กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 921.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (บน)
ตามการจัดตั้งจะมีกองทั้งหมดสิบกอง กองตรวจสอบของจวนน้ำถือเป็นที่ว่าการสำคัญที่หากคบค้าสมาคมกับอีกฝ่ายเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญเสมอ
ก่อนหน้านี้จวนโหวได้รับจดหมายที่มาจากยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นฉบับหนึ่ง ช่วงท้ายของจดหมายได้ประทับตราประทับส่วนตัวเป็นคำว่า ‘เฉินสืออี’
ผลคือเกือบจะกลายเป็นเรื่องขึ้นมาเสียแล้ว
แม้ว่าด้านบนหน้าซองจะเขียนไว้ว่า ‘ฉางชุนโหวเปิดเอง’ ไม่ได้เป็นถ้อยคำจ่าหน้าซองที่ค่อนข้างเกรงใจมีมารยาทอย่างคำว่า ‘โปรดเปิด’ หรือ ‘โปรดอ่าน’
แต่เสมียนจวนน้ำที่ทำหน้าที่รับผิดชอบส่งเอกสารและจดหมายของฝ่ายงานต่างๆ ไหนเลยจะกล้ารับจดหมายฉบับหนึ่งมาง่ายๆ พอเห็นสองคำว่า ‘เปิดเอง’ บนหน้าซอง ก็กล้าส่งไปให้กงโหวแห่งลำน้ำใหญ่โดยตรงแล้วหรือ เป็นเจ้าของจวนแห่งหนึ่งแต่จะไปบอกให้ใต้เท้าโหวจวิน ‘เปิดจดหมายด้วยมือตัวเอง’ อย่างนั้นหรือ?
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนที่ส่งจดหมายมาก็คือโต้วแยนเทพภูเขาแห่งยอดเขาเตี๋ยอวิ๋น เสมียนจวนน้ำยังต้องไปเปิดดูรายการบันทึกในคลังเอกสารถึงจะรู้ว่าเป็นเทพภูเขาอันดับเล็กเท่าเมล็ดงา นี่จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น เสมียนที่รับจดหมายไปหาขุนนางผู้ช่วยของจวนโหวที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก่อน แล้วจึงเปิดจดหมายออกอ่านพร้อมกันโดยมีขุนนางท่านนี้เป็นพยาน เนื่องจากคนเก่าแก่ของจวนวารีแม่น้ำเถี่ยฝูที่ถูกพามายังจวนโหวแม่น้ำใหญ่มีไม่มาก หยางฮวาเองก็ไม่มีความเคยชินที่จะใช้งานเฉพาะคนสนิทของตน จึงใช้คนหน้าใหม่ส่วนหนึ่งที่ถูกโยกย้ายมาจากเมืองหลวงสำรองต้าหลี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่โชคดีมาก เซียนน้ำ เทพวารีเก่าที่ได้รับผลประโยชน์จากการที่ลำคลองน้อยใหญ่เปลี่ยนวิถี ต่อให้ไม่ได้เลื่อนขั้นขุนนาง แต่ถึงอย่างไรก็ได้กลายเป็นขุนนางผู้ใกล้ชิดของโหวจวินแล้ว
สรุปก็คือความถูกความผิดที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาในวงการขุนนางขุนนางเขาสายน้ำ มีขุนนางของกองต่างๆ ประจำจวนวารีที่ตำแหน่งไม่ต่ำหลายท่านที่ไม่ถูกกับเฉินเหวินเชี่ยนซึ่งเป็นพ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ส่วนใหญ่ล้วนขัดหูขัดตากับนิสัยวางตัวสูงส่งของเฉินเหวินเชี่ยน คนหนึ่งในนั้นคือขุนนางหลักของฝ่ายเอกสาร คงเพราะรู้สึกว่าเจอโอกาสที่พันปียากจะพานพบจึงนำ ‘หลักฐานการกระทำความผิด’ ฉบับนั้นไปหาสหายร่วมงานในกองตรวจสอบ ฝ่ายหลังเพราะมีภาระหน้าที่ติดตัวจึงไม่กล้าเพิกเฉย จึงส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เฉินเหวินเชี่ยนแห่งลำคลองเที่ยวโป เนื้อหาที่ใช้เฉียบขาดรุนแรง ความหมายคร่าวๆ พอจะเข้าใจได้ว่าทำไตามหน้าที่ บอกให้เฉินเหวินเชี่ยนต้องอธิบายเรื่องหนึ่งให้ชัดเจน คนที่ทั้งๆ ที่ชื่อว่า ‘เฉาเซียนซือ’ แต่ตราประทับกลับเป็นคำว่า ‘เฉินสืออี’ ผู้นั้น สรุปแล้วตัวตนที่แท้จริงคือใครกันแน่ มาจากภูเขาอะไร
