กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 923.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สาม)
เวลานี้ในภาพวาดคือทัศนียภาพยามสนธยา คนทั้งสองขี่ลา เพียงไม่นานก็มาถึงเนินเขาขนาดเล็กที่โผล่พรวดโดดเด่นขึ้นมา มาถึงยอดเขา ทอดสายตามองไปไกลก็เห็นว่าตรงถนนที่เล็กแคบ ข้างทางมีสิ่งปลูกสร้างเรียบง่ายลักษณะเหมือนจุดพักม้าอยู่แห่งหนึ่ง มีขบวนทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรทอดยาวไปตามเส้นทางภูเขา จำนวนคนหลายพันคน ถึงขั้นที่ว่าในกลุ่มนั้นยังมีราชรถของจักรพรรดิ ดูจากสีหน้าตื่นตระหนกของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยแล้วเหมือนจะออกจากเมืองหลวงเพื่อไปหลบภัย? เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ในสายตาคล้ายมองเห็นภาพเหล่าขุนนางของเมืองหลวงที่กำลังเร่งรุดเดินทาง ในม้วนภาพมีเพียงคนผู้เดียวที่คล้ายจะถูกลงสีสัน นั่นคือบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยกระบอกไม้ไผ่ทรงยาว นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือขวามีรอยด้านอยู่ตรงท้องนิ้วเล็กน้อย หลังจากที่ผละออกจากเส้นทางที่ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดมาได้เขาก็กัดกินแผ่นแป้งย่างพลางเดินเลียบลำธารเส้นหนึ่งเข้าไปในป่าลึก
เฉินผิงอันค้นพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง หากจะบอกว่าฟ้าดินเล็กก่อนหน้านี้คือภาพวาดน้ำหมึก ถ้าอย่างนั้นรอกระทั่งตนได้เห็นบุรุษผู้นี้ ตำแหน่งที่มีบุรุษเป็นจุดศูนย์กลาง หรือควรจะพูดว่าจุดที่สายตาของบุรุษมองไปเห็นก็จะค่อยๆ กลายมาเป็นภาพที่วาดเน้นหนักในรายละเอียด ชัดเจนทุกจุดทุกมุม ต้นไม้ดอกไม้ ปลาที่แหวกว่ายในลำธารล้วนมีชีวิตเหมือนจริง สุดท้ายกลายมาเป็นภาพขุนเขาเขียวสายน้ำใสที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแห่งหนึ่ง ไม่ต่างไปจาก ‘ความจริง’ ในโลกมนุษย์เลย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พวกเราติดตามท่านเทพเทวดาน้อยคนนี้ไปกันเถอะ”
ท่ามกลางแสงสายัณห์ บุรุษเจอกระท่อมกลางป่าตั้งอยู่ริมลำธารแห่งหนึ่ง หลังคาต่ำเตี้ย มีแค่หญิงชราหนึ่งคนกับหญิงที่ออกเรือนแล้วใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันอย่างยากลำบาก พวกนางนั่งหันหน้าเข้าหากันกำลังถักกรงเลี้ยงนก
หญิงชราเชื้อเชิญให้บุรุษกินอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา ตอนกลางคืนบุรุษจึงนอนใต้ชายคา พลิกตัวกลับไปกลับมา มิอาจข่มตานอนได้หลับจึงหยิบตำราหมากล้อมเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ลุกขึ้นนั่ง อาศัยแสงจันทร์เปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาทำสมาธิ สองนิ้วทำท่าคีบเม็ดหมากแล้วทยอยวางเม็ดหมากลงคล้ายกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากกระท่อมมาไกล เมื่อครู่ฉวยจังหวะเหลือบตามองหน้าปกของตำราหมากล้อม ถึงกับเป็นตำราหมากล้อมมีชื่อเสียงที่มีหลักฐานให้สืบหาเล่มหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล ชื่อเสียงของมันมีไม่น้อย เพียงแต่ว่ามีชื่อเสียงอยู่ในล่างภูเขา คือตำราที่กล่าวถึงสองฝ่ายซึ่งเล่นหมากล้อมกันไปได้ห้าตา มีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘หมากล้อมห้าตาที่ได้ดูระหว่างพักฟื้นขณะป่วย’
