กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 923.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สาม)
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรือไปถึงสะพานย่อมต้องจอด ก็ถือเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวที่เดินชมนกชมไม้ไปตลอดทางก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าไปถึงพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแล้ว
ตลอดทางมีบุปผาพืชพรรณแปลกตาอยู่มากมาย เมื่อเข้าคู่กับสตรีที่ยืนอยู่ก็มีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป หลากหลายรูปแบบ
สุดท้ายก็มาถึงตำหนักใหญ่ที่งดงามแห่งหนึ่ง นอกตำหนักมีเด็กสาวที่คล้ายจะแจ้งชื่อของ ‘ปัญญาชนในโลกมนุษย์’ สองท่านอย่างพวกเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับการร้องเพลง
เด็กสาวคนนั้นอายุแค่ประมาณสิบสี่สิบห้าปี ขยับตัวอย่างชดช้อยอรชร เรือนกายบอบบาง มิอาจต้านทานลม ขยับตัวทีก็ราวกับจะได้ยินเสียงข้อต่อกระดูกลั่น
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินข้ามธรณีประตูมาแล้วก็มองไปยังฮูหยินที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูง รูปลักษณ์ของนางสุภาพสง่างาม บนศีรษะสวมมงกุฎสีเขียวมรกต รูปร่างคล้ายมงกุฎของนางสนมในวังหลัง
ในตำหนักมีสาวใช้อยู่หลายสิบคน ทุกคนล้วนเป็นสาวงามล่มเมือง
ผลคือฮูหยินที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานบอกว่าพวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ นางจึงอยากจะขอฟังบทกลอนประชันเพลงจากพวกเขา
เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้า คือเหล้าร้อยบุปผาประเภทหนึ่ง พอได้ยินว่าต้องแต่งกลอนประชันเพลงก็บอกให้เสี่ยวโม่ทำแทน
เจ้าตัวดี เสี่ยวโม่ไม่ตื่นเวทีแม้แต่น้อย ยกจอกลุกขึ้นยืน ท่องบทกวีที่พรรณนาถึงพืชพรรณบุปผาซึ่งสอดคล้องกับบรรยากาศหลายสิบบท อีกทั้งยังเป็นบทรวมกวีที่เสี่ยวโม่เอาตรงโน้นมาประติดประต่อกับตรงนี้
ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้ยินถึงกับก้มหน้ากุมขมับ ไม่กล้ามองหน้าใคร
สตรีเหล่านั้นกลับให้การสนับสนุนดีมาก ทำท่าตกตะลึงอึ้งทึ่ง ราวกับยอมศิโรราบให้กับความรู้ความสามารถของเสี่ยวโม่แล้ว
สุดท้ายเสี่ยวโม่ก็ช่วยตบตาจนผ่านด่านไปได้จริงๆ
ในมือคนทั้งสองยังถือจอกเหล้า เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “รู้สึกยังไม่สาแก่ใจพอเลย”
เฉินผิงอันโยนจอกเหล้าที่กลิ่นเครื่องประทินโฉมค่อนข้างฉุนในมือใบนั้นให้เสี่ยวโม่ แล้วตบไหล่ของเสี่ยวโม่หนึ่งที “วันหน้าถามกระบี่กับคนอื่นให้มาก ประชันบทกลอนกับคนอื่นให้น้อย”
เข้ามาอยู่ในตลาดที่จอแจแห่งหนึ่งแล้ว มีผู้เฒ่าแบกหาบขายดอกไม้ สีแดงสีขาวมองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู ตอนกลางวันที่แสงแดดอบอุ่นสาดส่อง ผู้เฒ่าปลดคานหาบบนบ่าลง หยิบพัดออกมาเล่มหนึ่ง โบกพัดพัดเอาลมเย็นๆ ต่อให้จะไม่พูดถึงว่าผู้เฒ่าคือบุคคลที่มีสีสัน พูดถึงแค่พัดพับในมือก็ไม่เหมือนของที่จะอยู่ในมือของคนจากหมู่บ้านชนบทได้เลยจริงๆ ด้านบนหน้าพัดคือกลอนบทหนึ่ง ตัวอักษรงดงาม แต่ละคำประดุจดั่งสาวงามที่ใช้ความคิดลึกซึ้ง ช่วงท้ายของหน้าพัดยังมีการลงนามไว้ด้วย
เฉินผิงอันตบไหล่เสี่ยวโม่หนักๆ อีกครั้ง
เสี่ยวโม่ทำหน้าคลางแคลง