รอกระทั่งขุนนางหลักของกองตรวจสอบเอาเรื่องนี้ไปรายงานฉางชุนโหว ตอนนั้นหยางฮวาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ก็แค่ไม่ได้ให้กองตรวจสอบส่งคนไปที่ลำคลองเที่ยวโปทันทีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นกองตรวจสอบที่แค่รอให้ฉางชุนโหวซึ่งมารับตำแหน่งใหม่พยักหน้าก็คงจะแล่นไปจับตัวพ่อปู่ลำคลองเฉินที่สร้างทะเลสาบ บุกเบิกอาณาเขตส่วนตัวโดยพลการผู้นั้นทันทีแล้ว
ทว่าส่วนลึกในใจของหยางฮวา ไม่ได้มีความคิดที่จะซักไซ้เอาโทษกองตรวจสอบ แต่อันที่จริงกลับโมโหขุนนางผู้ช่วยหน่วยเอกสารของจวนวารีที่เอางานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวอย่างมาก
หากเดิมทีแค่รับจดหมายรับฉบับนั้นมา หยางฮวาอ่านไปแล้วก็จะทิ้งไว้ข้างๆ ถือเสียว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หยางฮวาไม่มีทางให้ความสนใจ นางก็จะคิดแค่ว่าไม่ได้รับจดหมายฉบับนั้น
ไม่แน่ว่าอาจจะยังมอบให้ไทเฮาของต้าหลีที่อยู่เมืองหลวงจัดการโดยตรงเลย
นางไม่สนิทกับภูเขาลั่วพั่วเลยแม้แต่น้อย กับเฉินผิงอันก็ไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรให้กล่าวถึง
อย่างมากสุดหยางฮวาก็แค่ยึดหลักความถูกต้อง แบ่งแยกลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน ขอแค่พ่อปู่ลำคลองเที่ยวโปและเทพภูเขายอดเขาเตี๋ยอวิ๋นไม่ละเมิดกฎ นั่นก็ดีที่สุดแล้ว หากคิดจะให้ตนต้องมาคอยดูแลอนาคตในวงการขุนนางของคนทั้งสอง เฉินผิงอันก็คิดมากเกินไปแล้ว
ผลกลับกลายเป็นว่าจวนวารีบ้านตนก่อเรื่องเช่นนี้ กองตรวจสอบส่งเอกสารราชการฉบับหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการติเตียนไปให้กับลำคลองเที่ยวโป แล้วยังอ้อมผ่านโต้วแยนแห่งยอดเขาเตี๋ยอวิ๋น พัวพันไปถึงให้เฉินเหวินเชี่ยนจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนของ ‘เฉินสืออี’
นางจึงได้แต่มาเยือนยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นและลำคลองเที่ยวโปด้วยตัวเองรอบหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นก็จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วได้เขียนจดหมายด้วยตัวเองมาแล้วฉบับหนึ่ง ทักทายบอกกล่าวไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว ส่วนหยางฮวาก็ไม่ได้จงใจดูแลยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นเป็นพิเศษ เฉินผิงอันก็หาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ถือเสียว่าทั้งจวนวารีและภูเขาลั่วพั่วสองฝ่ายมีใจเชื่อมโยงถึงกันแล้วก็แล้วกันไป แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทั้งๆ ที่หยางฮวารับจดหมายมาแล้ว แต่กลับยังปล่อยให้เสมียนในจวนวารีบ้านตนจงใจหาเรื่องสร้างความลำบากใจให้กับเฉินเหวินเชี่ยน ลักษณะของเรื่องราวก็จะเปลี่ยนไป หากจัดการไม่เหมาะสมก็จะเท่ากับว่าจวนฉางชุนโหวของตนสะบัดมือตบหน้าภูเขาลั่วพั่ว