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหลังลา เหลือบตามองยันต์ม้าขาวควบผ่านช่องแคบที่อยู่ข้างไหล่ ความเร็วในการไหลหายไปของกาลเวลาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
อันที่จริงต่อให้มีผู้ฝึกตนทะยานลม ก้มหน้าลงมองฟ้าดินทั้งแห่งก็ดูเหมือนว่าจะเห็นเพียงภาพเหตุการณ์ของที่แห่งนี้เท่านั้น คาดว่าผู้อาวุโสท่านนั้นคงอาศัยสิ่งนี้มาเตือนตนว่า เมื่อผ่านด่านหนึ่งไปก็จะมีทัศนียภาพของด่านถัดไปรออยู่ รอกระทั่งผ่านทุกด่านไปได้หมดแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงจะได้พบกัน? เพื่ออะไร? คิดจะถ่วงเวลาเพื่อขอความช่วยเหลือจากทางศาลบุ๋นอย่างนั้นหรือ? ไม่อย่างนั้นหากจะบอกว่าคิดจะขอเชิญให้ใครบางคนมาให้ความช่วยเหลือที่นี่เพื่อขัดขวางตนกับเสี่ยวโม่ ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก
เสี่ยวโม่ถาม “คุณชาย ต้องการให้ข้าออกกระบี่สืบค้นให้รู้ชัดกันไปเลยหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ยอมทนไปก่อน รอดูการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ”
เสี่ยวโม่ถาม “สถานะของคนผู้นั้นคือฉีไต้จ้าวคนหนึ่งกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มองดูแล้วฝีมือในการเล่นหมากล้อมน่าจะไม่แย่”
บุรุษที่อยู่ใต้ชายคา เวลานี้ไม่เหมือนกำลังศึกษาหมากล้อม แต่เหมือนกำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเอง หากจะบอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาสูง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สูงไปอย่างไร
หากจะพูดถึงรูปแบบและการลงมือก่อนของการเล่นหมากล้อมในใต้หล้า เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองค่อนข้างชำนาญ ก็แค่ท่องจำให้ขึ้นใจเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่สี่คนในม้วนภาพที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวของปีนั้น นอกจากเว่ยคอแข็งแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลืออีกสามคนอย่างจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน ต่อให้เอาไปวางไว้ในใต้หล้าไพศาลก็ล้วนถือว่าเป็นยอดฝีมือกันทุกคน อีกทั้งทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีเจิ้งต้าเฟิงกับซานจวินเว่ยป้อที่ต่างก็ชำนาญในด้านนี้ อีกทั้งปีนั้นตอนที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนก็มียอดฝีมือมากมายดุจก้อนเมฆ หลินจวินปี้และพวกเสวียนเซิน เฉากุ่นต่างก็เป็นนักเล่นระดับแคว้นอันดับหนึ่งกันทั้งนั้น
ทุกวันนี้ด้วยพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมของเฉินผิงอัน เล่นกับคนอื่นด้วยการวางหมากสามสิบห้าสิบเม็ด แสร้งทำเป็นยอดฝีมือ เขาก็ยังทำได้ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นหลังจากนั้นก็คงต้องเผยพิรุธแล้ว
ดังนั้นตอนที่อยู่คฤหาสน์หลบร้อน เวลาที่สอนให้คนอื่นเล่นหมากล้อม ใต้เท้าอิ่นกวานมักจะชอบบอกว่าตัวเองคือคนเล่นหมากล้อมฝีมือย่ำแย่แค่ครึ่งตัวเท่านั้น