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไหนบอกว่ายังไม่สาแก่ใจมากพออย่างไรเล่า? บังเอิญนัก ท่องเนื้อหาในตำรามามากมายขนาดนั้น ความรู้มีอยู่เต็มท้อง วิสัยทัศน์อันกว้างไกลอุดมสมบูรณ์ ต่อจากนี้ก็มีพื้นที่ให้ใช้งานแล้ว”
ใบหน้าของเสี่ยวโม่เต็มไปด้วยความกังขาไม่เข้าใจ แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าเขาแกล้งโง่เสียมากกว่า จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่ามัวอึ้งอยู่สิ รีบไปถามประวัติความเป็นมาของพัดจากท่านลุง ข้าจะแกล้งทำเป็นผู้ติดตามของเจ้า เจ้าก็บอกไปว่าตัวเองคือบัณฑิตที่เข้าเมืองหลวงมาสอบ ไม่แน่ว่าอาจมีค่ำคืนเข้าหอชื่นมื่นรอเจ้าอยู่ก็ได้นะ”
เสี่ยวโม่มองหน้าพัดแล้วขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะส่ายหน้า “บทกลอนของคุณหนูท่านนี้เขียนได้…ฝีมือสูสีกับเสี่ยวโม่จริงๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เสี่ยวโม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน! นิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่อ่านมามากมายขนาดนั้นล้วนอ่านมาอย่างเสียเปล่าหรือ? เรื่องอย่างบทกวีคำร้องนี้ การชื่นชมบทกวีของกันและกันในนิยายจะต้องทำให้ดีถึงขีดสุด ในเมื่อสร้างภาพลักษณ์ของบุรุษมากความสามารถกับสาวงาม ก็ต้องบรรยายไว้ว่าบทกวีของพวกเขาเขียนได้ดีเพียงใด เหล่านักเขียนนิยายยังต้องเขียนบทกวีดีๆ แทนพวกเขาอีกหลายบทด้วย”
เสี่ยวโม่พลันรู้สึกหัวโตเท่ากระด้ง
จากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณชายพูดจริงๆ เขาเกือบจะต้องร่วมหอใต้แสงเทียนกับหญิงสาวอายุน้อยนางหนึ่งแล้ว แต่สุดท้ายก็ใช้การที่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนของแทนใจกัน ถือเป็นการมอบคำอธิบายให้จึงผ่านด่านนี้ไปได้
เห็นว่าสีหน้าของคุณชายค่อนข้างเคร่งเครียด เสี่ยวโม่ก็รีบใช้เสียงในใจเอ่ยทันทีว่า “คุณชาย คือแผนเล่นงานอย่างลับๆที่ต่อเนื่องกันหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “ไม่ถือเป็นแผนลับ แต่เป็นแผนการอย่างเปิดเผย”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ได้กลายมาเป็นจักรพรรดิของแคว้นที่ผาสุกแห่งหนึ่ง ทว่าการกระทำของเขากลับเหลวไหลบิดเบี้ยว ถึงกับมอบตำแหน่งจ้วงหยวนหญิงให้กับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์มีไหวพริบ แขกพากันมาหามากมาย คนที่มาขอบทประพันธ์ขอน้ำหมึกมีไม่ขาดสาย ระหว่างนั้นเด็กสาวได้พบกับบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งที่รอคอยอยู่ด้านล่างหอเรือนอย่างยากลำบาก เนื่องจากเขาขากะเผลก นางจึงเลือกใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ ค่อนแคะไปคำรบหนึ่ง บัณฑิตมีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูง แต่กลับมีความรู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ จึงไม่รู้ความนัยเสียดสีของเด็กสาว ตอนที่เหล่าสหายมานั่งกันเต็มห้องโถง เขาก็ยังลำพองใจ ผลคือถูกคนเปิดโปงความลับ จึงกลายเป็นตัวตลกสำหรับทุกคน นับแต่นั้นมาจึงเกิดความอาฆาตแค้นในหัวใจ ขว้างจอกเหล้า คำรามเดือดดาลว่า บุตรสาวของอัครเสนาบดีที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนางรังแกบุตรชายของอัครเสนาบดีที่ตายไปแล้วอย่างข้างั้นหรือ?
