กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 923.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สาม)
เสี่ยวโม่ยืนเอนกายพิงประตู ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
รอกระทั่งเฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ม้วนภาพก็แปรเปลี่ยน เข้ามาอยู่ในเขตชายแดนของสนามรบแห่งหนึ่ง สองทัพประจัญบานกัน มีเพียงแม่น้ำเส้นหนึ่งกั้นขวาง รถม้า บุคคลล้วนมีรูปลักษณ์โบราณเก่าแก่ ฝั่งหนึ่งมีธงผืนใหญ่ตั้งตระหง่าน เขียนสองคำว่าเมตตาและน้ำใจ กองทัพของอีกฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งน่ากริ่งเกรงมากกว่า จักรพรรดิท่านนั้นกำลังพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอยู่กับกุนซือข้างกาย บอกว่ากองทัพฝ่ายศัตรูมีเสื้อเกราะมากพอ แต่คุณธรรมน้ำใจกลับไม่มากพอ กองทัพของกว่าเหรินมีไม่พอ แต่คุณธรรมน้ำใจกลับมากพอเหลือแหล่ จะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นกุนซือก็มองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังระดมกำลังทัพข้ามแม่น้ำ จึงแนะนำจักรพรรดิผู้มีคุณธรรมน้ำใจว่าให้ลุยน้ำไปโจมตีระหว่างทาง สองทัพต่อสู้พัวพัน แตกซ่านพ่ายแพ้
เฉินผิงอันยืนมองเฉยอยู่ด้านข้างตลอด หลังจากที่ม้วนภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมสองรอบ เขาถึงได้ไปที่กองทัพใหญ่ มาหยุดอยู่ข้างกายบุคคลที่มีสีสันเพียงหนึ่งเดียว ฝ่ายหลังถามว่า “กว่าเหรินผิดหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่เอ่ยตอบคำ
“ตำราประวัติศาสตร์ในโลกยุคหลังพูดถึงกว่าเหรินเช่นไร?”
เฉินผิงอันยังคงเงียบ
“ไม่พูดถึงตำราประวัติศาสตร์ แล้วพวกชาวบ้านล่ะ เกร็ดพงศาวดารทั้งหลายล่ะ?”
จักรพรรดิท่านนี้เศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง น้ำตาคลอกลบเต็มดวงตา ตบแอกหน้ารถม้าอย่างแรง พูดอย่างร้าวรานปานจะขาดใจ “คงจะมีประโยคดีๆ อยู่บ้างกระมัง?!”
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ให้คำตอบ เพียงกล่าวว่า “เรื่องที่ถูกต้อง เรื่องที่ดี เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่อยู่ภายหลัง เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เรื่องที่เกิดขึ้นมานานพันปี ปะปนอยู่รวมกัน จะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนได้อย่างไร?”
“แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน อยู่ในหน้าที่ใดก็ทำตามหน้าที่นั้น ต้องดูแลความปลอดภัยของปวงประชาในหนึ่งแคว้นให้ดี ตัวอยู่ในสนามรบ ก็ต้องเอาชนะสงครามที่อยู่ตรงหน้าให้ได้”
จักรพรรดิผู้ที่แคว้นล่มสลายซึ่งตะโกนก้องคำว่า ‘คุณธรรมน้ำใจ’ หลายต่อหลายครั้งท่านนี้ เรือนกายถึงกับสลายหายไปทันที
หลังจากนั้นเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็ได้เจอกับคนและเรื่องราวประหลาดอีกมากมาย
คนทั้งสองล่องเรือลำน้อยไปท่ามกลางราตรีแสงจันทร์ เคลื่อนคลอนไปตามกระแสน้ำไม่หยุดนิ่ง จนมาถึงสะพานโบราณแห่งหนึ่งก็เห็นหอเรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ที่แท้ทุกครั้งที่เจอกับลมเย็นและแสงจันทร์ก็จะสามารถมองเห็นเงาร่างล่องลอยของสตรีที่เดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในระเบียงของหอเรือน ท่าทางกลัดกลุ้มทุกข์ระทม นางมักจะโยนเงินและทองลงน้ำบ่อยๆ