ใช่ว่าหยางฮวาจะไม่เข้าใจเรื่องการวางตัวอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมเสียเลย ต่อให้จะไม่ยินดีตีสนิทกับภูเขาลั่วพั่วแค่ไหน ก็ไม่ยินดีที่จะเป็นศัตรูกับภูเขาลั่วพั่วด้วยเหตุนี้เช่นกัน
จึงได้แต่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้กับราชสำนักต้าหลี เพียงไม่นานนางก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งมาจากวังหลวงของเมืองหลวง
แต่ส่งมาจากตำหนักฉางชุน แน่นอนว่าเป็นจดหมายลายมือของไทเฮาต้าหลีผู้นั้น
ในจดหมายเขียนไว้แค่ประโยคเดียวว่า ‘ตามที่เขียนไว้ในจดหมาย ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ผิดต่อกฎมารยาทพิธีการแห่งขุนเขาสายน้ำของต้าหลี จวนวารีฉางชุนสามารถปฏิบัติต่อยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นและลำคลองเที่ยวโปอย่างเป็นมิตรได้’
นี่ทำให้หยางฮวารู้สึกโล่งใจ
เพียงแต่นางอดจะมีการคาดเดาไม่ได้ว่าเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้กำลังวางแผนเล่นงานตนหรือไม่?
ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถส่งจดหมายมาได้ด้วยตัวเอง ไยต้องให้โต้วแยนแห่งยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นทำแทนด้วย? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจดหมายยังจงใจบอกถึงสถานะอย่างคลุมเครือ อะไรที่บอกว่าคนเก่าแก่ของหลงโจวที่ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง เขียนอย่างมีเมฆหมอกบดบัง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘ออกเดินทางไกลอยู่เป็นประจำ ไม่เคยได้ไปเยือนจวนเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูเสียที’ แล้วยังมีประโยคทำนองว่า ‘ทุกวันนี้กิจธุระของลำน้ำใหญ่ยุ่งวุ่นวาย ขอแค่โหวจวินมีเวลาว่างก็ช่วยแจ้งกันสักคำ ข้าน้อยจึงจะกล้าไปรบกวนถึงบ้าน’ เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่?
ขอแค่เฉินผิงอันระบุสถานะลงไปในจดหมายอย่างชัดเจน ที่ว่าการของกองต่างๆ ในจวนวารี ใครจะกล้าสร้างความลำบากใจให้เขา? เกรงว่าขอแค่ได้จดหมายฉบับนั้นมา ยังไม่ต้องเปิดก็คงรู้สึกเป็นเกียรติเป็นทบทวีแล้วกระมัง?
แล้วนับประสาอะไรกับที่จวนเซียนบนภูเขาของทวีปในทุกวันนี้ ใครไม่กังวลบ้างว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่ชอบไปรื้อศาลบรรพจารย์บ้านคนอื่นอย่างเจ้าเฉินผิงอัน หากว่าส่งจดหมายไปให้ใคร ในนั้นจะเขียนแค่สี่คำว่า ‘ขอถามกระบี่กับท่าน’?
