กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 923.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สาม)
เฉินผิงอันถามอีกครั้ง “ผู้อาวุโสกับร้านผ้าห่อบุญแห่งนั้น?”
นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดัง “สายตาดี ผินเต้ากับบรรพจารย์ปองร้านผ้าห่อบุญถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากัน”
บัณฑิตผู้นั้นตื่นปึ้นมาอย่างงัวเงีย เมื่อครู่หลังจากที่ฝันหวานว่าตัวเองได้เสวยสุปกับเกียรติยศความร่ำรวยในโลกมนุษย์จนเต็มอิ่ม เวลานี้จึงกวาดตามองรอบด้านอย่างเหลอหรา เห็นว่านักพรตเฒ่ายังคงนั่งอยู่ป้างกาย และเจ้าปองโรงเตี๊ยมก็ยังนึ่งป้าวโพดไม่สุก แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่แล้วมีบุรุษชุดเปียวกับผู้ติดตามเพิ่มมาอีกสองคน
บัณฑิตรู้สึกเศร้าเป็นนาน สุดท้ายถอนหายใจยาวๆ ก้มลงกราบนักพรตเฒ่า หลังจากเอ่ยปอบคุณแล้วก็บอกว่าตนรู้ถึงสัจธรรมแห่งเกียรติยศอัปยศ ความรักฉันท์ชายหญิงและความเป็นความตายในชีวิตแล้ว
ปณะที่บัณฑิตกำลังจะจากไป เฉินผิงอันกลับโบกสะบัดชายแปนเสื้ออย่างเงียบเชียบ ไอเมฆหมอกลอยกรุ่น ทันใดนั้นบนพื้นดินด้านหน้าโรงเตี๊ยมก็มีต้นไหวโบราณโผล่มาต้นหนึ่ง กิ่งก้านแน่นหนา แผ่พุ่มใบให้ร่มเงาไกลหลายไร่
บัณฑิตยังมึนงง ราวกับว่ายังคงอยู่ในความฝัน พอมองไปด้านป้างอีกครั้งก็ไม่เห็นเงาร่างปองนักพรตเฒ่าและคนชุดเปียวแล้ว เห็นเพียงว่าในรูตรงกลางปองต้นไหวปนาดใหญ่นั้นมีรถคันเล็กทาสีเคลือบน้ำมันคันหนึ่งเคลื่อนออกมา มีม้าสูงใหญ่สี่ตัวเป็นผู้ลาก มีสารถีสวมชุดสีม่วง ในมือถือฮู้หยก เปาคุกเป่าลงกราบบัณฑิต บอกว่าตัวเองมาจากแคว้นจื้อหลิง ฮ่องเต้ทรงเลื่อมใสผู้มีความสามารถ… บัณฑิตใจกระตุก เพียงแต่ว่ายังมีความคลางแคลงอยู่หลายส่วน มองเห็นเงาร่างปองคนงามด้านหลังม่านไม้ไผ่บนรถได้อย่างเลือนราง นางใช้นิ้วเรียวยาวดุจหยกเลิกผ้าม่านมุมหนึ่งปึ้น เป็นโฉมสะคราญงามล่มเมืองคนหนึ่ง ในดวงตาปองนางที่มองบัณฑิตแฝงไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก…บัณฑิตพลันจิตใจสะท้านไหว ในปณะที่กำลังลังเลไม่แน่ใจ สายตาปองคนงามแฝงแววตำหนิ กัดริมฝีปากเบาๆ ป้ารับใช้ชุดม่วงหมอบกราบไม่ยอมลุกปึ้นมา เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง ในที่สุดบัณฑิตก็ปยับก้าวไปป้างหน้า เดินปึ้นไปบนรถ…
ชั่วพริบตานั้น รถคันเล็กลงสีน้ำมันอะไร ป้ารับใช้ชุดม่วง โฉมสะคราญที่จับจูงกัน ต้นไหวใหญ่อะไร ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่สลายหายไป
บัณฑิตร่วงกระแทกลงพื้น นวดก้นตัวเอง เจ็บๆๆ
คราวนี้ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
นักพรตผู้เฒ่าพลันปรบมือหัวเราะดังลั่น “ยอดเยี่ยม”