จากนั้นห่างไปอีกพันลี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็เห็นคุณชายผู้สง่างามที่เรือนกายมีสีสันคนหนึ่ง เขาอยู่ในตลาดที่เสียงดังจอแจ ให้ข้ารับใช้นั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังของอีกฝ่าย สั่งให้เด็กรับใช้เป่าขลุ่ย สั่งให้บ่าวที่อยู่ใต้ก้นทำท่าบินเหมือนนกกระเรียน บ่าวยืดตัวขึ้นช้าไปเล็กน้อย คุณชายก็เสียใจ ร้องสะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียง พูดพึมพำกับตัวเองว่าไม่ได้เทพธิดามาครอง ก็เป็นเซียนน้ำไปพบคนงามก็แล้วกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตะบึง กระโดดลงไปในสระน้ำที่อยู่ด้านข้าง คงคิดจะฆ่าตัวตาย เพียงแต่กลับถูกพวกบ่าวรับใช้ไปงมตัวขึ้นมา ตัวเปียกซ่กกลายเป็นไก่ตกน้ำ
เฉินผิงอันจึงให้เสี่ยวโม่ทำหน้าที่แทน ช่วยส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้อีกฝ่าย บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญเช่นนี้ ต่อให้จะรักใคร่กันอย่างจริงใจ แต่เฉินผิงอันกลับคร้านจะเป็นคนผูกด้ายแดงให้กับอีกฝ่าย
ต่อมาก็มาถึงกึ่งกลางภูเขาแห่งหนึ่ง มีภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งพาเณรน้อยคนหนึ่งลงจากภูเขา เจอกับสตรีกลางทาง ภิกษุเฒ่าก็เอ่ยแค่ว่าเสือล่างภูเขากินคน ห้ามเข้าใกล้ ต้องหลบเลี่ยงให้ไกล
ระหว่างที่หวนกลับมาในภูเขา เณรน้อยมีสีหน้าเขินอาย ลูบคลำศีรษะโล้นเลี่ยนเล็กๆ ของตัวเอง เอ่ยกับอาจารย์ว่า ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ไม่ต้องการ แค่ต้องการเสือที่กินคนล่างภูเขาตัวนั้น ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัดใจจากมันไม่ได้
เฉินผิงอันกลั้นขำ
ภายหลังกลับไปที่วัดเก่าโทรมในภูเขา ช่วงเวลาที่อากาศเยียบเย็นหนาวเหน็บ ภิกษุเฒ่าถึงกับผ่าเทวรูปไม้ออกมาทำเป็นฟืน โยนเข้าไปในกองไฟเพิ่มความอบอุ่น หันหน้าไปมองบัณฑิตชุดเขียวที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไปร่วมสอบจึงมาขอค้างแรมที่วัดหนึ่งคืน
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ยกับภิกษุว่าท่านทำได้ ข้าทำไม่ได้
ภิกษุเฒ่าจึงถามว่าทำไมถึงจะทำไม่ได้ล่ะ แต่ไหนแต่ไรมาการกราบไหว้พุทธองค์ก็คือการกราบไหว้ตัวเองไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันเพียงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
ดังนั้นม้วนภาพที่อาจารย์และศิษย์ขึ้นเขาลงเขา ภิกษุเฒ่าหวนกลับวัดผ่าเทวรูปมาทำเป็นฟืนจึงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด
สุดท้ายเสี่ยวโม่ทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงอดหันไปพูดกับภิกษุเฒ่าไม่ได้
ภิกษุเฒ่าถึงได้ลุกขึ้นยืม ก้มหัว พนมสิบนิ้วให้กับเสี่ยวโม่
หลังฝนตกพบเจอหญิงชราคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่าขาดแต่ควบขี่ม้า เครื่องประดับม้างามหรูหรา เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
หญิงชราหยุดม้า ถามเสียงอบอุ่นสีหน้าอ่อนโยน “คุณชายจะไปที่ใดหรือ?”
เฉินผิงอันบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติที่นอกเมือง หญิงชราเอ่ยว่า “ระหว่างทางมีน้ำท่วม อีกทั้งยังมีเสือร้ายเป็นภัยอยู่มาก ไม่สู้ติดตามข้าไปพักในเรือนเก่ามอซอ ตะวันขึ้นค่อยออกเดินทางย่อมสบายกว่ามาก”
เฉินผิงอันจึงประสานมือคารวะขอบคุณ
สตรีควบม้าเดินนำคนทั้งสองเข้าไปในเส้นทางเล็กเงียบสงบอย่างเนิบช้า เดินทางกันไปได้ประมาณสามสี่ลี้ก็พอจะมองเห็นแสงตะเกียงในป่า หญิงชราจึงใช้แส้หวดม้าชี้ไปที่แสงไฟ ยิ้มเอ่ยว่าถึงแล้ว
บ้านหลังนี้เรียกได้ว่ามีแค่กำแพงสี่ด้านจริงๆ นอกจากเตียงไม้และโต๊ะตัวหนึ่งก็มีแค่ตะเกียงดวงหนึ่งที่แขวนไว้บนผนัง หญิงชราเงยหน้าขึ้นช้าๆ ลูบผมตรงจอนหู สีหน้าซึมเศร้า ทว่าของที่หญิงชราเอามาใช้รับรองแขกกลับอุดมสมบูรณ์ มีทั้งปลาทั้งเนื้อ ทว่าได้แต่ใช้อ่างแทนกา ทั้งต้องให้เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่หักกิ่งไม้มาแทนตะเกียบ ทั้งปลาทั้งเนื้อและข้าวล้วนเย็นเยียบ คนปกติยากจะกลืนลงคอ แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วไม่นับเป็นอะไรได้
หลังกินข้าวอิ่มแล้วเฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พื้นดินในห้องขรุขระไม่ราบเรียบ โต๊ะตัวเมื่อครู่นี้ก็เอียงกะเท่เร่ เฉินผิงอันจึงเดินไปที่ป่านอกบ้าน ผ่าฟืนมาทำเป็นท่อนไม้รองไว้ใต้ขาโต๊ะ หญิงชราเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แล้วหญิงชราก็จุดตะเกียงไล่หาแมลง เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามว่าทำไมคนที่ยากจนถึงได้มีอาหารรับรองแขกอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ เพียงแค่หยิบกระบอกยาสูบออกมาแล้วเริ่มพ่นควันโขมง หญิงชราจ้องหน้าเขานิ่งอยู่หลายครั้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันถาม “ขอถามหมัวมัว ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใด?”
หญิงชรายิ้มตอบ “เพิ่งผ่านเทศกาลจงหยวนไปได้ไม่นาน อาหารก่อนหน้านี้ก็เป็นบ้านนายท่านที่นำมามอบาให้”
เฉินผิงอันพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง ลุกขึ้นบอกลา เพราะว่ามีห้องแค่ห้องเดียว จะพักค้างแรมย่อมไม่สะดวก แต่ปากกลับบอกว่าต้องรีบเดินทางต่อ หญิงชราไม่รั้งไว้ ได้แต่เอ่ยว่า “คุณชายเดินไปตามทางก่อนหน้านี้ประมาณห้าสิบกว่าลี้จะมีจุดพักม้า สามีของข้าทำงานอยู่ที่นั่น หลังค่อมขาเป๋ หาตัวเจอได้ง่าย ขอคุณชายช่วยเร่งรัดเขาแทนข้าสักคำ บอกให้เขารีบส่งเงินกลับมา บอกไปแค่ว่าอาหารในบ้านหมดแล้ว”
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่ออกมาจากเรือนในป่า หากไม่ผิดไปจากที่คาด ยามฟ้าสว่างแล้วหันมามองสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง เกินครึ่งก็คงจะเห็นเป็นเพียงสุสานเก่าแก่เสื่อมโทรม อีกทั้งน่าจะตั้งอยู่กลางต้นหนามสูงด้วย