คนผู้นี้วางแผนไม่หยุด สร้างเรื่องให้ตระกูลของเด็กสาวเกิดหายนะติดต่อกันหลายครั้ง โชคดีที่บิดาของนางอยู่ในตำแหน่งสูงมีอำนาจมาก สถานะสูงศักดิ์เป็นถึงขุนนางหลักของกรมขุนนาง อีกทั้งยังเป็นผู้นำของฝ่ายน้ำใส แต่กระนั้นกว่าจะสยบคลื่นลมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย รอกระทั่งมีวันหนึ่งคุยเรื่องนี้กับบุตรสาวต่อหน้า ใต้เท้าเจ้ากรมถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุที่วกวนนี้ หลังจากนั้นก็ได้ป่าวประกาศหาลูกเขยให้กับบุตรสาว ในตระกูลจึงเท่ากับว่ามีลูกเขยที่ถูกใจเพิ่มมาคนหนึ่ง หลังจากนั้นพ่อตากับลูกเขยก็ร่วมมือกันเล่นงานเจ้าคนที่วางแผนชั่วร้ายซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีที่ตายไปแล้ว ตามหลักแล้วจุดจบย่อมต้องเป็นอธรรมมิอาจเอาชนะธรรมะ คนดีได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ทว่าจักรพรรดิซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างเฉินผิงอันกลับทำเพียงแค่มองเรื่องวุ่นวายพวกนี้อย่างดูดาย ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญไม่ได้เอ่ยประโยคทวงความเป็นธรรมให้กับใต้เท้าเจ้ากรมขุนนางที่ต้องติดคุก และยิ่งไม่ได้ออกพระราชโองการช่วยชีวิตจ้วงหยวนที่ถูกเนรเทศไปไกลพันลี้ เพียงแค่ว่าก่อนที่เด็กสาวในอดีต ภรรยาของผู้อื่นในปัจจุบันจะกลายเป็นหญิงคณิกาในสถานเริงรมย์ เขาได้ออกโองการลับฉบับหนึ่ง จากนั้นเดินทางออกจากวังหลวง ฮ่องเต้เรียกบุรุษขาเป๋ที่เป็นคนวัยกลางคนแล้วมา มองหอซิ่วโหลวที่อยู่ห่างไปไกลร่วมกับฝ่ายหลัง ฮ่องเต้ถามบุรุษคนนั้นว่า หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เจ้าอยู่ที่นี่ ในใจคิดอะไรอยู่ ทุกวันนี้เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังจำได้อยู่หรือไม่?