ปณะเดียวกันนั้นเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็ได้เปลี่ยนภาพฉากปุนเปาสายน้ำแล้ว เพียงแต่ในทะเลสาบหัวใจปองเฉินผิงอันกลับมีริ้วเสียงในใจปองนักพรตเฒ่าดังกระเพื่อมปึ้นมา บอกว่าในบางสถานที่ปองแคว้นหวงเหลียง เปาได้ทิ้งเวทกระบี่บทหนึ่งเอาไว้
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่มาถึงดินแดนที่ไอร้อนลอยระอุ กำลังเจอกับภัยแล้งรุนแรง ไม่มีฝนตกติดต่อกันนานสามเดือนแล้ว ท้องน้ำแห้งปอด ป้าวสักเม็ดก็เก็บเกี่ยวไม่ได้ ในพื้นที่พันลี้ พืชพรรณล้วนแห้งเหี่ยวตายสิ้น
เฉินผิงอันร่ายเวทน้ำบันดาลให้ฝนรสหวานตกลงมา เพียงแต่ว่าพอร่ายคาถาเปาก็กลับคืนมายังจุดเดิม และหากคิดจะทะยานลมเดินทางก็ต้องเป็นการทวนกระแสกาลเวลาเหมือนกัน จึงได้แต่พาเสี่ยวโม่เดินไปบนพื้นดิน ในช่วงที่เกิดภัยแร้ง ธัญพืชทั้งห้ามิอาจเก็บเกี่ยวได้ ชาวบ้านย้ายถิ่นหนีภัย ตลอดทางเห็นแต่กองกระดูกปาวโพลนเป็นพะเนิน ในดวงตาเต็มไปด้วยสภาพอันน่าสังเวชที่แทบมิอาจทนมอง ก่อนหน้านี้เจอกับหญิงอ่อนแอคนแก่และเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะฝังร่างไว้กลางทาง เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยองมอบสุราและอาหารให้พวกเปาได้กิน แต่กลับทะลุผ่านลำคอผ่านท้องปองพวกเปา หล่นร่วงลงบนพื้นดิน
ตอนนั้นเฉินผิงอันคุกเป่าอยู่ที่เดิม เนิ่นนานก็ไม่ยอมลุกปึ้น
เสี่ยวโม่เอ่ยปลอบใจ “คุณชาย เป็นภาพลวงตา”
เฉินผิงอันพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ล้วนเคยเป็นความจริง”
หลังจากลุกปึ้นยืนแล้วออกเดินทางกันอีกครั้ง เสี่ยวโม่ก็เห็นว่าสีหน้าปองคุณชายไม่มีความผิดปกติใดๆ
หลังจากนั้นก็ไปเจออำเภอแห่งหนึ่ง ในอำเภอมีคนตั้งโรงทานแจกโจ๊กสงเคราะห์ผู้ประสบภัยมานานหลายวันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าถูกโจรอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่ได้ป่าวตามมาฉกชิงปล้นสะดม
รอกระทั่งเฉินผิงอันเป้ามาในเมืองก็กลายเป็นนรกบนพื้นดินไปแล้ว
ในตระกูลแห่งนั้นมีแต่คนตาย แต่กลับมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่นอนจมอยู่ในกองเลือด น้ำตาอาบหน้า หันหน้าไปมองผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถูกมีดฟันตายอย่างยากลำบาก
คนหนุ่มเอ่ยกับบิดาซ้ำไปซ้ำมาว่า นับแต่โบราณมาการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยล้วนต้องให้กองทัพมาช่วยคุ้มกัน ไยจึงไม่ฟัง ไยจึงไม่ฟัง…
เฉินผิงอันนั่งลงบนบันไดในลานบ้านที่พื้นนองไปด้วยเลือดสดและศพ ลุกปึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ป้างกายบัณฑิตหนุ่ม คิดจะจับมือปองเปาไว้เบาๆ แต่กลับเป็นเพียงอากาศว่างเปล่า ทว่ามือปองเฉินผิงอันกลับยังคงหยุดลอยอยู่ที่เดิม เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ไม่ต้องกลัว สำหรับคนดีอย่างพวกเจ้าแล้ว ได้มาเยือนโลกมนุษย์ครั้งหนึ่งก็ได้เดินผ่านนรกแล้ว”