ในห้องไม่มีแสงตะเกียง หญิงชรากับสตรีออกเรือนแล้วที่อยู่กันคนละห้องเริ่มเล่นหมากล้อม ไม่มีกระดานหมากและเม็ดหมาก ทั้งสองฝ่ายแค่ใช้ปากบรรยายตำแหน่งการวางเม็ดหมากเท่านั้น แต่ละครั้งใช้เวลาคิดนานมาก เป็นเหตุให้เล่นกันจนฟ้าสาง ขอบฟ้าเริ่มกลายเป็นสีขาวพุงปลา ทั้งสองฝ่ายก็เพิ่งวางหมากกันไปไม่ถึงสี่สิบเม็ด บุรุษหยิบเอาเม็ดหมากและกระดาษออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ทรงยาวนานแล้ว เอาวางไว้ด้านข้าง เงี่ยหูฟังแนวทางการประชันหมากล้อมในห้องพลางจัดวางเม็ดหมากลงบนกระดาษที่ใช้ต่างกระดานหมากตามไปด้วย รอกระทั่งหญิงชราบอกว่าชนะเก้าเม็ด สตรีออกเรือนแล้วยอมแพ้ บุรุษถึงได้ปลุกความกล้าเคาะประตูเบาๆ ครู่หนึ่งต่อมาหญิงชรากับสตรีออกเรือนแล้วก็เดินออกมาจากห้อง บุรุษขอความรู้อย่างนอบน้อม หญิงชราไปก่อฟืนทำอาหาร แค่บอกให้ลูกสะใภ้ที่หลังจากเป็นม่ายก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ถ่ายทอดเคล็ดลับในการเล่นหมากล้อมให้กับเขา สตรีที่สวมกระโปรงผ้าปักปิ่นไม้สอนไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็บอกว่ามากพอจะทำให้เขาไร้ศัตรูทัดทานในโลกมนุษย์ได้แล้ว
พูดมาถึงตรงนี้ สตรีออกเรือนแล้วก็มองมายังใต้ต้นไม้นอกห้อง นางทัดเส้นผมไว้หลังใบหูคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ สตรีจึงลุกขึ้นไปทำงานของตัวเอง บุรุษบอกลาจากไป เดินเลียบลำธารพลางหันหน้ากลับไปมอง กระท่อมหลังนั้นกลับไม่อยู่แล้ว บุรุษผิดหวังอย่างยิ่ง
พริบตานั้นก็คล้ายว่าเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ได้กลับมาจากการทวนกระแสแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับขึ้นมาขี่ลาอยู่บนเนินเขาอีกครั้ง แล้วก็ได้เห็นว่าบุรุษที่ตรงเอวรัดกระบอกไม้ไผ่เดินเลียบลำธารมา
เสี่ยวโม่ยิ้มถาม “คุณชายต้องเล่นหมากล้อมให้ชนะพวกนางจึงจะถือว่าผ่านด่านหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะใช่แล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าจับตามองฉีไต้จ้าวผู้นั้นต่อ ข้าจะไปที่จุดพักม้า ดูว่าจะสามารถเก็บตกของดีอะไรได้หรือไม่ ตอนที่ฟ้าสางจะกลับมาพบกับเจ้าอีกครั้ง”
หลังจากนั้นเสี่ยวโม่ก็ขี่ลาตามบุรุษผู้นั้นไปต่อ ส่วนเฉินผิงอันไปยังเส้นทางตรงตีนภูเขา ตามหาขุนนางเฒ่าที่คล้ายจะเป็นคนในภาพวาดคนหนึ่ง อีกฝ่ายสวมชุดสีม่วงพกถุงลายปลาสีทอง เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้างง่ายๆ มาชวนผู้เฒ่าคุย สุดท้ายบอกว่ายินดีจะจ่ายเงินราคาสูงเพื่อขอซื้อตำรา ผู้เฒ่าปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม บอกว่าตำราในหีบพวกนั้นเขาเก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานมากแล้ว ทองพันชั่งก็ไม่ขาย เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหีบตำราทั้งหลายที่อยู่บนรถม้าให้ร่วงลงพื้น แล้วยื่นมือออกไปโบกหนึ่งที ลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอก ตำราทุกเล่มถูกเปิดไปทีละหน้า นอกจากหน้าปกแล้ว ล้วนเป็นตำราเปล่าจริงดังคาด
ส่วนบุคคลและรถม้าทั้งหลายก็เหมือนว่าจะตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งตามไปด้วย เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ขุนเขาสายน้ำแร้นแค้น ตำราที่ผู้อาวุโสสะสมไว้ยังน้อยไปสักหน่อย เป็นเหตุให้แค่ทำให้พอเป็นพิธีก็ยังทำไม่ได้”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่เหลือความสนใจที่จะสืบเสาะอะไรต่ออีก ฟ้าดินเล็กจำลองแห่งนี้บอบบางเกินไป มีเพียงเส้นเอ็นกับกระดูกแต่ไม่มีเลือดเนื้อ ในเมื่อไม่มีเลือดเนื้อแล้วจะเอาจิงเสินชี่ที่อยู่ในระดับขั้นลึกกว่ามาจากไหน?