บุรุษขาเป๋พยักหน้า บอกว่าตัวเองจดจำได้อย่างชัดเจน
หลังจากนั้นฮ่องเต้ที่ได้รับคำตอบที่แท้จริงก็ไปที่คุก มองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่โขกหัวไม่หยุดโดยมีลูกกรงเหล็กกั้นขวาง ‘ฮ่องเต้’ ทรุดตัวลงนั่งยอง ถามใต้เท้าขุนนางคนสำคัญผู้นี้ว่ายังจำประโยคที่เอ่ยในปีนั้นได้หรือไม่
เจ้ากรมผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลนเต็มหัวมีสีหน้างงงัน ฮ่องเต้จึงเตือนเขาว่า ปีนั้นครั้งแรกที่รู้ว่าคนหนุ่มขาเป๋ถูกบุตรสาวพูดล้อเลียน ประโยคแรกที่เจ้าพูดคืออะไร
เจ้ากรมผู้เฒ่าหรือจะจำเรื่องเก่าแก่นานปีเช่นนั้นได้ ได้แต่โขกหัวต่อไป วิงวอนขอให้ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา
เพียงได้ยินฮ่องเต้เอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนั้นเจ้าเอ่ยประโยคว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ’ จากนั้นก็เริ่มหันไปปรึกษากับบุตรสาวของเจ้าว่าจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนั้นอย่างไร”
เจ้ากรมผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้น ยิ่งสับสนมากกว่าเดิม ตนทำผิดตรงไหน?
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองใต้เท้าเจ้ากรมที่ในประวัติศาสตร์เกินครึ่งต้องมีบุคคลอย่างเขาอยู่ด้วย ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ? นี่จะช่างเถอะได้อย่างไร?!”
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “เปิดประตู”
เสี่ยวโม่ถอนหายใจ สหายอู๋ถงผู้นั้นเปิดประตูจริงๆ เสียด้วย
จากนั้นพวกเขาก็มาถึงถ้ำริมหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง ได้เห็นผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่งนั่งตาย รูจมูกสองข้างมีเส้นเอ็นหยกห้อยลงมายาวฉื่อกว่า ในชายแขนเสื้อมีตำราวิเศษที่ส่องแสงสีทองหนึ่งเล่ม ข้างเท้ายังมีไม้เท้าที่ทำจากไม้สนโบราณอยู่หนึ่งอัน
หลังจากที่เฉินผิงอันและเสี่ยวโม่ปรากฏตัวที่นี่ แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็เริ่มไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า บุรุษขาเป๋มีชีวิตกลับคืนมา เขา ‘ลุกขึ้นยืน’ ‘หยิบ’ ไม้เท้า ‘เดินถอยหลัง’ จากไป
ผู้บรรลุมรรคาเรียนรู้ภาษาร้อยวิหคจากบ้านป่า สวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เดินร้องเพลงดังไปตลอดทาง ตรงเอวห้อยกระบวยหนึ่งอัน วักน้ำมาจำแลงเป็นสุรา นอนเมามายอยู่บนถนนท่ามกลางลมฝน เชี่ยวชาญการวาดมังกร พ่นสุราลงบนกระดาษเก่าซีด กลืนกินเมฆหมอก เกล็ดส่องประกายมีชีวิตชีวา
เวลาไหลย้อนกลับไปนานถึง ‘ร้อยปี’ จนกระทั่งนักพรตขาเป๋กลับคืนมามีรูปโฉมอ่อนเยาว์อีกครั้ง ไปเยือนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลแห่งหนึ่ง บนเกาะมีชาวบ้านลี้ภัย ขนบธรรมเนียมบริสุทธิ์เรียบง่าย รักและชื่นชอบตัวอักษร แต่กลับไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชา ไม่มีโรงเรียนให้ความรู้ คนผู้นี้จึงเขียนตัวอักษรลงบนฝ่ามือ ช่วยสอนให้กับเด็กเล็กที่มาสอบถามเรื่องตัวอักษรจากเขา หนึ่งตัวอักษรคิดเงินหนึ่งเหรียญ ในช่วงเวลา ‘หลายปี’ เงินเหรียญทองแดงจึงกองกันเป็นภูเขา เฉินผิงอันเองก็มาเยือนถึงถิ่น ทุกๆ หนึ่งเดือนจะต้องขอให้ผู้บรรลุมรรคาที่ไม่ได้เป็นครูแต่ทำยิ่งกว่าครูผู้นี้สอนตัวอักษรตัวหนึ่งให้ ข้อเรียกร้องเพียงหนึ่งเดียวก็คือให้เขียนลงบนกระดาษ ไม่ได้เขียนบนฝ่ามือ คนผู้นั้นจึงบอกเฉินผิงอันว่าต้องนำสุรามาด้วย
