กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 922.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (กลาง)
ผู้คุมกฎฉางมิ่งพาหมี่ลี่น้อยไปเดินเล่นด้วยกัน
เฉินผิงอันเองก็ไปเดินเล่นกับเจี่ยเฉิง ยิ้มถามว่า “ปรับตัวกับสถานะตอนนี้ได้แล้วกระมัง?”
เจี่ยเฉิงรีบประสานมือคารวะทันใด เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เพราะเจ้าสำนักให้ความสำคัญ โชคดีได้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญ จึงวางตัวรอบคอบระมัดระวัง ไม่กล้าประมาทเลินเล่อเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่กล้าวาดงูเติมขาด้วย คิดไปคิดมาก็ได้แต่ยึดมั่นในหลักการข้อหนึ่ง มองให้มากฟังให้มากยิ้มให้มาก พูดให้น้อยทำให้น้อยโอ้อวดให้น้อย เดิมทีตบะของข้าก็ตื้นเขิน เป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อย่าว่าแต่ช่วยส่งถ่านท่ามกลางหิมะให้กับเรือเฟิงยวนเลย ต่อให้เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำสำเร็จ ก็เลยคิดว่าอันดับแรกคือไม่ทำผิดพลาด แล้วค่อยเดินหนึ่งก้าวดูไปหนึ่งก้าว พยายามทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อภูเขาลั่วพั่ว จะทำผิดต่อความหวังยิ่งใหญ่ที่เจ้าขุนเขาฝากไว้ให้ไม่ได้”
ผู้คุมกฎฉางมิ่งของภูเขาลั่วพั่วและเหวยเหวินหลงท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภต่างก็ถือว่ามาช่วยงานบนเรือเฟิงยวนชั่วคราว รอแค่ให้งานเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่างสิ้นสุดลงก็จะหวนกลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว
ตามการจัดการของชุยตงซาน ผู้ที่ดูแลเรือข้ามฟากอย่างแท้จริงในท้ายที่สุด อันที่จริงยังคงเป็นเจี่ยเฉิงที่ต้องต้อนรับขับสู้ผู้คนและจางเจียเจินนักบัญชี
เรือข้ามฟากเฟิงยวนเดินทางข้ามผ่านสามทวีป ต้องผ่านท่าเรือทั้งหมดสิบเจ็ดแห่ง พูดถึงแค่ใบถงทวีปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้ หากรวมท่าเรือเหย่อวิ๋นของภูเขาหลิงปี้ และท่าเรือใบท้อของต้าเฉวียนเป็นหนึ่งในนั้นก็มีท่าเรือมากถึงเจ็ดแห่งแล้ว
โดยสารเรือข้ามทวีปเฟิงยวน ขุนเขาสายน้ำงดงามตระการตาล้วนอยู่ในคลองจักษุ อยู่กลางอากาศสูงหลุบตามองแผ่นหลังนก แหวกว่ายมหรรณพข้ามผ่านเกล็ดมังกรดารดาษ ประหนึ่งจักรพรรดิทะยานเมฆมาเยือนยอดเขาเขียว เห็นเพียงภูเขาขจีนับไม่ถ้วนก้มกราบกราน
ขุนเขาสายน้ำสามทวีปที่ตั้งอยู่บนแนวเส้นเหนือใต้ของใต้หล้าไพศาล ตั้งแต่เหนือสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน จนถึงใต้สุดที่ตั้งของท่าเรือชวีซาน เรือข้ามฟากเดินทางมาหนึ่งรอบนี้ มีเทพเซียนบนภูเขาแบบใดบ้างที่เจี่ยเฉิงไม่เคยเห็นมาก่อน เหวยอวี่ซงเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูก ทุกวันนี้ก็เรียกตนว่าน้องเจี่ยแล้ว และยังมีเทพธิดาหลายคนที่อยู่ในตำหนักฉางชุนเมืองหลวงต้าหลีที่พากันเรียกขานเขาว่านักพรตเจี่ย เรียกจนเทพเซียนผู้เฒ่าอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซานจวินใหญ่ที่ทั้งแจกันสมบัติทวีปรวมกันแล้วก็มีแค่ห้าท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ นั่นคือคนบ้านเดียวกัน ได้รับการยอมรับว่ามีความสัมพันธ์บนภูเขาแนบแน่นราวกับว่าภูเขาพีอวิ๋นสวมกางเกงตัวเดียวกับภูเขาลั่วพั่ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ นอกจากนี้จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลาง ฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินหญิงแห่งขุนเขาใต้ ทุกวันนี้เจี่ยเฉิงก็กลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของทั้งสองแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้า “ในใจรู้ให้มาก ปากพูดให้น้อย”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยอึ้งทึ่งตกตะลึง ทำสีหน้าและเสียงทอดถอนใจประกอบไปด้วย เรียกได้ว่าคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล “พูดมาตั้งนานก็ยังไม่ได้ข้อคิดที่เฉียบแหลมอย่างเจ้าขุนเขา เจี่ยเฉิงเป็นผู้ดูแลของเรือข้ามฟากก็เปลืองแรงมากแล้ว เจ้าขุนเขากลับมีนิสัยผ่อนคลายเรียบง่าย ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก มีอาณาเขตของสำนักสองแห่งภูเขาสองแห่ง นี่ถึงได้เป็นตัวจำกัดฝีมือของเจ้าขุนเขา ไม่อย่างนั้นในสายตาของเจี่ยเฉิงแล้ว ขอแค่เจ้าขุนเขายินดี คิดจะเป็นฮว่อหลงเจินเหรินแห่งแจกันสมบัติทวีป เป็นฝูลู่อวี๋เซียนแห่งใบถงทวีป ผู้คนก็ต้องให้การยอมรับแน่นอน”
เฉินผิงอันไม่ต่อปากต่อคำกับเขาในเรื่องนี้ รีบเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการถามว่า “ป๋ายเสวียนล่ะ?”
เจี่ยเฉิงลูบหนวดยิ้ม ตอบเสียงเบาว่า “อยู่บนเรือนี่แหละ เวลานี้น่าจะกำลังปิดด่าน ไม่อย่างนั้นคงออกมาพบเจ้าขุนเขาตั้งแต่ได้ข่าวแล้ว เมื่อเทียบกับตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้การหลอมกระบี่ของอิ่นกวานน้อยน้อยท่านนี้ของพวกเรา เรียกได้ว่ามานะหมั่นเพียรกว่าเดิมเยอะมาก บางทีอาจเป็นเพราะกำลังอดทนอดกลั้น ด้วยไม่ยินดีจะถูกซุนชุนหวังที่เป็นคนวัยเดียวกันทิ้งระยะห่างไปไกล เจ้าขุนเขา บอกตามตรงนะ ข้ารอคอยจะได้เห็นภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเซียนตูในอีกร้อยปีให้หลังอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่คิดถึงว่าตนเองสามารถเป็นหนึ่งในนั้นก็ล้วนรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วย ความทุกข์ยากจากการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ขึ้นเหนือล่องใต้มาตลอดทาง อันที่จริงก็ล้วนอยู่บนเรือเฟิงยวนมาโดยตลอด นอนเสพสุขอยู่อย่างเดียว หากจะบอกว่าต้องวิ่งเต้นอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ถือเป็นคำพูดอย่างไร้ความละอายของข้าแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “จุดที่ให้ลงมือมีไม่มาก จุดที่ให้ตั้งใจมีไม่น้อย ยังไงก็ยังลำบากมากอยู่ดี เชื่อว่าผู้คุมกฎฉางมิ่งล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา”
เจี่ยเฉิงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพึมพำว่า “มีคุณธรรมมีความสามารถใดถึงได้มาพบเจอเจ้าขุนเขาได้นะ”
ประโยคนี้ไม่ใช่ถ้อยคำประจบสอพลอของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย แต่เป็นถ้อยคำสัตย์จริงที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจจริงๆ
ตอนเด็กฉลาดเกินวัย แก่ตัวไปมีโชคในช่วงบั้นปลาย ก็คือเรื่องโชคดียิ่งใหญ่สองเรื่องบนโลกมนุษย์
หนึ่งอาศัยบุญกุศลที่สะสมมาจากชาติก่อน หนึ่งอาศัยการทำบุญทำความดีของชาตินี้
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของท่าเรือชวีซาน หวังจี้ผู้ถวายงานของสำนักกุยหยกกับสวีเซี่ยเค่อชิงสกุลหลิวของธวัลทวีป เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นคนแบบใด?”