ขี่ลากลับมาเดินบนเส้นทางต่ออีกครั้ง ไปหาเสี่ยวโม่และกระท่อมหลังนั้น
เพียงแต่ไม่ลืมโบกชายแขนเสื้ออีกที ทำให้ตำราทั้งหลายกลับเข้าไปในหีบ ภาพเหตุการณ์หมุนย้อนกลับ หีบทุกใบกลับขึ้นไปอยู่บนรถม้าใหม่อีกครั้ง
จากนั้นก็รอจน ‘ฟ้าแห่งนี้’ สว่าง เฉินผิงอันไม่รอให้หญิงออกเรือนแล้วคนนั้นเงยหน้ามองตัวเองอีกครั้งก็พาเสี่ยวโม่ขี่ม้าตรงไปข้างหน้า เพียงแค่รอให้สตรีออกเรือนแล้วเอ่ยประโยคว่าไร้ศัตรู เขาก็เปิดปากยิ้มกล่าว “ไม่แน่เสมอไป”
ไปถึงชานบ้านที่ปูด้วยไม้ใต้ชายคา กุมมือคารวะฉีไต้จ้าวพลางยิ้มเอ่ย “ขอยืมเม็ดหมากและกระดาษจากอาจารย์สักหน่อย”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็วางสถานการณ์หมากเมฆหลากสีที่ศิษย์พี่ชุยฉานเคยเล่นกับเจิ้งจวีจง แต่วันนี้แน่นอนว่าเฉินผิงอันแค่ลักไก่แสร้งทำเป็นเจิ้งจวีจงเล่นหมากล้อม เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายมาประชันกัน
สตรีออกเรือนแล้วอึ้งงันไร้คำพูด ส่วนหญิงชรากลับพึมพำกับตัวเองว่า “ศาสตร์แห่งหมากล้อมของโลกยุคหลังสูงส่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองสถานการณ์บนกระดานหมาก พูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “คิดดูแล้วศาสตร์แห่งหมากล้อมก็คงจะเหมือนวิถีทางโลกที่มักจะต้องเดินขึ้นสู่ที่สูงเสมอ”
หญิงชราผงกศีรษะยิ้มบางๆ ส่วนสตรีออกเรือนแล้วก็ยกมือทัดผมตรงจอนหู ยิ้มมองคนชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกผู้นี้
เมื่อเฉินผิงอันเอ่ยเช่นนี้ ภาพบรรยากาศของฟ้าดินก็สลายหายไปสิ้น เหลือไว้เพียงชานบ้านและตำราเก่าแก่หนึ่งเล่มในห้องสองห้อง เฉินผิงอันกวาดตามองหนึ่งทีก็เก็บตำราหมากล้อมสองเล่มมาไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มรับไว้แล้ว
เสี่ยวโม่หันหน้ามามอง “สหายผู้นั้น ทำไมแม้แต่ลาก็ยังเอากลับไปด้วยเล่า”
เฉินผิงอันตบไหล่เสี่ยวโม่ เอ่ยชมเชยว่า “มิน่าเล่าถึงเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วของพวกเราได้”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เดินเท้าไปด้วยกัน เนื่องจากใต้ฝ่าเท้ามีถนนทางหลวงที่กว้างขวางกว่าอีกเส้นโผล่ออกมา สองข้างทางมีแต่นาข้าว มองดูแล้วคล้ายถึงช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
จู่ๆ ก็มีม้าตัวหนึ่งควบผ่านมาจากด้านหลัง มุ่งหน้าไปยังทิศไกล เสี่ยวโม่มองตามไปไกลๆ ก็เห็นว่ามีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งโผล่ออกมา
ม้าตัวเมื่อครู่นี้มีคนหนุ่มที่สวมเสื้อตัวสั้นลักษณะคล้ายบัณฑิตตกอับยากจนเป็นคนขี่ แต่เฉินผิงอันมองอยู่หลายทีก็สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้มีโชคในด้านการเป็นขุนนางอย่างมาก มีภาพบรรยากาศของ ‘คนกลางม่านโปร่งสีเขียว’ ที่บรรยายไว้ในตำราภูมิศาสตร์ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ชะตาน่าจะได้เป็นอัครเสนาบดีคนหนึ่ง