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้สุราเจ็ดกา เหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญแลกมาด้วยกระดาษเจ็ดแผ่น ตัวอักษรเจ็ดตัว
ชุน ซู ฉาน ซาน เจี้ยน สุ่ย เจี่ยน
ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพนี้ใช้เวลานานที่สุด มองระดับการเผาไหม้ของยันต์ม้าขาวควบผ่านร่องแคบ เวลาน่าจะผ่านไปประมาณสามเดือนได้แล้ว
หลังจากนั้นเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็มาถึงภาพสุดท้ายในชีวิตของคนอื่น
หลังจากสงครามใหญ่ครั้งหนึ่งผ่านไป ร้านในหมู่บ้านชนบทมีคนขายแผ่นแป้งย่าง ทุกวันยามสนธยาจะต้องมีสตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่งถือเหรียญทองแดงมาที่ร้าน สามารถซื้อแป้งย่างแผ่นหนึ่งได้พอดี เถ้าแก่ร้านถามหาเหตุผล นางจึงบอกว่าสามีออกเดินทางไกลยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ลูกเล็กที่บ้านหิวโหยกันอย่างมาก จึงได้แต่มาซื้อแผ่นแป้งของที่นี่ประทังความหิว แรกเริ่มเถ้าแก่ร้านก็ไม่สงสัย เพียงแต่เวลานานวันเข้าก็สังเกตเห็นว่าในกระปุกเงิน ทุกวันจะต้องมีกระดาษเพิ่มมาหนึ่งแผ่น จึงมีเพื่อนบ้านบอกว่าต้องมีผีมาซื้อแผ่นแป้งของที่นี่เป็นแน่ วันต่อมาเถ้าแก่ร้านก็เอาเงินทั้งหมดของคนซื้อใส่ลงไปในถ้วยน้ำเงียบๆ แล้วก็เป็นเงินเหรียญทองแดงของสตรีผู้นั้นจริงๆ ที่พอลงน้ำแล้วก็ลอยขึ้นมา มีเพียงมันที่ไม่จมลงไปก้นถ้วย ทันใดนั้นเขารู้สึกหวาดกลัวแทบขวัญกระเจิง วันที่สามสตรีก็มาซื้อแผ่นแป้งย่างอีก เถ้าแก่แสร้งทำเป็นไม่รู้ความจริง เพียงรอให้สตรีผู้นั้นจากไปก็รีบเรียกเพื่อนบ้านมา พากันจุดคบเพลิงไล่ตามสตรีผู้นั้นไป สตรีหันกลับมามองด้วยสีหน้าซับซ้อน เรือนกายประดุจนกโผบิน เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ สุดท้ายทุกคนสังเกตเห็นว่าในโลงผุพังแห่งหนึ่ง สตรีได้กลายเป็นโครงกระดูกขาวไปแล้ว มีเพียงลูกเล็กในโลงที่เหมือนยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต่างอะไรจากคนเป็น ในมือยังถือแผ่นแป้งย่างไว้ชิ้นหนึ่ง เห็นคนก็ไม่กลัว ทุกคนเกิดความสงสารเวทนาจึงอุ้มพากลับไป ผีที่เป็นสตรีออกเรือนแล้วซึ่งยืนอยู่ห่างไปไกลยกชายแขนเสื้อปิดบังใบหน้า ส่งเสียงสะอื้นไห้ หลังจากนั้นทุกๆ ค่ำคืนหากเด็กน้อยฝันร้ายนอนไม่หลับก็จะมีเสียงเหมือนคนเห่กล่อมและเสียงตบผ้าห่มเบาๆ ดังขึ้น เด็กน้อยถึงจะหลับได้…หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่สตรีผู้นั้นไม่กลับมาอีกแล้ว เด็กน้อยที่เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่มีชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต่างอะไรจากคนปกติทั่วไป เพียงแต่ว่าเวลาปกติมักจะหลั่งน้ำตาอย่างเศร้าสร้อยเพียงแค่เพราะจดจำใบหน้าของพ่อแม่ไม่ได้…