แม้ว่าจะมองไม่เห็นสีหน้าของหยางฮวา แต่โต้วแยนกลับรู้สึกได้ว่าตอนนี้ดูเหมือนใต้เท้าโหวจวินจะอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
หยางฮวาลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “โต้วแยน ในเมื่อเป็นเทพภูเขาก็ควรจะสร้างความผาสุกให้กับพื้นที่หนึ่ง วันหน้าจะต้องมานะพยายามให้มากกว่านี้ ต้องรู้ว่าวงการขุนนางของภูเขาสายน้ำไม่ได้เหมือนกับวงการขุนนางล่างภูเขาของต้าหลีพวกเราทั้งหมด ฝ่ายหลังมีข้อพิถีพิถันที่ว่า ‘เคารพหน้าที่ของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมีภาระต่างกัน ไม่ทำเรื่องน้อยลง ไม่ทำเรื่องมากขึ้น’ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างพวกเรา ขอแค่อยู่ในอาณาเขตการปกครองของตัวเอง ผู้ฝึกตนจวนเซียนบนภูเขา อำเภอเขตการปกครองล่างภูเขา เรื่องน้อยใหญ่มีมากมาย ล้วนต้องระมัดระวังให้ดี”
โต้วแยนประสานมือคารวะก้มตัวติดๆ กัน “เทพน้อยน้อมรับคำสั่งสอนของโหวจวิน”
โต้วแยนที่อยู่ในวงการขุนนางกลัวก็แต่ว่าผู้บังคับบัญชาจะรู้แค่ทฤษฎี เขาไม่กลัวที่จะต้องลงมือปฏิบัติจริงแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นหยางฮวาก็ไปที่ซากปรักของศาลเทพลำคลองเที่ยวโป ก็ได้พบกับเฉินเหวินเชี่ยนพ่อปู่ลำคลองที่อยู่ในรูปลักษณ์ของบัณฑิตหนุ่มลัทธิขงจื๊อ
เมื่อใต้เท้าโหวจวินถามถึงเรื่องเอกสารราชการที่กองตรวจสอบส่งมา เฉินเหวินเชี่ยนก็แค่บอกว่าทำไปตามกฎระเบียบก็พอ ตนไม่มีอะไรให้อธิบาย
หยางฮวายิ้มเอ่ย “กระดูกแข็งเกินไปก็ไม่เหมาะจะเป็นขุนนางหรอกนะ”
พ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ ยังคงมีสีหน้าเฉยเมย ตอบกลับไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “กระดูกไม่แข็งจะเป็นขุนนางผู้เป็นดั่งบิดามารดาได้อย่างไร จะให้เป็นขุนนางที่มีป้ายตั้งในศาลบรรพชนซึ่งชาวบ้านแค่ต้องจุดธูปคารวะกราบไหว้ ไม่เคยได้พบหน้าค่าตาอย่างนั้นหรือ?”
หยางฮวาหลุดหัวเราะพรืด “ขุนนางซื่อสัตย์เป็นได้ง่าย ขุนนางผู้มากความสามารถต้องลำบากใจ ประโยคนี้โต้วแยนพูดได้ เพียงแต่หลุดออกมาจากปากของพ่อปู่ลำคลองเฉินกลับค่อนข้างจะตลกแล้ว”
เฉินเหวินเชี่ยนเงียบงัน
อริยะเอ่ยว่า ‘เขามีชีวิตอยู่เป็นเกียรติแก่ใต้หล้า เขาตายไปชาวประชาเศร้าอาดูร’ ตอนมีชีวิตอยู่ค่อยๆ สะสมตำแหน่งขุนนางจนได้เป็นเจ้ากรมพิธีการ หลังจากตายไปได้รับการตั้งสมญานามย้อนหลังให้เป็นราชครูแห่งรัชทายาท เฉินเหวินเชี่ยนทั้งเศร้าใจทั้งเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด ต่อให้ตายไปได้มารับหน้าที่เป็นพ่อปู่ลำคลองอยู่ที่นี่ ก็เคยมีเลือดร้อนระอุ จิตใจอันรุ่มร้อน เพียงแต่ว่าทุกครั้งล้วนต้องชนกำแพง เป็นขุนนางได้ยากยิ่งกว่าตอนยังมีชีวิตอยู่เสียอีก