คนทั้งสองเดินเท้าไปยังจุดพักม้าแห่งนั้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างทางผ่านสุสานขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง ต้นสนต้นป่ายรกครึ้ม ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว พวกเขาได้เจอกับผู้เฒ่าหลังค่อมขาเป๋คนหนึ่งจริงๆ เขาบอกว่าตัวเองคือคนเฝ้าสุสานของขุนนางท่านหนึ่ง มาทำงานระยะสั้นอยู่ที่จุดพักม้าแห่งนี้ ส่วนภรรยาของเขาตอนมีชีวิตอยู่ก็คือสาวใช้ในบ้านของขุนนางท่านนั้น ผู้เฒ่าบอกว่าจะไปขอยืมเงินแล้วไปซื้อเงินกระดาษที่ร้านเซียงจู๋ซึ่งขายของงานอวมงคล เฉินผิงอันจึงหยิบเศษเงินก้อนส่วนหนึ่งยื่นให้ผู้เฒ่า เอ่ยเตือนผู้เฒ่าว่าซื้อเงินกระดาษที่ร้านเซียงจู๋แล้วก็อย่าลืมซื้อข้าวของต่างๆ ที่ใช้ในครัวเรือนอย่างพวกรถ ม้า เสื้อผ้ากระดาษด้วย ทางที่สุดที่สุดซื้อกระบอกยาสูบที่ทำจากกระดาษจากที่ร้านมาด้วยอันหนึ่ง แม้แต่ยาสูบก็เผาไปพร้อมกันด้วย
เสี่ยวโม่มองแผ่นหลังของผู้เฒ่าที่เดินกะเผลกจากไป ใช้เสียงในใจถามว่า “คุณชาย หรือว่าสหายอู๋ถงที่ข่าวสารว่องไวผู้นี้รู้ฉายาและนามแฝงของข้าในทุกวันนี้แล้ว”
นามแฝงโม่เซิง ฉายาสี่จู๋
เป็นทั้งคำว่าเซิงของประโยคว่าชีวิตคน แล้วก็คำว่าเซิงของคำว่าสรรพชีวิตด้วย
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ความตั้งใจของสหายท่านนั้น บางทีอาจจะมีความหมายซ่อนแฝงมากกว่านี้”
รออยู่ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าเผาพวกข้าวของกระดาษเงินที่หน้าหลุมศพตามที่ได้พูดคุยกันไว้ เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็ได้เปลี่ยนภาพฉากภาพใหม่
ถึงกับเป็นศาลแห่งหนึ่ง บนโต๊ะวางกระถางธูปมีคำสัญญาลงนามอยู่ฉบับหนึ่ง ด้านบนมีตัวอักษรสองประเภท หนึ่งหนักแน่นดุจหินผา อีกหนึ่งล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ดูจากเนื้อหาแล้ว อย่างแรกเป็นคำสัญญาสตรี แสดงให้เห็นถึงสีสัน ทว่าคำสัญญาของบุรุษกลับเหมือนกระแสน้ำที่ลอยขึ้นลง เป็นสีขาวซีดประหนึ่งขี้เถ้ามอด
ที่แท้ก็เป็นชายหญิงที่ลุ่มหลงในรักคู่หนึ่งที่มักจะมาสาบานที่ศาลแห่งนี้บ่อยๆ หากว่าฝ่ายใดผิดคำสาบานก็จะให้องค์เทพเป็นผู้ซักไซ้สืบสวน กำหนดโทษทัณฑ์
เสี่ยวโม่เงยหน้ามองเทวรูปสององค์ที่อยู่ในศาล หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ เทวรูปลงสีที่ความสูงมากกว่ามีใบหน้าของคุณชาย ส่วนขุนนางผู้ช่วยที่อยู่ต่ำกว่ากลับมีใบหน้าของเสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่หัวเราะ ไม่ได้เจอกันหมื่นปี สหายท่านนี้ก็ดีแต่เรียนรู้วิชาคาถาที่มีแต่ลูกไม้พวกนี้มาหรือ?
