กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 922.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (กลาง)
ต่อมาเฉินผิงอันก็รวบรวมมันให้กลายมาเป็นยันต์สีทองสูงหนึ่งฉื่อกว่าแผ่นหนึ่ง ผลักไปให้เจี่ยงชวี่ ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้าวาดยันต์ก็ทำการเปรียบเทียบให้มาก รอให้เจ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ ในฐานะของขวัญแสดงการอวยพร ข้าจะช่วยขอยันต์แผ่นหนึ่งที่เคยประคองภูเขาลูกหนึ่งให้ลอยพ้นจากพื้นมาได้นานหลายร้อยปีจากเทพเซียนผู้เฒ่าท่านหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นยันต์แผ่นนั้นจริงๆ ก็แค่คล้ายคลึงกับการคัดลอกสำเนาเอาเท่านั้น อยู่ห่างจากปณิธานจิตวิญญาณของผลงานจริงค่อนข้างห่างไกล”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “คนฟ้าร่วมกันสอนเวทอันเที่ยงตรงให้แก่กัน ท้องฟ้าปรากฏภาพเหตุการณ์คนลงมือกระทำ อริยะในอดีตเดินตามมหามรรคา แบ่งแยกหยินหยาง กำหนดข้อมูล ก่อตั้งจักรวาล รวบรวมฟ้าดินให้เป็นหนึ่งเดียว สายยันต์นี้ ในบางความหมายก็เหมือนกับหนังสือบันทึกลำดับเหตุการณ์ เหมือนตำราประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ล่างภูเขา ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนสายยันต์เท่านั้น การเดินขึ้นเขาฝึกตน เดิมทีก็เป็นการใช้ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์มาเชื่อมโยงเข้ากับฟ้าดินใหญ่ด้านนอก ดังนั้นเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จด้านวิถียันต์ในใต้หล้าจึงเคยเขียนบทนำในตำรายันต์เล่มหนึ่งที่แพร่หลายกว้างขวาง เพื่ออธิบายสาระสำคัญให้พวกเราเข้าใจอย่างชัดเจน ‘ศีรษะกลมกฎฟ้า เท้าเหลี่ยมกฎดิน เนตรตะวันจันทรา สี่แขนขาสี่ฤดูกาล ห้าอวัยวะห้าธาตุ เก้าเคล็ดลับเก้าทวีป เป็นเหตุให้ปราชญ์ในยุคโบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์มีลักษณะมากมายล้วนเป็นกฎแห่งฟ้าดิน’”
บนเส้นทางการฝึกตนของเฉินผิงอัน จำนวนครั้งที่วาดยันต์ แม้จะบอกว่าไม่อาจเทียบกับจำนวนครั้งของการฝึกหมัดได้ แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนสายยันต์เซียนดินบางส่วนแล้ว เกรงว่ามีแต่มากไม่มีน้อยกว่า เฉินผิงอันบอกเล่าถึงความรู้ความเข้าใจส่วนตัวให้เจี่ยงชวี่ฟังอย่างไม่มีปิดบัง “คำโบราณบอกไว้ว่าแผ่นดินมีเทือกเขามีสายน้ำไหล เหนือแก่นแท้แห่งเทือกเขาและสายน้ำคือดวงดาว แต่ละดวงสอดคล้องกับแต่ละอาณาเขต เส้นแบ่งเขตคือแคว้น ล้วนสอดคล้องกับจิตวิญญาณ เป็นเหตุให้บนฟ้ามีสี่ทิศเพื่อปรับจิตวิญญาณ บนดินมีลำน้ำและมหาสมุทรเพื่อเกิดเป็นภาพวาด ดังนั้นถึงได้บอกว่าขุนเขาสายน้ำ ดวงดาวเต็มท้องฟ้า ก็คือภาพยันต์ที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในสายตาของผู้ฝึกตนสายยันต์ นี่ต่างหากจึงจะเป็น ‘ยันต์ตำราเต๋า’ อย่างแท้จริง รอคอยให้คนมีโชควาสนามารับเอาในส่วนที่ตนเองต้องการไป ต่างคนต่างใช้วิธีการของตัวเองมาพิสูจน์มรรคาของใครของมัน เจี่ยงชวี่ เจ้าลองคิดดู เทือกเขาในโลกมนุษย์คดเคี้ยวไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ไยจะไม่ใช่ลายเส้นยันต์ฝีมือเซียนเหริน? ดาวเป่ยโต้วเจ็ดดวงบนท้องฟ้า ลอยอยู่กลางนภามานับหมื่นๆ ปี ไยจะไม่ใช่ภาพยันต์ที่สมบูรณ์แบบภาพหนึ่ง?”