เจี่ยเฉิงใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “หวังจี้มีชาติกำเนิดจากลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ นิสัยแข็งกร้าว พูดจาผึ่งผายตรงไปตรงมา ส่วนเซียนกระบี่ใหญ่สวีท่านนี้ มองดูเหมือนนิสัยเย็นชา ไม่น่าเข้าใกล้ แต่กลับมีจิตใจที่เร่าร้อนกระตือรือร้น คาดว่าคนอย่างสวีเซี่ยนี้คงคบหาใครเป็นเพื่อนได้ไม่ง่าย แต่ขอแค่เป็นเพื่อนกันแล้วก็สามารถฝากชีวิตไว้ให้ได้แล้ว”
หวังจี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่สำนักกุยหยกอบรมปลูกฝังมาด้วยตัวเอง เคยเป็นคนที่ด่าเจียงซ่างเจินแห่งใบถงทวีปดุเดือดรุนแรงที่สุด คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับกลายมาเป็นผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยก ว่ากันว่าเหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนปัจจุบันเป็นคนเชื้อเชิญให้หวังจี้ไปที่ยอดเขาจิ่วอี้ด้วยตัวเอง
ผู้ฝึกกระบี่สวีเซี่ยที่ช่วยเฝ้าพิทักษ์ท่าเรือชวีซานให้แทนสกุลหลิวธวัลทวีป มีฉายาว่า ‘สวีจวิน’ คือเซียนกระบี่ใหญ่แห่งเกราะทองทวีปที่เพิ่งจะอายุสองร้อยปีท่านหนึ่ง บนสนามรบของภาคเหนือในบ้านเกิด หวานเหยียนเหล่าจิ่งบินทะยานเฒ่าแอบสวามิภักดิ์กับโจวมี่มหาสมุทรความรู้อย่างลับๆ ในการประชุมครั้งสูงครั้งหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็ระเบิดความดุร้ายลงมืออำมหิตอย่างไม่มีลางบอกเหตุ หากไม่เป็นเพราะสวีเซี่ยเป็นคนออกกระบี่ขัดขวางนำไปก่อนใคร ร่วมมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของเกราะทองทวีปคนหนึ่งสกัดกั้นการแว้งกลับมาโจมตีกับหวานเหยียนเหล่าจิ่งเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นจำนวนผู้ฝึกตนเซียนดินที่บาดเจ็บล้มตาย เกรงว่าอย่างน้อยน่าจะเพิ่มไปอีกเท่าตัว ตอนนั้นสถานการณ์การสู้รบของเกราะทองทวีปมีแต่จะยิ่งเละเทะไม่เหลือสภาพดี ไม่แน่ว่าไฟสงครามอาจจะฉวยโอกาสลามไปยังหลิวเสียทวีปที่อยู่ภาคเหนือด้วยก็เป็นได้
เฉินผิงอันกล่าว “วันหน้าจะช่วยแนะนำยอดฝีมือลัทธิเต๋าคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ให้เจ้าได้รู้จัก ผู้อาวุโสท่านนี้ก็จะมาเข้าร่วมงานพิธีของสำนักพวกเราพอดี”
เจี่ยเฉิงคารวะตามขนบลัทธิเต๋าต่อเจ้าขุนเขาก่อนเพื่อแสดงการขอบคุณ จากนั้นก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “คงไม่ใช่ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อบางท่านที่มาจากจวนเทียนซือหรอกกระมัง?”