เฉินผิงอันหยิบคำสาบานที่เป็นพยานให้กับ ‘ตนเอง’ แล้วถอนหายใจหนึ่งที ทอดสายตามองไปไกล อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่หนึ่ง’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นสตรีรักเดียวใจเดียวกับบุรุษหลายใจ ฝ่ายแรกได้กระอักเลือดตายไป กลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อน ศพตั้งวางอยู่ในอารามเต๋าถิงหลิงแห่งหนึ่ง ส่วนบุรุษผู้นั้นกลับฉลาดไม่น้อย ได้ย้ายไปอยู่เมืองหลวง สร้างครอบครัวนานแล้ว เพราะปีนป่ายไปตีสนิทกับคนที่สูงศักดิ์กว่า อนาคตในวงการขุนนางราบรื่น เจริญก้าวหน้าอย่างมาก เนื่องจากสตรีที่แต่งงานด้วยคือทายาทสายตรงของบัณฑิตใหญ่แห่งราชสำนัก…จิตของเฉินผิงอันที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ขยับไหวเล็กน้อย หดย่อขุนเขาสายน้ำ ก้าวเดียวก็มาถึงชายแดนของเขตการปกครอง เพียงแต่หากคิดจะเดินหน้าต่อกลับยากแล้ว
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยว่า “ร่างทองของศาลเริ่มเกิดรอยร้าวแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า สอดส่ายสายตามองไปในอาณาเขตแล้วก็เจอผู้กล้าคนหนึ่งในท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องชอบผดุงความเป็นธรรม จากนั้นก็เข้าฝันคนผู้นี้ บอกกล่าวต้นสายปลายเหตุ มอบทองพันชั่งให้เพื่อเป็นค่าเดินทางในการเข้าเมืองหลวง
หลังจากที่ผู้กล้าคนนี้สะดุ้งตื่นจากฝัน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควบม้ามุ่งหน้าสู่เมืองหลวงโดยไม่หยุดพักทั้งกลางวันกลางคืน
เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน นอกอารามเต๋าถิงหลิงจึงมีผู้กล้าคนหนึ่งที่หนวดเครายาวเส้นผมหยิกงอคนหนึ่งห้อยกระบี่ควบม้ากระโดดผ่านประตูทีละหลายบาน
ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระโชกเลือดใบหนึ่ง มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโลงศพ เลิกหนวดพรูลมหายใจออกแรงๆ คนทรยศถูกฆ่าแล้ว
จากนั้นจอมยุทธผู้กล้าก็แกะห่อสัมภาระออก ด้านในบรรจุศีรษะที่โชกไปด้วยเลือด ขว้างออกไปอย่างแรงจนมันกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น ก็คือศีรษะของบุรุษโลเลผู้นั้น
ผีสาวที่ป้วนเปี้ยนอยู่นอกอารามน้ำตากลบดวงตา ยอบกายคารวะผู้กล้าที่ควบม้าจากไปด้วยความซาบซึ้งใจถึงขีดสุด ก่อนจะหันกายไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์สองท่านที่อยู่ในอาราม คุกเข่าก้มลงกราบขอบคุณ
หลังจากนั้นสถานะก็เปลี่ยนไป กลายมาเป็นปัญญาชนสองคนที่ออกเดินทางไปเที่ยวหาสหาย
บ้านของสหายคนนั้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เล่าลือกันว่ามีเรือนผีแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ทุกค่ำคืน บนผนังสีอ่อนล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลนทับถม ใบหน้าแสยะดุร้าย
มีพ่อค้าคนหนึ่งติดต่อกับขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นการส่วนตัว ใช้ทางลัดเล่นไม่ซื่อกับสัญญาเช่าบ้าน เปลี่ยนบ้านหลังนั้นให้กลายเป็นของส่วนตัว ผลคือกลายเป็นเผือกร้อนลวกมือ
ต้องเชิญนักพรตมาทำพิธี เชิญภิกษุสมณศักดิ์สูงมาด้วย แต่ก็ยังไม่เป็นผล กลับกลายเป็นถูกผีร้ายเล่นงานแทน ยิ้มเอ่ยว่า ‘ผู้ที่มีมรรคา มีฝีมือแค่นี้เองหรือ?’