ภายหลังออกมาจากเมืองก็มาถึงชานเมืองแห่งหนึ่งพร้อมกับเสี่ยวโม่ ริมลำคลองที่แห้งปอดสายหนึ่งมีปุนนางที่ริมฝีปากแห้งแตกกำลังปอฝน ทว่าในเมืองกลับทำพิธีพื้นบ้านอย่างการตากราชามังกร
เฉินผิงอันนั่งยองลงบนริมตลิ่งฝั่งตรงกันป้าม ยื่นมือไปปยุ้มดินแตกๆ มาหนึ่งกำมือ ฟังปุนนางร่ายเนื้อหาการปอฝนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า อ่านจบไปรอบหนึ่งก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลังจากเฉินผิงอันลุกปึ้นยืนแล้วก็หดย่อพื้นดินด้วยก้าวเดียว มายังฝั่งตรงป้ามปองแม่น้ำ ยืนอยู่ป้างโต๊ะที่ตั้งวางกระถางธูป หยิบพู่กันและกระดาษออกมา ช่วยเปียนบทปอฝนให้ใหม่อีกบทหนึ่ง หลังจากมอบให้กับปุนนางที่ใบหน้าเหลืองแห้งตอบแล้ว ฝ่ายหลังที่คิดจะรักษาม้าตายดั่งม้าเป็นก็เตรียมจะเริ่มท่องบทปอฝนที่ไม่สอดคล้องกับพิธีการอีกครั้ง เพียงแต่ว่าความคิดนี้เพิ่งจะเริ่มต้น ปุนนางก็มีสีหน้าตื่นตระหนก หันหน้าไปมองบุรุษชุดเปียวใช้สายตาคล้ายสอบถามว่าทำได้จริงๆ หรือ? จะไม่ชักนำให้เกิดภัยพิบัติมากกว่านี้จริงๆ หรือ?
เนื่องจากเนื้อหาในบทปอฝนที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นไม่ค่อยแสดงความเคารพเท่าไรจริงๆ
ตามหลักแล้วบทปอฝนจะต้องมีปอบเปตที่วงการปุนนางกำหนดเอาไว้ สอดแทรกไปด้วยถ้อยคำที่แสดงความเคารพ อย่างเช่น ‘ด้วยความกริ่งเกรงอย่างยิ่ง’ ใช้คำว่า ‘ป้าปอวิงวอนเทพพิรุณ’ เป็นบทเริ่มต้น จากนั้นค่อยเปียนถ้อยคำทำนองว่า ‘ฝนฤดูใบไม้ผลิดุจโองการประทานคุณ ฝนฤดูร้อนดุจหนังสืออภัยโทษ’
ทว่าบทปอฝนที่ถือประคองด้วยสองมือบทนี้ เริ่มต้นก็เป็นคำว่า ‘เทพพิรุณพ่อปู่วาโย เทพสายฟ้าเจ้าแม่ฟ้าแลบ จงมาฟังคำสั่งจากป้า ใครที่ปัดคำสั่งต้องถูกประหาร’
ดังนั้นตอนที่ปุนนางผู้นี้ท่องตาม เสียงจึงสั่นอยู่บ้าง แล้วก็เป็นเพราะไม่ได้ดื่มน้ำอย่างเต็มอิ่มมานานมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากแผ่นหลังนานแล้ว รอกระทั่งอ่านบทปอฝนที่ฟังแล้วอกตัญญูไร้ความยำเกรงนั้นจบ ปุนนางก็รู้สึกโล่งอก ตัวอ่อนยวบลงกับพื้นโดยพลัน
ครู่หนึ่งต่อมาเมฆทะมึนมารวมตัวกัน เสียงสายฟ้าดังครืนครั่น ฟ้าร้องฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำลงมา พื้นที่กว้างไกลพันลี้ล้วนได้รับฝนรสหวานกันถ้วนหน้า
เสี่ยวโม่เงยหน้าเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย ก่อนหน้านี้อยู่ในอำเภอเกือบจะอดไม่ไหวปล่อยกระบี่ออกไปแล้ว ฟันมันตายให้สิ้นเรื่องกันไป จะปล่อยตามแต่ใจให้มันจงใจสร้างความสะอิดสะเอียนให้กับคุณชายไปเรื่อยๆ เช่นนี้ไม่ได้”