รอกระทั่งเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมข้างทางอย่างไม่รีบไม่ร้อนก็สังเกตเห็นว่าคนหนุ่มนอนหนุนกระเบื้องลายครามชิ้นหนึ่งหลับไป ข้างกันมีนักพรตเฒ่าผมขาวใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มนั่งอยู่บนขั้นบันได เอนกายพิงห่อสัมภาระใบใหญ่ หากเป็นในนิยายที่อ่านมาจนชิน เจอกับยอดฝีมือนอกโลกประเภทนี้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะขอให้อีกฝ่ายสอนวิชาแห่งความเป็นอมตะให้ได้แล้ว
เจ้าของโรงเตี๊ยมเหมือนจะกำลังนึ่งข้าวโพด ในขณะที่ข้าวโพดใกล้จะสุกมิสุกเหล่ กลิ่นหอมสดชื่นขุมหนึ่งก็ลอยมาจากในห้องครัว
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มถาม “ขอถามเทพเซียนผู้เฒ่า ทางหลวงเส้นนี้มุ่งหน้าไปยังที่แห่งใด?”
นักพรตเฒ่ายิ้มตอบ “หานตัน”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ไปมุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าที่ขายสุราหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัวจริงๆ หรือ?”
นักพรตเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที เริ่มมองประเมินคนหนุ่มที่มีความรู้ไม่ธรรมดาผู้นี้อย่างจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “คุณชายถามเช่นนี่ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก”
เฉินผิงอันเหลือบมองห่อสัมภาระใบนั้น นักพรตเฒ่าเข้าใจได้ทันที จึงตบห่อสัมภาระที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลา ยิ้มเอ่ย “ไม่มีของอื่นใด ก็แค่ปณิธานที่มิอาจกลายเป็นจริง ความไม่พอใจอัดแน่นเต็มท้อง คงไม่เปิดให้คุณชายดูแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดบรรยากาศไม่น่าภิรมย์”
นักพรตเฒ่ามองบัณฑิตหนุ่มที่ยังคงนอนหนุนเครื่องกระเบื้องหลับฝันหวาน หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วก็มองถนนด้านนอก ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ไม่ต้องการสิ่งใด หวังเพียงว่าสัจธรรมในตำราไท่จี๋จะไม่มีใครอื่น ล้วนมีเพียงคนที่อยู่ฝั่งซ้ายของเส้นทางที่มุ่งไปยังหานตัน”
เฉินผิงอันรีบยิ้มแล้วลุกขึ้นทันที ถอยหลังไปสองก้าว ประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์เฉินผิงอันคารวะหลวี่จู่”
นักพรตเฒ่าที่ถูกเฉินผิงอันเรียกด้วยความเคารพว่า ‘หลวี่จู่’ โบกมือบอกเป็นนัยให้นั่งลงคุยกัน ถามว่า “เหลียงส่วงแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งกุรุทวีป นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใต้หล้ามืดสลัว พวกเขาได้ฝ่าทะลุขอบเขตกันบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังไม่มีใครฝ่าทะลุขอบเขต”
นักพรตเฒ่าสะทกสะท้อนใจ เงยหน้ามองฟ้า “จิตวิญญาณผสานกับไท่ซวี เชื่อมโยงไปยังนอกฟ้าดิน ลมปราณได้ความอัศจรรย์ของห้าธาตุ ตะวันจันทราอยู่ในพื้นที่เล็กแคบ”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สุราไหลพรั่งพรูสู่มหานที คนเดินขึ้นหอหวงเฮ้อ แสงแห่งคาถาส่องประกายหมื่นจั้ง นับแต่โบราณมาสู่ปัจจุบันล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง”
นักพรตเฒ่าจุ๊ปาก ลูบหนวดยิ้ม “สุราดับทุกข์ สลายพันหมื่นความกลัดกลุ้ม”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ผู้อาวุโสกับแคว้นหวงเหลียงของแจกันสมบัติทวีปมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?”