ต้องทนมองราชสำนักที่ประกายแสงดับลง ทั้งจักรพรรดิและขุนนางล้วนหูหนวกตาบอด สหายร่วมงานแห่งขุนเขาสายน้ำที่อยู่โดยรอบพากันหลีกลี้ผลักไส ร่วมมือกับบุ๋นบู๊แห่งราชสำนักพร้อมใจกันกดข่มลำคลองเที่ยวโป พูดถึงแค่เมล็ดพันธ์บัณฑิตหลายคนที่ด้านหลังมีโคมไฟที่ลำคลองเที่ยวโปสร้างขึ้นอย่างลับๆ ลอยอยู่อย่างที่มองไม่เห็น ก็ล้วนพากันย้ายบ้านออกไปหมด สุดท้ายผ่านไปแค่ไม่กี่ปีก็มีชื่อติดกระดานทองคำ…ถึงท้ายที่สุดเฉินเหวินเชี่ยนถึงได้มีท่าทีเปล่าเปลี่ยวไร้ชีวิตชีวา จิตใจหมดอาลัยตายอยาก
หยางฮวาเองก็คร้านจะคุยเรื่องงานหลวงกับเฉินเหวินเชี่ยนมากเกินไป พ่อปู่ลำคลองผู้นี้อย่างมากสุดวันหน้าก็แค่ปกครองทะเลสาบแห่งนี้แล้วเสวยสุขของตัวเองให้ดีไปก็พอ เดี๋ยวนางกลับไปทางจวนวารีจะออกคำสั่งให้เผ่าพันธุ์น้ำในแม่น้ำลำคลองที่อยู่ใกล้เคียงรวบรวมตัวปลาหลูดอกซิ่งกลุ่มนั้นมา เอามาเลี้ยงดูอยู่ในทะเลสาบอีกครั้ง วันหน้าจวนน้ำของตนก็จะทำเพียงว่าทะเลสาบเที่ยวโปแห่งนี้ไม่ดำรงอยู่ นี่ก็ถือว่ามีคำอธิบายที่พอฟังขึ้นให้กับเฉินผิงอันแล้ว ถึงอย่างไรเฉินเหวินเชี่ยนทำเรื่องให้สำเร็จได้ไม่มากพอ แต่ก็ไม่ถึงขั้นดีแต่จะทำให้เสียเรื่อง
เฉินเหวินเชี่ยนเห็นว่าสุ่ยจวินแห่งจวนโหวท่านนี้กำลังจะจากไปก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “หยางโหวจวิน นี่ก็คือความเข้าใจอันตื้นเขินที่ผู้น้อยมีต่อการเปลี่ยนเส้นทางของลำน้ำฉี แม้ว่าทุกวันนี้เรื่องของการเปลี่ยนวิถีลำน้ำใหญ่ ต้าหลีจะมีการผลักดันให้รุดหน้าไปได้เกินครึ่งแล้ว เส้นสายลายน้ำแบ่งแยกชัดเจน แต่ผู้น้อยเห็นว่าในเรื่องบางอย่างก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้ดีทำได้สวยงามที่สุดอย่างแท้จริง พูดถึงแค่อาณาเขตของแม่น้ำสือหู ขุนนางกรมโยธาต้าหลีกับพวกช่างประปาทั้งหลาย ในเรื่องของการ ‘ดักส่วนโค้งให้ตรง’ และเรื่องของการ ‘ไหลทวนกระแส’ ก็ยึดมั่นในระบบเก่ามากเกินไป นอกจากนี้หลังจากที่จวนทั้งสามแห่งของอูโจวได้รับการบูรณะซ่อมแซม ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ มองดูเหมือนผลลัพธ์ยอดเยี่ยม แต่มองในระยะยาวกลับมีข้อเสียมากกว่า ร้อยปีในอนาคตย่อมง่ายที่จะเกิดความยุ่งยากลำบากของการ ‘ช่วงชิงลำคลอง’ ขึ้นมา…”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินเหวินเชี่ยนก็หัวเราะเยาะหยันตัวเอง ไม่พูดเรื่องยิบย่อยที่ชวนให้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนพวกนี้อีกต่อไป สุดท้ายแค่เอ่ยประโยคเดียวว่า “หวังเพียงว่าขุนนางกองการเปลี่ยนเส้นทางที่จวนฉางชุนโหวก่อตั้งขึ้นมาชั่วคราวจะลองอ่านดูหน่อย”
หยางฮวารับสมุดเล่มหนามา เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ทำไมไม่รีบเอาออกมาให้เร็วกว่านี้?”
