กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 922.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (กลาง)
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็จากไปเพียงลำพัง เจี่ยงชวี่อยู่ในห้องต่อ จางเจียเจินหิ้วกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา ช่วยเติมชาร้อนๆ ให้อีกฝ่ายถ้วยหนึ่งแล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “หากว่าเจ้าไม่รู้สึกอึดอัดใจ วันหน้าเรื่องของการฝึกตน ถ้ามีจุดที่ต้องใช้เงินก็สามารถบอกกับข้าสักคำ ถึงอย่างไรเงินเดือนก้อนนั้นของข้าเก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไร อย่างมากสุดก็แค่นอนกินดอกเบี้ยเล็กน้อยอยู่บนสมุดบัญชีเท่านั้น เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นี้ต้องไม่อาจช่วยงานใหญ่อะไรเจ้าได้ แต่ก็เป็นน้ำใจจากข้า”
เจี่ยงชวี่มองจางเจียเจินที่มีสีหน้าจริงใจแล้วพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “ข้าจะต้องเกรงใจเจ้าไปทำไม”
จากนั้นเจี่ยงชวี่ก็เอ่ยหยอกล้อว่า “คนที่ให้ยืมเงินยังลำบากใจกว่าคนที่ยืมเงินเสียอีก เรียนรู้มาจากใต้เท้าอิ่นกวานหรืออย่างไร?”
จางเจียเจินเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เจี่ยงชวี่ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวเปิดปากถามว่า “จางเจียเจิน เจ้าไม่ได้วางแผนในระยะยาวบ้างเลยหรือ?”
ในภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนว่าจะมีเพียงนักบัญชีคนนี้เท่านั้นที่ไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกตน แล้วก็ไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกยุทธ
ฟังความนัยในคำพูดของเจี่ยงชวี่ออก จางเจียเจินจึงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “มีสิ ข้าเคยคุยกับอาจารย์จูมานานแล้ว ดูว่าในวันหน้าจะมีโอกาสกลายเป็นเทพภูเขาหรือไม่”
เจี่ยงชวี่ได้ยินเรื่องนี้ก็ตกตะลึงไม่น้อย ใคร่ครวญอย่างละเอียดก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “จางเจียเจิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากมนุษย์ธรรมดาอยากกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่งไม่ได้ง่ายเลย ต่อให้ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก หากเดิมทีก็เป็นผีหรือวิญญาณวีรบุรุษอยู่แล้วยังพูดง่าย แต่หากเป็นคนตัวเป็นๆ อย่างเจ้า ลำพังความเจ็บปวดทรมานยามที่เลือดเนื้อสูญสิ้นเหลือเพียงโครงกระดูกตั้งอยู่ ความทุกข์ทนที่จิตวิญญาณต้องได้รับ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณเลย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เดิมทีเรือนกายแข็งแกร่งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะรับได้ไหว หากล้มเหลวขึ้นมาก็ต้องมีจุดจบที่จิตวิญญาณแหลกสลาย ว่ากันว่าแม้แต่กลับไปเกิดใหม่ชาติหน้าก็ยังไม่มีโอกาสแล้วนะ!”