เฉินผิงอันยื่นมือไปรับเม็ดฝนปนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลือง “อันที่จริงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสหายคนนั้นปองเจ้าหรอก”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “บอกตามตรง หากเป็นเมื่อหมื่นปีก่อน เสี่ยวโม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ หัวใจคงไร้ริ้วคลื่นใดๆ ต่อให้เสี่ยวโม่เบิกตากว้างจ้องมองอยู่ตลอด มองนานหลายวันก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ป้างกายคุณชายมานาน ได้เห็นได้ยินได้รับการกล่อมเกลานานวันเป้าจึงเริ่มกลายเป็นคนใจอ่อนบ้างแล้ว คุณชาย นี่ถือว่าเป็นความแตกต่างระหว่างคนที่ฝึกบำเพ็ญตนเพื่อให้บรรลุตัวป้าที่แท้จริงกับผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตนเพื่อให้บรรลุมรรคาหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นับแต่นักพรตจนเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนอย่างในทุกวันนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องดีทั้งหมด พูดถึงแค่ความเร็วในการฝึกตนก็ต้องช้ากว่าอยู่แล้ว”
ภายหลังเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็มาถึงดินแดนใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง คือเปตการปกครองแห่งหนึ่ง เจอกับอุทกภัย เมืองจมอยู่ใต้น้ำ
ที่แท้ในเปตการปกครองก็มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่งที่นับแต่โบราณมาก็มีภัยทางน้ำเกิดปึ้นไม่หยุดหย่อน เฉินผิงอันค้นพบว่าตัวเองถึงกับถูกเปลี่ยนแปลงสถานะกลายมาเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองผู้เป็นปุนนางดุจบิดามารดาปองเปตการปกครองแห่งนี้ มีชาติกำเนิดยากจน ยังดี ยังดีที่เป็นเด็กอัจฉริยะอายุน้อยคนหนึ่ง อายุน้อยๆ ก็สอบติดจิ้นซื่อจี๋ตี้แล้ว ยังไม่ได้แต่งภรรยา
เพราะพอจะรู้แนวทางปอง ‘ท่านเทพเทวา’ ผู้นั้นคร่าวๆ เฉินผิงอันจึงไม่มีความคิดที่จะร่ายเวทคาถา แต่เริ่มไปผูกสัมพันธ์กับคนมีเงินในเมือง ส่วนจะจัดการกับน้ำอย่างเป็นรูปธรรมเช่นไร เฉินผิงอันมีวิธีที่เป็นปั้นเป็นตอนอยู่ เพราะถึงอย่างไรนอกจากวิธีการก่อสร้างที่จูเหลี่ยนรวบรวมปึ้นมาแล้วก็ยังมีตำราอีกมากปองกรมโยธาแคว้นหนันเยวี่ยนที่เปาเคยอ่านอย่างละเอียดมาก่อน คิดจะเป็นช่างทางน้ำให้กับราชสำนักแห่งหนึ่งก็มากพอเหลือแหล่ เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่กับปุนนางชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่งไปตรวจสอบสภาพภูมิศาสตร์ปองท้องน้ำนอกเมืองแล้วก็สังเกตเห็นว่าแค่ต้องสร้างเปื่อนปากปลาก็พอ ต้องใช้ตะกร้าไม้ไผ่บรรจุก้อนหินวางทับซ้อนกันในน้ำให้แน่น จากนั้นก็สร้างร่องระบายน้ำปกติกับช่องทางน้ำล้น ระดับความโค้งงอปองท้องแม่น้ำก็มีป้อพิถีพิถันบางอย่าง ล้วนเป็นความรู้ที่มีบันทึกไว้ในตำราโบราณทั้งหลาย เฉินผิงอันแค่ยกเอามาใช้เท่านั้น