ด้วยสถานะของเจ้าขุนเขาในทุกวันนี้ รู้จักผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเคยพบหน้าพูดคุย แล้วเรียกกันเป็นสหายกับเทียนซือใหญ่คนปัจจุบันเลยก็เป็นได้
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลังจากที่ฮว่อหลงเจินเหรินปลดระวางจากตำแหน่งก็มีผู้อาวุโสท่านนี้มารับหน้าที่เป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ต่อ แซ่เหลียงนามหาว ผู้อาวุโสฝึกตนอยู่ในภูเขา ชื่นชอบความสนุกรังเกียจเสียงดังจอแจ นี่จึงเป็นเหตุให้ชื่อเสียงและฉายาของเขา ขนาดคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีคนที่รู้ไม่มาก ก่อนหน้านี้เจินเหรินผู้เฒ่าเหลียงเคยสร้างวีรกรรมที่ทุกวันนี้แพร่อยู่แค่บนยอดเขาไว้ที่ใบถงทวีปแห่งนี้ เจินเหรินผู้เฒ่ากับเทียนซือใหญ่ของจวนเทียนซือท่านก่อนเป็นเพื่อนเก่ากัน ดังนั้นเทียนซือคนปัจจุบันจึงยึดหลักผู้เยาว์ที่ให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสกับเจินเหรินผู้เฒ่า”
จิตแห่งมรรคาของเจี่ยเฉิงสั่นสะท้าน รีบหยุดเดิน คำนับตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ขอให้อู๋เลี่ยงเทียนจุนอำนวยพร”
ต้องรู้ว่าเจี่ยเฉิงฝึกเวทอสนี เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเวทห้าอสนีดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ถูกขนานนามว่าเป็นต้นตำรับของหมื่นอาคมแล้ว วิชาอสนีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสายของภูเขาที่เจี่ยเฉิงอยู่ บอกว่าเป็นวิชานอกรีตก็ถือว่าถูไถมากแล้ว ดังนั้นสามารถได้พบเทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ สำหรับผู้ฝึกตนเฒ่าตาบอดท่านนี้แล้วจึงมีความหมายยิ่งใหญ่มาก ไม่ได้เรียบง่ายอย่างเป็นแค่เรื่องของความมีหน้ามีตาเท่านั้น
กว่าเจี่ยเฉิงจะทำจิตใจให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขา รอให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็ต้องทำให้คนอื่นตกใจอีกครั้งแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง บอกว่าชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเก้าทวีปของไพศาลก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยกของใบถงทวีป ป๋ายฉางบุคคลอันดับหนึ่งทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีป ทุกวันนี้ก็มีขอบเขตบนวิถีกระบี่เช่นนี้เหมือนกัน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยากที่จะใช้คำกล่าวว่าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่มาหยอกล้อเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ได้อีกแล้ว”
เจี่ยเฉิงหัวเราะหึหึ รู้สึกเสียดายอยู่นิดๆ จริงเสียด้วย
หลังจากที่แยกกับเจี่ยเฉิง เฉินผิงอันก็เปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ไม่ได้ไปที่หาจางเจียเจินที่ห้องบัญชีก่อน
เจี่ยงชวี่กำลังเปิดอ่านตำราเล่มหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา บนหน้าหนังสือมีครบทั้งภาพวาดและตัวอักษร เป็นหนังสือสรุปรวมเล่มความรู้ความเข้าใจที่หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครเหนือเมฆมีต่อวิชายันต์ นี่จึงเป็นเหตุให้ตำราที่ไม่หนาเล่มนี้ถือว่าเป็นเลือดเนื้อจิตใจทั้งชีวิตของหวนอวิ๋น ตามกฎบนภูเขา เกรงว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดแท้ๆ ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
ได้ยินเสียงเคาะประตู เจี่ยงชวี่ก็เดินไปเปิดประตู แล้วก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก ไม่นึกว่าจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน
มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วนานหลายปีขนาดนี้ เนื่องจากใต้เท้าอิ่นกวานมักจะอยู่ข้างนอกเป็นประจำ โอกาสที่จะได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้
หลังจากเฉินผิงอันนั่งลงก็สอบถามถึงพัฒนาการในการฝึกวิชายันต์จากผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่มาจากตรอกซัวลี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้