จางเจียเจินรินน้ำชาร้อนให้ตัวเองหนึ่งถ้วย “เจ้าลืมยาทาที่ร้านยาตระกูลหยางของเมืองเล็กไปแล้วหรือ? แม้จะบอกว่าทุกวันนี้ทางราชสำนักต้าหลีมีการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ใต้เท้าอิ่นกวานกับภูเขาลั่วพั่วมีต่อพวกเขา ขอมาให้ข้าสักตลับก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ยาทาประเภทนั้น ความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือนอกจากจะขจัดความเจ็บปวดได้แล้ว ยังสามารถทำให้คนมีสติแจ่มชัดได้ด้วย
จางเจียเจินเอ่ยต่ออีกว่า “อาจารย์จูพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า นี่ยังเป็นเพียงแค่ก้าวแรกของการกลายเป็นเทพภูเขาเท่านั้น อันที่จริงหลังจากนั้นยังมีประตูผีอีกสองบานที่ต้องเดินผ่าน แต่ต่อให้ข้าจะมิอาจผ่านด่านทั้งสามกลายเป็นเทพภูเขาได้ ก็ยังมีทางให้ถอยหลังกลับ อย่างมากสุดก็แค่ถอยมาเลือกอันดับรอง แค่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วต่อด้วยสภาวะของภูตผีวิญญาณหยิน เพียงแต่ว่าหากคิดจะขอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากราชสำนักต้าหลีกลับค่อนข้างยาก ได้แต่สร้างศาลเถื่อนแห่งหนึ่งขึ้นมาให้ข้า ดังนั้นต่อให้มีศาลและร่างทองก็ไม่ถือว่าเป็นร่างทองที่บริสุทธิ์ ในอนาคตคิดจะเสวยสุขกับควันธูปของโลกมนุษย์ก็มีขีดกำจัดอย่างใหญ่หลวง แต่ว่านี่เป็นแค่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลให้มากนัก”
เจี่ยงชวี่เงียบเสียงไป
พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ธรรมดาอยากมีร่างทอง เปลี่ยนจากคนตัวเป็นๆ ไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ต่างอะไรจากการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ธรณีประตูนั้นสูง ระดับความยากมีมากจนมิอาจจินตนาการได้
จางเจียเจินยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้ใต้เท้าอิ่นกวานต้องรู้แต่แรกแล้วแน่นอน แต่กลับไม่เคยพูดคุยกับข้า เจี่ยงชวี่ เจ้าลองบอกมาสิว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
เจี่ยงชวี่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน ต้องเป็นเพราะใต้เท้าอิ่นกวานมีความมั่นใจมากแล้ว
เจี่ยงชวี่พลันรู้สึกโล่งอก จุ๊ปากเอ่ย “เจ้าจางเจียเจินตัวดี ฉลาดเฉียบแหลมนักนะ”
จางเจียเจินชี้ไปยังสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ “คนโง่จะเป็นนักบัญชีได้หรือ?”
เฉินผิงอันไปเจอเสี่ยวโม่ที่ห้องของหมี่ลี่น้อย บังเอิญที่ไฉอู๋และซุนชุนหวังต่างก็อยู่ด้วย ขอแค่มีเวลาว่างจากการฝึกตนไฉอู๋ก็มักจะมาจิบเหล้าอยู่ที่นี่เสมอ
ทุกวันนี้ในห้องของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาภูเขาลั่วพั่วมีตู้หลังหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ช่วยต่อขึ้นให้ด้วยตัวเอง วางกาเหล้าไว้จนเต็ม ล้วนเป็นเหล้าที่เตรียมไว้ให้ไฉอู๋
เสี่ยวโม่กำลังสอนมรรคกถาและเวทกระบี่ให้กับแม่นางน้อยทั้งสอง
ถึงอย่างไรเด็กทั้งสองต่างก็มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ง่ายที่จะยกตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียวก็อนุมานไปเป็นเรื่องต่างๆ ได้อีกมากมาย
เฉินผิงอันนั่งแทะเมล็ดแตงบนม้านั่งตัวยาวกับหมี่ลี่น้อย