ไม่ว่าเฉินเหวินเชี่ยนจะมอบให้จวนโหวลำน้ำใหญ่บ้านตัวเองหรือมอบให้กับกรมโยธาของเมืองหลวงสำรองต้าหลี ก็ล้วนไม่มีปัญหาใดๆ ไม่มีข้อห้ามอย่างการข้ามชั้นในวงการขุนนาง
เนื่องจากราชสำนักต้าหลีมีข้อกำหนดที่ชัดเจนมานานแล้วว่า ขุนนางระดับกลางและระดับล่าง มีเรื่องไหนบ้างที่สามารถให้คำแนะนำแก่ราชสำนักโดยแยกเป็นคำว่า ‘ไม่อนุญาต’ ‘ทำได้’ รวมไปถึง ‘อนุญาตให้แหกกฎ’ ได้บ้าง
นี่จึงเป็นเหตุให้พวกขุนนางแค่ลงมือทำไปตามกฎระเบียบก็พอ ถึงขั้นไม่มีสถานการณ์ที่ว่า ‘พิจารณาตามเหตุการณ์’ หลังจบเรื่องอะไรด้วยซ้ำ กฎระเบียบของต้าหลี ทุกข้อล้วนเขียนได้อย่างชัดเจน แม่นยำ
เฉินเหวินเชี่ยนตอบ “ไม่กลัวว่าจะอ่านเสียเที่ยว กลัวก็แค่ว่าจะเขียนเสียเวลาเปล่า สุดท้ายถึงเอาไปวางยึดตำแหน่งแห่งหนึ่งในห้องเก็บเอกสารของที่ว่าการบางแห่ง”
หยางฮวาถึงกับเปิดสมุดอ่านโดยตรง อ่านพลางส่ายหน้าไปด้วย “เฉินเหวินเชี่ยน ความคิดที่คล้ายคลึงกันนี้ วันหน้าอย่าปล่อยให้มีอีก ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการการก่อสร้างและตรวจตราการเปลี่ยนเส้นทางที่สร้างขึ้นมาใหม่ซึ่งมีรองเจ้ากรมรวมตัวกันอยู่ หรือกองการเปลี่ยนวิถีของข้า สมุดเล่มนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางต้องกินฝุ่น อีกทั้งตามกฎของราชสำนัก ต่อให้ขุนนางผู้ดูแลหลักไม่รับข้อเสนอของเจ้า ก็ยังจะต้องให้คำตอบที่แน่ชัดแก่เจ้า ราชสำนักและจวนวารีต่างก็ต้องมีการจดบันทึก นอกจากนี้ขุนนางกรมขุนนางของเมืองหลวงและเมืองหลวงสำรองต้าหลี ทุกปีจะต้องส่งคนเข้ามาในห้องเอกสาร ทำหน้าที่คอยตรวจสอบเอกสารราชการโดยเฉพาะ สุดท้ายค่อยรับเป็นเนื้อหาในการทดสอบใหญ่ของขุนนางประจำท้องถิ่นซึ่งสี่ปีจะมีครั้งหนึ่ง”
หยางฮวาปิดหน้าหนังสือลง พลันเอ่ยว่า “ไปนั่งที่จวนวารีของเจ้าสักพัก..”