“หากจะบอกว่าหลักการเหตุผลเป็นเรื่องเลื่อนลอย ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ตาเห็นก็ย่อมต้องเป็นของจริง”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเสียงหนัก “เจี่ยงชวี่ ยืนอยู่ที่เดิม รวบรวมสมาธิจิตใจ ทั้งจิตใจและร่างล้วนหยุดนิ่งทั้งหมด!”
ไม่ให้โอกาสเจี่ยงชวี่ได้เก็บรวบรวมความคิดจิตใจมากนัก เฉินผิงอันก็ยื่นมือออกมาตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างว่องไว เจี่ยงชวี่รู้สึกแค่ว่าร่างทั้งร่างลอยละล่องไปด้านหลัง แต่กลับค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า ด้านหน้านอกจากใต้เท้าอิ่นกวานที่สวมชุดสีเขียวแล้ว ยังมีแผ่นหลังของ ‘ตน’ ที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ด้วย จิตวิญญาณและร่างกายแยกจากกัน? หรือว่าเป็นจิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลอย่างที่กล่าวถึงในตำนาน? ไม่พูดถึงเวทลับและกรณีพิเศษทั้งหลาย ตามหลักการเหตุผลทั่วไปบนภูเขา หากผู้ฝึกตนสามารถสร้างโอสถทองที่ใสกระจ่างเม็ดหนึ่งขึ้นมาได้ ก็จะปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลได้ รอกระทั่งฟูมฟักทารกก่อกำเนิดได้สำเร็จ เรือนกายและจิตวิญญาณผสานเป็นหนึ่ง เติบโตอย่างแข็งแรง ก็จะมีเค้าโครงร่างของจิตหยางกายนอกกาย นี่ก็คือที่มาของคำกล่าวที่ว่า ‘เทพเซียนพสุธาหลอมเรือนกายอยู่ในโลกเพื่อให้เป็นอมตะไม่ดับสลาย’
คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงชวี่เพิ่งจะหยุดฝีเท้าก็ถูกเฉินผิงอันผลักหน้าผากเบาๆ หนึ่งที ร่างจึงถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าวอีกครั้ง
จากนั้นเฉินผิงอันก็สะบัดชายแขนเสื้อ ‘เจี่ยงชวี่’ ที่แยกไม่ออกแล้วว่าตัวเองเป็นใครกันแน่เหมือนเดินย่ำกลางอากาศ ฟ้าดินมีความต่าง นักพรตอาศัยอยู่ภายใน
ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของเจี่ยงชวี่ก็มีภาพแผนที่ภูมิศาสตร์ของเก้าทวีปในไพศาลปรากฏขึ้นมา ส่วนเหนือศีรษะก็มีธารดวงดาวหมื่นลี้ ดวงดาวกว้างใหญ่ไพศาลเล็กเหมือนเมล็ดงา ราวกับว่าแค่เอื้อมมือก็คว้ามาครองได้แล้ว
เฉินผิงอันประกบสองนิ้ว แตะลงบนหว่างคิ้วของ ‘เจี่ยงชวี่’ เบาๆ เหมือนกับช่วยเบิกเนตรสวรรค์ให้กับเขา
จากนั้นยื่นมือออกไปอีกครั้ง ยกแม่น้ำลำธารนับร้อยนับพันสายที่อยู่บนพื้นดินขึ้นมาเหมือนดึงเชือก ครั้นจึงกวักมือหนึ่งครั้ง กักธารดวงดาวเส้นนั้นมาไว้ในมือ ต่อมาสะบัดชายแขนเสื้อ ดวงดาวและแม่น้ำลำคลองพากันกรูเข้าหา ‘เจี่ยงชวี่’ ที่เรือนกายล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ราวกับว่าพริบตานั้นเขาก็กลายมาเป็นช่องโพรงลมปราณเทือกเขา แม่น้ำยาวเส้นชีพจรทั้งหลายในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของฝ่ายหลัง
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็เห็นว่าจิตแห่งมรรคาของเจี่ยงชวี่ไม่อาจค้ำประคองภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้ไว้ได้อีกต่อไป เพียงแต่ว่าตัวเจี่ยงชวี่เองไม่รับรู้แม้แต่น้อย ยังคงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางภาพเหตุการณ์ระหว่างฟ้าดินนี้อย่างมิอาจถอนตัวได้ หากยังถ่วงเวลาต่อไปก็จะทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของเจี่ยงชวี่ เฉินผิงอันจึงทำท่ากระชากไปทางดวงจิตเมล็ดงาของเขาเบาๆ นำพาสามสิ่งอย่างจิตใจ จิตวิญญาณและเรือนกายของเจี่ยงชวี่กลับมารวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