เสี่ยวโม่กังวลว่าวิถีการฝึกตนของตนจะมีความต่างด้านความหมายและตัวอักษรจากเวทลับของทุกวันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองทำร้ายลูกศิษย์ของผู้อื่น เสี่ยวโม่จึงตั้งใจสอนบทเรียนวิชาภาษาที่หายสาบสูญไปนานแล้วบทหนึ่งให้กับแม่นางน้อยทั้งสองด้วย
เวลานี้เสี่ยวโม่กำลังถ่ายทอดวิชาคาถาบรรพกาลที่เกี่ยวกับการเพ่งสมาธิเฝ้าดูอย่างหนึ่ง ซึ่งก็มีความแตกต่างจากคาถาของทุกวันนี้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเวลานี้เสี่ยวโม่กำลังชี้ไปที่ลำคอของตัวเอง เรียกคอเป็นหอเรือนสิบสองชั้นเหนือตำหนักชาดบนผืนนาหัวใจ นอกจากนี้อวัยวะภายในทั้งหลายก็มีกองฝ่ายงานเป็นของตัวเอง แต่ละฝ่ายมีวิธีการหล่อหลอมแตกต่างกัน ของเหลวในเก้าช่องโพรงเชื่อมโยงถึงกัน ร้อยชีพจรหมุนเวียนถ่ายเท ไม่มีส่วนใดที่ถูกละทิ้ง เสี่ยวโม่ให้แม่นางน้อยทั้งสองโคจรปราณวิญญาณหนึ่งกลุ่ม ไม่เหมือนกับการหายใจเข้าออกของผู้ฝึกลมปราณ กลับเหมือนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธมากกว่า จากบนลงล่าง ขณะเดียวกันในอาณาเขตที่แตกต่างของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ก็ได้ให้พวกนางแยกกันจินตนาการภาพถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันตามกองงานทั้งหลายในยุคบรรพกาล ประหนึ่งคนลาดตระเวนโลกมนุษย์ที่ลงมาจากฟากฟ้า…
สามแสงอยู่บนใต้พื้นมีแสงเทียน แสงตะวันจันทราดาราสาดส่องลงบนเก้าแดน ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนมีแต่ทวยเทพ ตะวันจันทราโบยบินอยู่ระหว่างหกสมพงศ์
กอดเหลืองกลับสู่ตันเถียนม่วง ธงมังกรโบกสะบัดบนฟ้าขว้างกระดิ่งไฟ ฟ้าคำรามสายฟ้าแลบกระตุ้นทวยเทพ เซียนดินอมตะอยู่ห่างไกลจากความตาย
การฝึกตนด้วยวิชาโบราณประเภทนี้ก็มีเพียงเสี่ยวโม่เท่านั้นที่สอนให้ได้
ประเด็นสำคัญคือแม่นางน้อยทั้งสอง ทุกครั้งที่พิศดูทวยเทพที่แตกต่างกันก็จะมีภาพบรรยากาศที่ไม่ธรรมดาส่วนหนึ่งผุดลอยขึ้นมาเพื่อขานรับกันจริงๆ
เฉินผิงอันคิดว่าตอนที่ตัวเองอายุเท่าพวกนาง หากไม่ได้ฝึกซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนก็อย่าหวังว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไฉอู๋และซุนชุนหวังได้
หมี่ลี่น้อยยกมือป้องข้างปาก กดเสียงต่ำเอ่ยกับเจ้าขุนเขาคนดี “ฟังไม่เข้าใจเลยสักประโยคเดียว จะทำอย่างไรดี?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นภาษายุคบรรพกาล ฟังไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติมาก”
อันที่จริงครั้งนี้ตอนที่อยู่นครบินทะยาน เฉินผิงอันยังคัดลอกตำรากระบี่หลายเล่มมาจากหอถามกระบี่ ซุนชุนหวังเป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และแม่นางน้อยก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของหนิงเหยาด้วย เรื่องนี้จึงไม่ถือว่าผิดกฎ
รอกระทั่งพวกนางเข้าสู่ดินแดนที่คล้ายคลึงกับการ ‘มีสมาธิแน่นิ่งก็คือเจินเหริน’
เสี่ยวโม่ก็มองมาทางคุณชายของตน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ สามารถออกเดินทางได้แล้ว