ในฐานะผู้ฝึกตนสายยันต์เพียงหนึ่งเดียวของภูเขาลั่วพั่ว สถานที่ฝึกตนในภูเขาอย่างเป็นทางการของเจี่ยงชวี่อยู่ที่ภูเขาฮุยเหมิงฃ คราวก่อนเฉินผิงอันได้มอบ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มบนซึ่งคัดลอกกับมือตัวเองให้กับเจี่ยงชวี่
เจี่ยงชวี่รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ได้แต่แข็งใจเอ่ยว่า “ได้แต่เรียนรู้ยันต์พื้นฐานสามชนิดแรกของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริง’ เท่านั้น อีกทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้วย ได้แต่พูดว่าพอจะมีรูปร่างของยันต์อย่างคร่าวๆ อยู่ห่างจากขอบเขต ‘สำเร็จเล็กน้อย’ ของการวาดยันต์ที่เขียนไว้ในตำราของหวนเจินเหรินอีกยาวไกลเลยทีเดียว”
เกี่ยวพันกับการฝึกตนที่เชื่อมติดกับชีวิตอย่างแนบแน่น เจี่ยงชวี่ไม่กล้าปกปิดใดๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่กับใต้เท้าอิ่นกวานก็ไม่จำเป็นต้องมีหน้าตามีศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ทุกเรื่องล้วนยากเมื่อตอนเริ่มต้นเสมอ”
บนโต๊ะมีกระดาษยันต์สีเหลืองปึกหนึ่งที่เจี่ยงชวี่วาดเสร็จวางไว้ เฉินผิงอันหยิบยันต์แผ่นที่อยู่บนสุดขึ้นมา คือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด ทุกครั้งที่ออกจากบ้านเดินทางไกล ขึ้นเขาลงห้วย ถือว่าเป็นหนึ่งในยันต์ที่เขาเอาออกมาใช้มากที่สุด
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วสะบัดเบาๆ กระดาษยันต์พลันสลายหายไป หลงเหลือไว้เพียงรูปยันต์สีชาดที่ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นบิดหมุนข้อมือ ผลักออกไปในแนวนอนเบาๆ ยันต์ที่เดิมทีมีขนาดเท่าแค่ฝ่ามือพลันขยายใหญ่กลายเป็น ‘ยันต์ใหญ่’ สูงเท่าตัวคน ประหนึ่งทวยเทพที่ยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างยันต์แผ่นนี้ เจี่ยงชวี่รีบลุกขึ้นตามทันที ทั้งสองฝ่ายมียันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งกั้นกลาง
เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปยังลายเส้นสีชาดเส้นหนึ่ง “เจ้าดูตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเอียงไปเล็กน้อย แสดงว่าตอนที่เจ้าวาดยันต์แสวงหาการวาดให้สำเร็จในครั้งเดียวมากเกินไป กลับกลายเป็นว่าทำให้เกิดปัญหาในด้านการจัดการปราณวิญญาณ เป็นเหตุให้จิตวิญญาณไม่ครบถ้วน เมื่อลมปราณเสื่อมถอยลงกลางทางเส้นทางของยันต์ก็วุ่นวาย ถึงได้เกิดความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยประเภทนี้ เขื่อนยาวพันลี้พังลงได้ด้วยรังมดรังเดียว ผู้ฝึกตนมิอาจไม่ตรวจสอบ เส้นทางของการวาดยันต์ จำเป็นต้องมีสายตาและสภาพจิตใจที่เห็นเขาพระสุเมรเหมือนเมล็ดงา มองเมล็ดงาเหมือนเขาพระสุเมร”
“แล้วมาดูที่ตรงนี้ ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างเส้นตั้งและเส้นนอนก็มีปัญหาเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ขัดต่อการวาดยันต์นี้ให้สำเร็จของเจ้า แต่ตามศัพท์วิชาการของยันต์แล้ว ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นความขัดแย้งกันท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ จะทำให้การก่อเกิดของปราณวิญญาณในแก่นยันต์เกิดความเสียหาย หากเรียกออกมาใช้ พลานุภาพของยันต์ย่อมถูกลดทอนไปมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากประลองมรรคกถากับคนอื่นก็ง่ายที่จะถูกอีกฝ่ายหาช่องโหว่เจอ ได้รับการโจมตีทางเวทคาถาเล็กน้อยก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้นานแล้ว”
ช่วยชี้แนะข้อบกพร่องบนยันต์ให้กับเจี่ยงชวี่ไปทีละจุด มีตรงจุดใดบ้างที่ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขทันที มีจุดใดบ้างที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นหลังจากนี้ได้ เฉินผิงอันอธิบายอย่างละเอียดมาก เจี่ยงชวี่เงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไปทีละข้อ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ประกบสองนิ้ว ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษพู่กันและหมึกก็สามารถวาดยันต์ปราณหยางส่องไฟขึ้นมากลางอากาศ เมื่อยันต์ก่อตัวสำเร็จ พริบตานั้นแสงสีทองก็ส่องประกายเจิดจ้า สว่างพร่างพราวไปทั่วทั้งห้อง
——