ภายหลัง ‘สหาย’ คนนั้นของพวกเฉินผิงอันต่างก็ไม่ยอมเชื่อ วิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่คิดว่าตัวเองอ่านตำราอริยะปราชญ์มาจนเต็มอิ่ม ทั้งยังเป็นขุนนาง ไยต้องกลัวสิ่งนี้ จึงพกเอาตำราอริยะปราชญ์หลายเล่มและตราประทับทางการหนึ่งชิ้น หมายจะไปนอนพักค้างแรมอยู่ที่นั่น ผลคือถูกหลอกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็ต้องเผ่นหนีกลับมาอย่างหัวซุกหัวซุน เป็นเหตุให้ล้มป่วย ต้องพักฟื้นรักษาตัวหลายสิบวันกว่าจะหายดี เห็นเพื่อนรักสองคนก็บอกแค่ว่าผีร้ายนั่นร้ายกาจจริงๆ ไม่รู้เลยว่าใต้หล้านี้จะมีใครที่กำราบมันได้
เฉินผิงอันจึงพาเสี่ยวโม่ไปที่เรือนผีตอนกลางคืน เดินเล่นอยู่ด้านใน ภาพประหลาดน่าขนพองสยองเกล้าที่อยู่บนผนัง และยังมีเสียงความเคลื่อนไหวที่น่าขนลุกพวกนั้น พวกเขาทำเพียงว่าไม่เห็นไม่ได้ยิน
เสี่ยวโม่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ อีกมือหนึ่งไพล่หลัง จู่ๆ ก็พลันเบิกตากว้างจ้องตากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดบนผนัง ฝ่ายหลังเหมือนจะถูกเจ้าหมอนี่ทำให้ตกใจแทน เสี่ยวโม่ถึงได้หันหน้ากลับมา ยิ้มถามว่า “คุณชาย จะทำอย่างไรดี? วิชาอภินิหารเวทกระบี่ของพวกเรา อยู่ที่นี่ก็เห็นได้ชัดว่าเอามาใช้ไม่ได้ แล้วจะกำจัดปีศาจปราบมารได้อย่างไร? หรือว่าควรจะใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง? หรือจะจ่ายเงินซื้อโฉนดที่ดินมาจากมือของพ่อค้าคนนั้น แล้วพวกเราค่อยแปะป้ายผนึกลงไปบนประตูใหญ่?”
เฉินผิงอันเอนหลังพิงเสาระเบียง สองมือกอดอก มองผนังแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เส้นทางในใต้หล้า หยินหยางมีความต่าง มืดสว่างอยู่คนละเส้นทาง คนเขลาเบาปัญญาก็ได้แต่เป็นทุกข์ ขอแค่สามารถเคารพผีและเทพอยู่ไกลๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่เป็นปัญหาแล้ว”
ทางฝั่งของผนังมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังลอยมา สตรีสวมชุดสีสันสดใสผู้หนึ่ง มวยผมทรงเมฆาประดับด้วยเครื่องประดับงดงามเดินนวยนาดออกมาจากในผนัง พลิ้วกายลงบนพื้น “ประโยคนี้ของท่านอาจารย์มากพอจะปลอบใจคนได้แล้ว”
ผีหญิงพลันคลี่ยิ้มหวานดุจบุปผาเบ่งบาน “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้บ่าวได้พาพวกคุณชายไปยังพื้นที่ที่ร้อยบุปผาบานสะพรั่งด้วยเถิด”
เมื่อประตูบนผนังเปิดออก สตรีก็เดินนำเข้าไปข้างในก่อน หันหน้ามากวักมือเรียก
เสี่ยวโม่อดไม่ไหวถามว่า “วกวนอ้อมค้อมเช่นนี้ ต้องการอะไรกันแน่?”
สหายท่านนั้นแสดงเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อยู่ตลอด คิดจะทำอะไร
——