พาหมี่ลี่น้อยเดินออกมาจากห้อง เฉินผิงอันเดินไปที่หัวเรือ ความคิดขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ครู่หนึ่งต่อมา กลางทะเลเมฆที่อยู่ห่างไปไกลก็มีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นเป็นระลอก เพียงแต่ว่ารอกระทั่ง ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ ผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้เรือเฟิงยวน กลับกลายเป็นว่าเงียบเสียงลงในชั่วพริบตา ก็คือกระบี่ยาว ‘เย่โหยว’ ที่เฉินผิงอันทิ้งไว้บนภูเขาเซียนตู
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ย “ไปแปบเดียวก็กลับมาแล้ว”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย
เรือนกายของเฉินผิงอันกลายเป็นแสงกระบี่หลายสิบเส้นที่พุ่งออกไปห่างจากเรือเฟิงยวนหลายร้อยจั้ง รอกระทั่งเรือนกายกลับมารวมตัวเป็นชุดเขียวอีกครั้งก็ขี่กระบี่ลงใต้ ตรงดิ่งไปยังพื้นที่ใจกลางของใบถงทวีป
เสี่ยวโม่ตามมาด้านหลังติดๆ
ดวงตะวันร้อนแรงแผดเผา บนเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนลำหนึ่ง เซียนซือหลายท่านกำลังหลุบตาลงมองทัศนียภาพในโลกมนุษย์
แสงกระบี่โค้งเส้นหนึ่งที่มาพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าพุ่งผ่านสะเทือนเลือนลั่นห่างไปหลายร้อยจั้ง
เป็นเหตุให้เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำนี้เหมือนแล่นอยู่ในน้ำซึ่งจู่ๆ ก็เจอคลื่นโถมเข้าใส่ เรือจึงโยกคลอนขึ้นลงในฉับพลัน
รอกระทั่งหันหน้าไปมองก็เห็นเพียงแสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่ง เงาร่างสีเขียวสายหนึ่งกลับห่างไปไกลนานแล้ว
พื้นที่เมืองหลวงของราชวงศ์ล่างภูเขาแห่งหนึ่งกำลังเจอกับฝนเทกระหน่ำ ตอนกลางวันอากาศมืดสลัวราวกับยามค่ำคืน
พริบตานั้นเมฆดำทะมึนก็ถูกแสงกระบี่คมกริบฉีกกระชาก ประหนึ่งท้องฟ้าแหวกออกเป็นเส้นหนึ่งเส้น แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังโลกมนุษย์
แม่น้ำเชี่ยวกรากไหลไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก เมื่อเงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งพุ่งวาบผ่านไป บนผิวน้ำใต้ฝ่าเท้าก็พลันเกิดเป็นร่องลึก พอจะมองเห็นท้องน้ำที่เปิดเปลือยได้อย่างเลือนราง
จวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง ยอดเขาตระหง่านโอฬาร ผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่ตาดีสังเกตเห็นแสงสว่างจุดหนึ่งโผล่มาตรงจุดที่ห่างไปไกล เพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตาก็ส่องแสงจ้าบาดตา ตรงดิ่งกระแทกลงมายังภูเขาบรรพบุรุษแห่งนี้
นาทีถัดมา แสงกระบี่พลันกระจายออกไปทั่วทิศคล้ายอ้อมผ่านภูเขาทั้งลูกออกไป แล้วไปรวมตัวกันเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งตรงจุดที่ห่างไปไกลมากอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงเสียงอสนีบาตที่กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
สุดท้ายแสงกระบี่นี้ไปหยุดอยู่ตรงจุดหนึ่ง เผยให้เห็นเรือนกายของคนผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป มองดูคล้ายว่างเปล่าไร้สิ่งใด แต่แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ อันที่จริงตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล บางทีนอกจากปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งแล้วก็มีเพียงเขาเฉินผิงอันเท่านั้นที่หาสถานที่แห่งนี้พบเจอได้อย่างง่ายดาย
หอพิทักษ์เมืองทั้งเก้าแห่งของใต้หล้าไพศาลถูกศาลบุ๋นตั้งแยกกันไว้เพื่อใช้สยบโชคชะตาของขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป
หอสยบปีศาจของใบถงทวีปแห่งนี้ ร่างจริงคือต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง เล่าลือกันว่าต้นไม้ต้นนี้เคยอยู่ใกล้กับท้องฟ้ามาก เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นมาล้วนไม่อาจสูงเกินต้นไม้ต้นนี้ได้
คราวก่อนคนที่มาเป็นแขกที่นี่คือมหาสมุทรความรู้โจวมี่ เฝ่ยหรานและเซอเยว่
แต่เฝ่ยหรานกับเซอเยว่ในเวลานั้นล้วนถูกโจวมี่กักตัวไว้ข้างกายชั่วคราว ทั้งสองฝ่ายถึงได้โชคดีได้พบเห็น ‘ความจริงส่วนหนึ่ง’ ของหอสยบปีศาจ ต้นอู๋ถงที่มีอายุขัยยาวนานต้นหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่ได้เผยร่างจริง ซึ่งมหามรรคาได้จำแลงออกมาเป็นนครตระหง่านโอฬารแห่งหนึ่ง กินอาณาเขตนับพันลี้
เพียงแต่ว่าปีนั้นโจวมี่เพียงแค่ยื่นมือไปลองหยั่งเชิง สามารถทำลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำได้ แต่สุดท้ายกลับไม่เลือกที่จะเข้าไปข้างใน
โจวมี่เคยบอกเรื่องวงในที่น่าตะลึงพรึงเพริดบางอย่างกับเซอเยว่ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าอารามดอกบัวจำเป็นต้องตาย เพียงแต่ว่าตายเร็วกว่าที่โจวมี่คาดการณ์เอาไว้
และเซอเยว่ก็คือ ‘บรรพบุรุษแห่งดวงจันทร์’ เป็นเหตุให้อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นางจึงมีเหตุผลชอบธรรมยิ่งกว่าเจ้าอารามดอกบัวที่ยึดครองและหล่อหลอมดวงจันทร์ดวงหนึ่งได้ แต่เซอเยว่กลับยังคงไม่ใช่ผู้ครองดวงจันทร์หนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงของยุคบรรพกาล พูดได้แค่ว่ามีโอกาส โอกาสสูงมาก ดังนั้นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่อย่างซินจวงถึงได้ไปคุยเล่นกับเซอเยว่ในดวงจันทร์บ่อยๆ เพราะร่างจริงบนมหามรรคาของซินจวงเคยเป็นเทพหญิงที่รดน้ำตัดกิ่งกุ้ยในตำหนักดวงจันทร์
ยุคบรรพกาลมีดวงจันทร์อยู่มากมาย หากบรรยายมันให้กลายเป็นที่ว่าการแห่งหนึ่งของหกกรม เซอเยว่ก็คือขุนนางที่มีอำนาจสูงที่สุด หากกลับคืนสู่ร่างจริงก็จะกลายเป็นรองเจ้ากรม หากไม่เป็นเพราะเซอเยว่ถูกจับโยนไปไว้ที่แจกันสมบัติทวีป เดิมทีโจวมี่จะต้องพานางขึ้นฟ้าจากไปด้วยกัน ไปยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งในสรวงสวรรค์ใหม่ ได้เลื่อนระดับขั้นของเทพ เท่ากับว่าเลื่อนขั้นก้าวกระโดดหลายขั้น ได้กลายเป็นผู้ครองดวงจันทร์คนใหม่โดยตรง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หรี่ตามองไป แสงแก้วใสเจ็ดสีชั้นแล้วชั้นเล่าเหมือนริ้วน้ำแผ่กระเพื่อม คล้ายเป็นบารมีข่มขวัญและการตักเตือนอย่างหนึ่งที่มีต่อเขา
แบกรับชื่อจริงของปีศาจใหญ่ทั้งหลาย สถานที่แห่งนี้จึงเกิดความรังเกียจและการสยบกำราบโดยธรรมชาติ
เฉินผิงอันต้องก้มหน้าค้อมเอวลง หลังโก่งค่อม
ไม่ผิดไปจากที่คาด อีกฝ่ายไม่อยากพบเจอตน หากว่าตนไม่อาจเปิดประตูได้ก็ต้องกินน้ำแกงประตูปิดแล้ว
เพียงแต่ว่าเรื่องอย่างการบุกพังประตูเข้าไป ไม่ใช่การกระทำที่สมควรเลย
ดังนั้นจึงมีเสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง สะบัดชายแขนเสื้อทั้งสอง ในมือมีกระบี่ยาวสองเล่มเพิ่มมา เงยหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต้อนรับสหายเก่าแบบนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานก็แล้วกัน”
——