คิดจะอ่านสมุดเล่มนี้อย่างละเอียด เพียงแค่ว่าหยางฮวาคิดอีกทีก็เปิดปากพูดอีกว่า “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ยากที่จะมองความถูกผิดและข้อดีข้อเสียในสมุดเล่มนี้ออก เจ้าตามข้าไปในกองการเปลี่ยนเส้นทางของจวนวารีด้วยกันสักรอบเถอะ ไปอธิบายเนื้อหาในตำราให้ขุนนางของจวนวารีฟังเองอย่างละเอียด แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็จะร่วมฟังด้วย”
เฉินเหวินเชี่ยนเอ่ยอย่างกังขา “ออกเดินทางทันทีเลยหรือ?”
“ไม่อย่างนั้น?”
หยางฮวาหลุดหัวเราะพรืด ย้อนถามว่า “ข้าไม่ได้ชอบตกปลาเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ลำคลองเที่ยวโปแห้งขอดไปหมดแล้ว หรือจะบอกว่าพ่อปู่ลำคลองเฉินคิดจะแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ด้วยการเลี้ยงเหล้าข้า?”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “วิถีแห่งการเป็นขุนนาง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเทพภูเขาโต้วได้ติด เรื่องอย่างการเลี้ยงเหล้าผู้บังคับบัญชานี้ ข้าทำไม่ลงหรอก”
หยางฮวายิ้มเอ่ย “ก่อนจะมาหาเจ้า อันที่จริงข้าไปที่ยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นมารอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้สัมผัสกับความคอแข็งของเจ้าขุนเขาโต้ว”
เฉินเหวินเชี่ยนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หยางฮวาเอ่ย “โต้วแยนนับว่าไม่เลว เรื่องไม่น้อยที่มองดูเหมือนไม่จำเป็นต้องให้เขาถาม เขากลับให้ความสนใจอย่างมาก เป็นเทพภูเขาของยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นได้มากพอเหลือแหล่”
เฉินเหวินเชี่ยนโล่งอก
หนึ่งโหวจวินกับหนึ่งพ่อปู่ลำคลอง ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหารคาถาน้ำ ตรงดิ่งไปที่จวนวารีของฉางโหวชุน เพียงแค่เพื่อดูแลเฉินเหวินเชี่ยน หยางฮวาจึงต้องชะลอความเร็วลง
เฉินเหวินเชี่ยนหลุบตามองมองภูเขาสายน้ำบนพื้นดิน อยู่ดีๆ ก็ใช้เสียงในใจถามขึ้นว่า “ราชสำนักต้าหลีอีกสามสิบห้าสิบปีให้หลัง ยังจะสามารถรักษาความมีชีวิตชีวาที่แสวงหาความก้าวหน้าอย่างฮึกเหิมเช่นนี้อีกได้หรือไม่?”
ล่างภูเขา ถึงอย่างไรก็เป็นโอรสสวรรค์หนึ่งรัชสมัยขุนนางหนึ่งรัชสมัย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้ก็ไม่มีราชครูชุยฉานแล้ว
ใครจะกล้ารับประกันว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคนถัดไปจะต้องเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาฌานที่องอาจมากความสามารถ? จะไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการใหม่ กองกำลังแคว้นของต้าหลีจะตกต่ำลงหรือไม่?
หยางฮวาพยักหน้า “ต้องทำได้แน่นอน”
อันที่จริงนี่เป็นคำถามที่ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าล้ำเส้นแล้ว แต่คำตอบของหยางฮวากลับไม่มีลังเลแม้แต่น้อย
เฉินเหวินเชี่ยนถาม “เหตุใดหยางโหวจวินถึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้?”
อารมณ์ของหยางฮวาซับซ้อน ความคิดล่องลอยไปไกล ครู่หนึ่งต่อมาถึงคืนสติ ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเรามารอดูกันไปก็แล้วกัน”
——