หลังจากเจี่ยงชวี่คืนสติถึงได้ค้นพบว่าแผ่นหลังของตัวเองหลั่งรินไปด้วยเหงื่อ เรือนกายโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ เฉินผิงอันยื่นมือไปกดไหล่ เจี่ยงชวี่ที่สีหน้าซีดขาวถึงได้ไม่สะดุดล้มคว่ำ
ช่วยชี้แนะให้กับผู้ฝึกตนบ้านตนเล็กน้อย เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากอู๋ซวงเจี้ยงที่ปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของตำหนักสุ้ยฉู
ส่วนวิชาการสืบทอดที่เป็นรูปธรรม เห็นได้ชัดว่าเป็นการเรียนรู้และเอามาปรับใช้ทันทีจากหลิวจิ่งหลง
เฉินผิงอันให้เจี่ยงชวี่กลับไปนั่งที่ ปรับลมหายใจให้ดีเพื่อทำจิตวิญญาณให้มั่นคงเสียก่อน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คำว่าเดินทางไกลหมื่นลี้ ตามความเห็นข้า อันที่จริงสามารถแบ่งออกได้สองชนิด หนึ่งคือออกเดินทางหาประสบการณ์ข้างนอก นอกจากนี้ก็คือผู้ฝึกตนคอยพิศมองฟ้าดินเล็กในร่างกายตัวเอง อาศัยสิ่งนี้มาฝึกตน ควบการอบรมบ่มเพาะตัวเองทั้งในและนอก ดูแลทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ จิตมุ่งไปที่ปณิธานยาวไกล เท้าเหยียบมั่นคงอยู่บนพื้นดิน เชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องสามารถวาดยันต์เฉพาะที่เป็นของตัวเองออกมาได้หลายแบบแน่นอน”
เจี่ยงชวี่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยอย่างเขินอายว่า “มิกล้าคิด”
“ต้องคิด”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “ผู้ฝึกตนสายยันต์คนหนึ่งที่ไม่คิดแม้แต่จะวาด ‘ยันต์ใหญ่’ บนภูเขาออกมาหลายๆ แผ่น วันหน้าจะมีอนาคตได้ดิบได้ดีได้อย่างไร?”
เจี่ยงชวี่ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง
จากนั้นเฉินผิงอันจึงหยิบกล่องไม้ทรงยาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ด้านในบรรจุก้อนหมึกสีชาดสิบก้อน ล้วนมอบให้เจ้าทั้งหมด แกะสลักถ้อยคำมงคลทำนองว่า ‘ฟ้าคล้อยดวงดาวสาดส่อง’ ล้วนเป็นฝีมือของเซียนดิน เป็นเหตุให้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่ไม่ต้องขอบคุณข้า ครั้งนี้เสี่ยวโม่เดินทางไปเยือนนครบินทะยานของใต้หล้าห้าสีพร้อมกับข้า เสี่ยวโม่บังเอิญไปเจอผู้ฝึกตนสายยันต์หลายคนที่เดินทางมาเยือนนครปี้สู่ในตลาดตระกูลเซียนแห่งหนึ่งพอดี พวกเขาร่วมมือกันเปิดร้านแห่งหนึ่ง ตอนที่เสี่ยวโม่แวะเข้าไปในร้านได้ตั้งใจซื้อหมึกสีชาดของหยวนหลิงชุดนี้มาให้เจ้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการเก็บตกของดี พูดได้แค่ว่าราคาเป็นธรรม อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวโม่คือผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานก็เลยอยากจะฉวยโอกาสนี้ตีสนิท เดิมทีเสี่ยวโม่จะมอบให้เจ้าในนามของข้า ข้ารู้สึกว่าไม่เหมาะ เจ้าแค่รับไว้ก็พอแล้ว หลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเสี่ยวโม่โดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้ามีเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่เขาจะไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์ก็เพราะไม่อาจทนรับการไปขอบคุณถึงที่แบบที่เท้าหน้าเพิ่งเดินพ้นไปเท้าหลังก็ตามมาติดๆ”
