากกว่าเดิม
เดินนำแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านไปพบเจ้าอาราม เด็กสาวปลุกความกล้าถามเสียงเบาว่า “เซียนกระบี่เส้า เซียนกระบี่เหมย พวกท่านรู้จักอาจารย์ลู่หรือไม่?”
ผู้ฝึกตนหญิงของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ที่เลื่อมใสลู่จือมีมากเกินจะนับได้ไหว
เซียนกระบี่หญิงใหญ่ท่านนี้ เห็นๆ กันอยู่ว่ามาตุภูมิคือใต้หล้าไพศาล แต่กลับหยัดยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นบ้านเกิดของตนมาโดยตลอด อีกทั้งยังสามารถถูกผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นมองเป็นคนบ้านเดียวกันได้ด้วย
คุณูปการด้านการสู้รบเกริกก้อง นิสัยชัดเจนตรงไปตรงมา เล่าลือกันว่าลู่จือยังมีรูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมือง และยิ่งเป็นหนึ่งในสิบเซียนกระบี่ใหญ่บนยอดเขาสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สามารถเข้าร่วมการประชุมบนหัวกำแพงเมืองที่เล่าลือกันในตำนานได้ด้วย…
ผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ต่างก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มาบ้างแล้ว เนื่องจากมีคนมากมายเหลือเกินที่ชอบเล่า และมีคนชอบฟังมากยิ่งกว่า จึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘เรื่องราวหมื่นปีที่เหล้ามื้อหนึ่งก็เล่าไม่หมด’
สำหรับผู้ฝึกตนเด็กสาวของอารามชิงเหมยผู้นี้แล้ว ความสนใจและความคิดจิตใจที่มากกว่านั้นของนางยังอยู่ที่ตัวของลู่จือมากกว่า
แน่นอนว่ายังมีหนิงเหยาที่ว่ากันว่าเป็นคู่รักเทพเซียนกับอิ่นกวานคนสุดท้ายด้วย
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกวันนี้คนในสำนักของพวกเรามีไม่มาก ย่อมต้องรู้จักอาจารย์ลู่อยู่แล้ว”
ถัวเหยียนฮูหยินยื่นมือไปลูบแก้มของเด็กสาวข้างกายอย่างอ่อนโยน ยิ้มเอ่ยว่า “เลื่อมใสอาจารย์ลู่ของพวกเราเพียงผู้เดียว แม่หนูน้อยช่างสายตาดีจริงๆ”
เด็กสาวแก้มแดงก่ำ
ต้นเหมยที่แห้งเหี่ยวจำนวนมากของอารามชิงเหมยประหนึ่งต้นไม้เหี่ยวเจอกับฤดูใบไม้ผลิ พลันนั้นก็มีกิ่งก้านใหม่นับไม่ถ้วนเบ่งบานออกมา
ถัวเหยียนฮูหยินใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผลาญตบะของข้าไปถึงสามร้อยปีเต็มๆ!”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มบางๆ “ไปพูดกับใต้เท้าอิ่นกวานเองสิ”
ถัวเหยียนฮูหยินรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่อย่างวัวสันหลังหวะ “อย่างน้อยก็สองร้อยปี”
“ข้าไม่ใช่คนตัดสินใจเสียหน่อย ด้วยนิสัยของใต้เท้าอิ่นกวานจะต้องมาตรวจสอบที่นี่ด้วยตัวเองรอบหนึ่งแน่”
“หนึ่งร้อยยี่สิบปี ขาดไปหนึ่งปีข้าจะใช้แซ่เดียวกับเจ้า!”
“รายงานเท็จว่าหนึ่งร้อยห้าสิบปี ข้าว่าไม่น่าจะมีปัญหามากนะ”
“เส้าอวิ๋นเหยียน เจ้าคงจะไม่หน้าไหว้หลังหลอกใส่ข้าหรอกกระมัง?”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนสำนักเดียวกัน ความเชื่อใจน้อยนิดแค่นี้ก็ไม่มีให้กันเลยหรือ?”
“อย่ามาหลอกข้า! ข้าคิดจริงนะ!”
“ช่างเถิด ข้าจะบอกกับเจ้าตรงๆ ก็แล้วกัน อันที่จริงเดิมทีก็เป็นความต้องการของใต้เท้าอิ่นกวาน อนุญาตให้เจ้ารายงานเท็จได้สองสามส่วน”
“…”
……
น่านน้ำของท่าเรือฉีตู้ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ยอดเขาเตี๋ยอวิ๋น ศาลเทพภูเขา
พริบตานั้นไอน้ำไอหมอกพลันลอยอวลขึ้นมากลบทับศาลทั้งหลัง
วันนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาเยือนศาลเทพภูเขา เห็นเพียงว่าสตรีผู้นั้นสวมหน้ากาก เรือนกายสูงเพรียว ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง มีพู่ห้อยสีทอง
บนร่างมีกลิ่นอายชะตาน้ำเข้มข้นอย่างถึงที่สุด หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายจงใจอำพรางภาพบรรยากาศของเทพวารีบนร่างเอาไว้
ศาลภูเขาเล็กๆ ที่ระดับขั้นไม่สูงของโต้วแยน เกรงว่าคงรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่จมน้ำไปแล้ว
โต้วแยนจำอีกฝ่ายได้ ไม่กล้าเพิกเฉย รีบเดินออกมาจากร่างทองของเทวรูป แล้วยังรีบร้อนสวมชุดขุนนางเทพภูเขาที่ไม่ได้สวมมานาน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
เมื่อครู่ลองเพ่งตามอง นอกจากอีกฝ่ายจะห้อยกระบี่ยาวแล้วยังมีป้ายห้อยเอวที่กรมพิธีการต้าหลีเป็นผู้สร้างด้วย มีตัวอักษรเป็นคำว่าเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ย
ฉางชุนโหวแห่งลำน้ำฉีตู้ หยางฮวา
หลังจากที่ร่างทองของเทพภูเขาพลิ้วกายลงบนพื้นก็ประสานมือก้มตัวคารวะ “โต้วแยนแห่งยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นคารวะฉางชุนโหวแห่งลำน้ำฉีตู้ ท่านผู้บังคับบัญชาให้เกียรติเดินทางมาเยือน เทพน้อยต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับท่านแต่ไกล”
——