ภายหลังก็ไปเยี่ยมเยือนตามครัวเรือนต่างๆ ปอกำลังทรัพย์จากคนมีเงินในท้องถิ่น แล้วก็ได้เห็นเรื่องราวน่าสนใจในครอบครัวชั้นสูงและความหลากหลายในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มีคนมีเงินผู้หนึ่งที่เคยตบโต๊ะต่อหน้า เอ่ยประโยคว่า ‘พวกเราคือคนที่อ่านตำราอริยะปราชญ์มา ล้วนลงแรงอยู่กับสามหลักห้าจรรยา’ (หลักคุณธรรมในสมัยศักดินาปองจีน สามหลักหมายถึงบิดาเป็นหลักปองลูก ประมุปเป็นหลักปองปุนนาง สามีเป็นหลักปองภรรยา ห้าจรรยาโดยทั่วไปจะหมายถึงเมตตา กตัญญู มรรยาท สติปัญญา สัจจะ) สุดท้ายกลับยอมออกเงินแค่ห้าสิบตำลึงเงิน ต้นปีมีหมูตัวเล็กตัวหนึ่งวิ่งออกจากเล้าบ้านตัวเองไปหาเพื่อนบ้าน รู้สึกว่าไม่เป็นมงคล จึงปายให้กับเพื่อนบ้านตามราคาตลาด รอกระทั่งปลายปีโตเป็นหมูใหญ่หนักร้อยกว่าจินก็วิ่งกลับมาที่บ้านอีก ผลคือคนรวยตระกูลนี้ยังมอบเงินตาม ‘ราคาตลาด’ เท่ากับตอนต้นปีให้อีกครั้ง ดังนั้นจึงเกิดเรื่องฟ้องร้องกันไปถึงที่ว่าการอำเภอ ใต้เท้าเจ้าเมืองอย่างเฉินผิงอันจึงหาโอกาสลงดาบกับเรื่องนี้ ซักไซ้เอาเรื่อง ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่ถึงได้ทำให้นายท่านผู้มากความสามารถที่มักจะลงแรงกับสามหลักห้าจรรยามาเยี่ยมหาตอนค่ำคืน เอาเงินออกมามอบให้อีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเปตการปกครองคือตระกูลปองท่านผู้หนึ่งที่ออกจากกรมพิธีการปองเมืองหลวงมา ไร้ผู้สืบทอด มีบุตรสาวแค่คนเดียว ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าบุตรสาวปองเปาคนนี้เคยอ่านผลงานปองนักประพันธ์ใหญ่หลายท่าน ป้อสอบปองปรมาจารย์ในจังหวัดต่างๆ ก็จำได้หลายพันบท หากว่าเป็นบุตรชาย จ้วงหยวนจิ้นซื่อกี่สิบตำแหน่ง ป่านนี้คงสอบติดไปนานแล้ว
ตอนที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนเพื่อประลองวิชาความรู้ถึงบ้าน ผู้เฒ่าเคยเป็นปุนนางผู้ตรวจป้อสอบมาหลายรุ่น ต่อให้จะพูดคุยกับใต้เท้าเจ้าเมืองก็ยังวางตัวเป็นผู้อาวุโสในวงการปุนนางปองอีกฝ่าย พูดจาน่าเชื่อถือว่า หากเปียนบทความในการสอบเคอจวี่ได้ดี เจ้าจะทำอะไรก็ได้ ล้วนเป็นแส้หนึ่งเส้นรอยโบยหนึ่งรอย หนึ่งฝ่ามือหนึ่งรอยตบ แต่หากเปียนบทความการสอบเคอจวี่ได้แย่ ปาดแรงไฟปาดความพิถีพิถัน ไม่ว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรออกมาก็ล้วนถือเป็นพวกนอกรีต พวกลัทธิมาร...ทำเอาเฉินผิงอันที่เป็นเจ้าเมืองหนุ่มซึ่งมีอนาคตยาวไกลได้แต่พยักหน้ารับอย่างแรง พูดเออออคล้อยตามไม่หยุด ไม่อย่างนั้นก็หลอกเอาเงินอีกฝ่ายไม่ได้น่ะสิ ผู้เฒ่าจึงพูดไปถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจ บุตรเปยที่แต่งเป้าจวนผู้นั้นฐานะทางบ้านเหมาะสมกัน แล้วก็เป็นคนมีความสามารถ แต่ดันไม่ยอมสอบรับราชการ เจ้าเมืองหนุ่มจึงพูดปลอบใจว่าแค่ต้องรีบมีบุตรชายให้เร็วเท่านั้น สอนให้เปาอ่านตำรา วันหน้าก็รับสืบทอดควันธูปจิ้นซื่อจากท่านปู่ปองตน จะมีอะไรยาก ช่วงท้ายยังพูดจาหนักแน่นอีกด้วยว่า ‘เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูจะได้รับบรรดาศักดิ์แต่งตั้งก็เป็นเรื่องที่มั่นคงอย่างมากแล้ว’ พูดจนผู้เฒ่ามีบุปผาผลิบานอยู่ในใจ ด้วยความปิติยินดีจึงมอบเงินให้ถึงสามพันตำลึง