เจี่ยงชวี่รู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสเสี่ยวโม่มอบของขวัญล้ำค่าแบบนี้ให้ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “ใครให้เขาขอบเขตสูง ในกระเป๋ายังมีเงิน เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน งานอดิเรกเพียงหนึ่งเดียวก็คือคิดว่าใครต้องการอะไร ข้าโน้มน้าวเขามาหลายครั้งแล้ว ก็ยังไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรเลย”
สายของการวาดยันต์ กระดาษยันต์และหมึก โดยทั่วไปแล้วคือของที่จำเป็นต้องมีซึ่งมิอาจขาดได้ ซึ่งน่าจะแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่คือชาดกับหมึกสนรมควัน ผงสีทองและผงสีเงิน สรุปก็คือล้วนกินเงินอย่างมาก
ชาดนั้นเดิมทีก็คือวัตถุดิบในการหลอมโอสถของตระกูลเซียน นอกจากนี้จักรพรรดิในโลกมนุษย์ยังต้องใช้ในการตรวจฎีกา ใช้ในการวาดวงกลม ในสายตาของผู้ฝึกตน สีแดงก็คือสีของดวงอาทิตย์แห่งฟ้าดิน มากพอจะหลบเลี่ยงความชั่วร้าย ขับไล่เสนียดจัญไร เป็นเหตุให้หมึกสีชาดที่สร้างขึ้นด้วยวิธีลับของตระกูลเซียนถูกขนานนามให้เป็นเกณฑ์หลักที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้ร่วมกัน บวกกับที่คำว่าชาดจูซาออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘จูซา’ ที่แปลว่าสังหาร ดังนั้นยิ่งเป็นชาดที่ระดับขั้นดีเยี่ยมมากเท่าไร ยามนำมาใช้วาดยันต์ ผลลัพธ์ในการขับไล่ผีสิ่งชั่วร้ายก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น
เพียงแต่ว่าสถานที่ผลิตชาดบนโลกมีมาก จำนวนเก็บสะสมก็มากมหาศาล ดังนั้นปัญญาชนถึงได้มีข้อสงสัยที่ว่า ‘ชาดต่ำต้อยเหมือนดิน มิอาจเอามาหลอมเป็นโอสถ’ และชาดที่ผลิตจากหยวนหลิง ระดับขั้นก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งบนโลก หลังจากที่นำมาทำเป็นก้อนหมึก ฝนอย่างละเอียด ตัวอักษรปลายใต้พู่กันก็ถูกเรียกขานว่าเป็นตำราชาดอักษรจริง ในใต้หล้าไพศาลส่วนใหญ่ก็มักจะถูกจักรพรรดิและกรมพิธีการนำมาใช้เป็นหนังสือคำสั่งในการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ไป พวกเราไปไถเงินที่ห้องนักบัญชีจางกัน”
นักบัญชีที่อยู่บนเรือข้ามฟาก นอกจากเหวยเหวินหลงเทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาลั่วพั่วแล้วยังมีจางเจียเจินที่มิอาจฝึกตนอยู่ด้วย
เจี่ยงชวี่กับจางเจียเจินเป็นทั้งคนร่วมบ้านเกิด แล้วยังเป็นคนวัยเดียวกัน เพียงแต่ว่าเนื่องจากคนหนึ่งได้เดินขึ้นเขาฝึกตนแล้ว อีกคนหนึ่งกลับเป็นมนุษย์ธรรมดามาโดยตลอด ดังนั้นทุกวันนี้หากดูกันแค่ที่รูปโฉม อายุของทั้งสองฝ่ายอย่างน้อยต้องห่างกันสิบกว่าปี
คนทั้งสองมาถึงห้องบัญชี จางเจียเจินก็ยิ้มถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน เจี่ยงชวี่ พวกท่านมาดื่มเหล้าหรือว่าดื่มชาล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดื่มชาร้อนๆ สักถ้วยก็พอ ดื่มเหล้าง่ายที่จะทำให้เสียเรื่อง คิดบัญชีเป็นงานที่ต้องอาศัยความแม่นยำและละเอียดอ่อน ไม่ใช่การร่ายกวีแต่งบทกลอนของพวกปัญญาชนที่ดื่มเหล้าช่วยกระตุ้นอารมณ์แล้วจะเสริมสร้างแรงบันดาลใจได้”