นักพรตเฒ่าพยักหน้า “สำมะโนครัวของผินเต้าอยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่าออกเดินทางจากบ้านเกิดมานานมากแล้ว วันเวลาที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวมากกว่าตอนอยู่ที่บ้านเกิดเสียอีก”
จากนั้นนักพรตเฒ่าก็คลี่ยิ้มอย่างคลุมเครือ “ในอดีตหากผินเต้าเข้าร่วมการถามกระบี่ที่ถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ย เจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะถอยร่นออกไปได้อย่างปลอดภัย”
เฉินผิงอันไม่ให้ความเห็นในเรื่องนี้ อันที่จริงนี่ก็คือเรื่องเสียเปรียบที่ ‘พูดหนึ่งล่วงเกินถึงสอง’
เฉินผิงอันถามอีกว่า “ผู้อาวุโสเคยเจอกับภูตต้นไม้เฒ่าตนหนึ่งหรือไม่?”
นักพรตเฒ่าคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ย “ภายใต้โชควาสนาอำนวย เคยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับมันเล็กน้อย”
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เฉินผิงอันเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ในร้านผ้าห่อบุญบนเกาะยวนยาง เขาเคยเดินผ่านร้านสามสิบกว่าแห่ง หลี่ไหวที่เดินทางไปด้วยกันเลือกของที่ถูกใจมาแค่ชิ้นเดียว เป็นสวนกระถางอย่างหนึ่ง ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นแกะสลักสองคำว่า ‘เซียนภูเขา’ แน่นอนว่าสามารถมองเป็น ‘ภูเขาเซียน’ ก็ได้เหมือนกัน ตรงรากภูเขามีต้นหลิวเก่าแก่ขนาดจิ๋วต้นหนึ่งขดตัวอยู่ ด้านล่างต้นไม้มีภูตต้นไม้แก่ที่เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรอยู่ตนหนึ่ง ลักษณะเหมือนชายชรา สูงแค่สามชุ่น อายุมาก นิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ เรียกตัวเองว่าเฉิงหนันเหล่าเทียนจวิน บนร่างคล้ายกับมีผนึกตระกูลเซียนคอยกดขอบเขตเอาไว้ ผู้เฒ่าเจอกับลูกค้า ขอแค่เป็นใครก็ตามที่คิดจะซื้อ ก็จะเริ่มเท้าเอวด่าคนน้ำลายกระเด็นแตกฟองทันที โน้มน้าวให้พวกเขาว่าอย่าฝันกลางวัน
ภายหลังได้ยินหลี่ไหวบอกว่าภูตต้นไม้เฒ่าตนนี้บอกว่าในอดีตตนเองเคยเจอกับเซียนกระบี่คนหนึ่งที่มีฉายาว่า ‘ฉุนหยาง’ คือยอดฝีมือสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าคนหนึ่ง ได้มาขอวิชาความรู้ด้านเวทกระบี่จากเขาอย่างนอบน้อม คุณสมบัติไม่เลว พูดกันแค่สองสามคำก็ฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันได้แล้ว
คำพูดทำนองนี้ฟังแค่ครึ่งเดียวก็พอ แล้วก็จริงดังคาด ภูตต้นไม้เฒ่าตนนี้มีโชควาสนากับหลวี่จู่ที่มีฉายาว่า ‘ฉุนหยาง’ ผู้นี้จริงๆ
——