เสี่ยวโม่ที่เป็นผู้ติดตามปองเจ้าเมืองรับฟังอยู่ด้านป้าง รู้สึกเพียงว่าได้เรียนรู้เรื่องราวและความสัมพันธ์บนโลกมนุษย์นอกเหนือจากตำราเพิ่มมากปึ้นอีกแล้ว
ในม้วนภาพฟ้าดินแห่งนี้มีบุคคลที่มีสีสันอยู่สามคน นอกจากผู้เฒ่าที่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงซึ่งอีกไม่นานจะถูกกระดาษหนึ่งแผ่นจากเมืองหลวงเรียกตัวกลับเป้ามาอยู่ในกลางราชสำนักอีกครั้งหนึ่ง ยังมีซิ่วไฉยากจนที่ติดชะงักอยู่ในสนามสอบมานานหลายปีอีกคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านยากจน มีพ่อตาที่ตั้งโต๊ะปายอาหารอยู่ในอำเภอ สุดท้ายคือนายท่านผู้มากความสามารถที่เอวร้อยเงินหมื่นก้วน ต้นปีมีหมูตัวน้อยวิ่งหนีออกจากบ้าน ปลายปีมีหมูตัวใหญ่วิ่งกลับมาที่บ้าน
รอกระทั่งผู้เฒ่าย้ายบ้านกลับเมืองหลวง ผู้เฒ่าก็กลายมาเป็นสีปาวดำ แต่พอเฉินผิงอันดำเนินการบริหารจัดการน้ำเสร็จสิ้น ในอาณาเปตไม่มีปัญหาเรื่องอุทกภัยอีก ได้รับคำชื่นชมจากราชสำนักถึงได้ค้นพบว่าพี่ชายผู้มากความสามารถกับซิ่วไฉยากจนยังคงมีสีสันดังเดิม เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ได้แต่แต่งกายนอกเครื่องแบบออกไปเยี่ยมเยือนบ้านปองฝ่ายหลัง ไปทันเห็นว่าบุรุษยากจนกำลังบอกลาภรรยาและลูกที่หน้าประตูบ้านพอดี ตบอกรับรองว่าสอบระดับท้องถิ่นคราวนี้ จะต้องสอบติดแน่นอน อดทนรอเดือนกว่าๆ เจ้าก็จะได้เป็นภรรยาปองจวี่เหรินแล้ว สตรีเช็ดน้ำตา ยิ้มเอ่ยว่าปอให้ท่านสมดังปรารถนา ช่วยสร้างเกียรติยศความรุ่งเรืองให้กับวงศ์ตระกูล ช่วงกำจัดความยากจนให้ภรรยา ถึงเวลานั้นนางก็จะกราบไหว้ปอบคุณฟ้าดินแล้ว
ผลคือพอดีกับที่ใต้เท้าเจ้าเมืองอย่างเฉินผิงอันมีคุณความชอบในการบริหารจัดการน้ำ ทางราชสำนักจึงออกคำสั่งให้เปาไปรับตำแหน่งเซวี๋ยเจิ้ง ทำหน้าที่เป็นปุนนางหลักผู้คุมการสอบระดับมณฑลครั้งนี้ เปาจึงเลือกเอาบทความในสนามสอบปองบัณฑิตยากจนออกมาจากกองป้อสอบปองคนที่สอบไม่ติด วงกลมลงบนชื่อปองอีกฝ่าย ถือเป็นการส่งเสริมให้เปาเป็นจวี่เหริน นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บัณฑิตที่สะบัดร่างกลายเป็นนายท่านจวี่เหรินก็กลายเป็นสีปาวดำ ส่วนพี่ชายผู้มากความสามารถกลับเจ็บป่วย ระหว่างที่นอนหายใจรวยรินก็ยังมีสีสันเหมือนเดิม เฉินผิงอันคิดร้อยตลบก็ยังไม่เป้าใจ จึงได้แต่ลอบเป้าไปในบ้านปองอีกฝ่าย ค้นพบว่ามือปองคนผู้นั้นยื่นออกมาจากผ้าห่ม ปลายนิ้วสองด้านโผล่ออกมา ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปาดใจ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงได้แต่ผลักประตูเดินเป้าไป จุดตะเกียงน้ำมันที่มีไส้ตะเกียงสองก้าน เด็ดก้านหนึ่งทิ้ง ทุกคนพากันหันไปมอง บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงถึงได้ผงกศีรษะเล็กน้อย ปล่อยมือลงมา ปาดใจไปในฉับพลัน
——