จางเจียเจินพยักหน้า “รอสักครู่ ข้าจะต้มน้ำชงชาเดี๋ยวนี้”
ในห้องมีใบชาเตรียมไว้อยู่แล้ว คือชาก่อนฝนตกที่ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนผัดเองกับมือ ล้วนบรรจุไว้ในกระปุกดีบุก
ตรงมุมห้องมีเตาอยู่ใบหนึ่ง และยังมีถ่านไม้อยู่หนึ่งถุง จางเจียเจินหยิบตะบันไฟออกมา จุดไฟใส่ไม้ฟืนและหญ้าลงในกระถางอย่างคุ้นเคย ดูท่าเวลาปกติน่าจะดื่มชาบ่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีกระถางไฟใบใหญ่อีกหนึ่งใบ วางไว้ใต้โต๊ะ ความหนาวเย็นมักจะแผ่มาจากฝ่าเท้า เวลาปกติจางเจียเจินจะใช้เท้าสองข้างเหยียบลงบนริมขอบกระถางไฟ เพื่อใช้หาความอบอุ่นขับไล่ความหนาว
เจี่ยงชวี่เห็นภาพนี้เข้า สีหน้าก็ซับซ้อน
หากตนต้มชา ถ้ามีแขกที่ต้องรับรอง เรื่องฉุกละหุกกะทันหัน ถ้าอย่างนั้นเรื่องของการจุดไฟ แค่ใช้ยันต์เปลวเพลิงบนภูเขาที่ธรรมดาที่สุดแผ่นเดียวก็พอ ประกอบกับเผาผลาญปราณวิญญาณอีกเล็กน้อยก็สามารถทำได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงปีนั้นที่จูเหลี่ยนลากตนไปเป็นช่างไม้ด้วยกัน ประโยคที่เหมือนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจของผู้ดูแลใหญ่ตอนที่ตีเส้นวัดไม้
รู้ว่าบางเรื่องมิอาจทำอะไรได้ก็ต้องยอมรับชะตากรรม คนเรารู้ชะตากรรมและยอมรับตัวเองก็คือคุณธรรมขั้นสูงสุด
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าพูดให้เจี่ยงชวี่ฟัง แต่เนื้อหาในถ้อยคำนี้ต้องไม่ใช่คำชมที่มีต่อเจี่ยงชวี่ แต่ต้องมีเป้าหมายอย่างอื่นแน่นอน
บอกตามตรง หากไม่เป็นเพราะได้รับคำเตือน หรือควรจะพูดว่าการกระทบกระเทียบจากจูเหลี่ยน
เจี่ยงชวี่ก็คงจะรู้สึกว่าตนกับคนร่วมบ้านเกิดผู้นี้ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ
ประโยคว่า ‘อาศัยอะไรเจ้าขุนเขาสามารถใช้จิตใจที่สงบเป็นกลางมองจางเจียเจิน แต่กับเจ้ากลับทำไม่ได้’ ของจูเหลี่ยนเคยทำให้เจี่ยงชวี่รู้สึกเหมือนตกอยู่ในหลุมน้ำแข็งในเสี้ยววินาที จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหวาดผวาไม่คลาย
หลักการเหตุผลนั้นเขาเข้าใจแล้ว
เพียงแต่ว่ากระทั่งวันนี้ ติดตามใต้เท้าอิ่นกวานมาที่นี่ เจี่ยงชวี่มองห้องบัญชีที่เรียบง่ายซึ่งไม่เคยย่างเท้ามาเยือนแห่งนี้ รวมไปถึงคนวัยเดียวกันคนร่วมบ้านเกิดที่รับมือกับปัญหาได้อย่างเยือกเย็นผู้นี้ ก็คล้ายจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างที่นอกเหนือจากหลักการเหตุผลขึ้นมา
เสี่ยวโม่เองก็มีของขวัญชิ้นหนึ่งมามอบให้จางเจียเจินเช่นกัน เฉินผิงอันวางลงบนโต๊ะ จางเจียเจินปฏิเสธไม่เป็นผลจึงได้แต่รับเอาไว้
เฉินผิงอันดื่มน้ำชา เปิดสมุดบัญชี ถือโอกาสเล่าสถานการณ์ของนครบินทะยานให้คนทั้งสองฟังไปด้วย จางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่ย่อมไม่ยินดีจะพลาดเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับบ้านเกิดไปแม้แต่คำเดียว
ปิดสมุดบัญชีที่อยู่ในมือ เฉินผิงอันเงยหน้ายิ้มถาม “ฟังเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกเสียใจภายหลังที่ติดตามข้ามาอยู่ใต้หล้าไพศาลหรือไม่?”
เจี่ยงชวี่กับจางเจียเจินหันมามองสบตาแล้วยิ้มให้กัน
——