เฉินผิงอันอยู่ในม้วนภาพนี้ตลอด ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เสี่ยวโม่เองก็ไม่เร่งรัด เพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนคุณชายบ้านตนเงียบๆ บ้างก็เดินไปท่ามกลางแสงสนธยาเลือนราง บ้างก็ยืนอยู่ข้างร้าน บ้างก็ติดตามทุกคนที่ในมือถือคบเพลิงเดินไปบนถนนตอนกลางคืน บ้างก็นั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตู ฟังเสียงเด็กน้อยในห้องสะดุ้งตื่นจนถึงหลับสนิท…
กระทั่งเวลาสิบชั่วยามถูกใช้หมดลง วันนี้เสี่ยวโม่ก็มายืนอยู่ในร้านขายแผ่นแป้งย่างเป็นเพื่อนคุณชายอีกครั้ง คนทั้งสองยืนอยู่ข้างถ้วยน้ำ เฉินผิงอันยังคงมองภาพที่เหรียญทองแดงร่วงลงน้ำแต่ไม่จมครั้งแล้วครั้งเล่า เสี่ยวโม่ถอนหายใจ ใช้เสียงในใจเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย แค่ต้องการประโยคเดียวเปิดเผยความจริงก็จะสามารถทำลายภาพลวงตาของที่แห่งนี้ได้ พวกเราควรไปกันได้แล้ว”
ริมฝีปากของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
เสี่ยวโม่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไปอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร
ความจริงนั้นโหดร้ายเกินไป บางทีอาจเป็นสตรีที่ยังไม่ตาย แต่ทารกน้อยได้ตายก่อนวัยอันควรไปนานแล้ว หรือบางทีอาจเป็นทั้งแม่และลูกที่คลอดยากตายกันไปทั้งคู่
ก็เหมือนอย่างบุรุษที่ไม่เคยได้กลับคืนมายังบ้านเกิดคนนั้น บางทีอาจตายอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไปแล้ว หรือบางทีอาจจะยังไม่ตาย ใครเล่าจะรู้ได้
เสี่ยวโม่พลันเงยหน้าขึ้น ภาพเหตุการณ์รอบด้านสลายหายไปราวฝุ่นควัน ตรงหน้าเผยให้เห็นต้นอู๋ถงที่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง ราวกับว่ามันเกิดและเติบโตอยู่ในน้ำ
เฉินผิงอันกลับก้มหน้าลง บังเอิญหลุบตาลงก็ได้เห็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าที่เหมือนห้อยกลับหัวอยู่พอดี
ต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงแห้งเหลือง
เสี่ยวโม่เหลือบตามอง นั่นคือภาพเคลื่อนไหวที่หนึ่งใบไม้คือโลกหนึ่งใบ ดุจขี่ม้าชมบุปผา ชีวิตคนสารพัดหลากหลายต่างกันไป
พริบตานั้นฟ้าดินที่เดิมทีสว่างไสวก็เปลี่ยนมาเป็นมืดสลัว ทั้งยังมีตะเกียงดวงหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำ หลังจากนั้นก็ราวกับว่าดวงดาวบนฟ้าได้ร่วงกระจายลงมาในโลกมนุษย์เพียงชั่วพริบตา ก่อนจะค่อยๆ มารวมตัวกันหนาแน่น ส่องแสงสว่างพร่างพราว จำนวนมากนับร้อยนับพันล้าน มากจนเกินกว่าจะนับได้หมด
เสี่ยวโม่พลันขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก
ที่แท้เฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายก็ไม่รู้ว่าได้เปลี่ยนมาเป็นสวมชุดคลุมสีแดงสดตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของเขาพร่าเรือน ทั้งเรือนกายและจิตวิญญาณล้วนเกิดจากเส้นด้ายที่ถักทอตัดสลับกัน
คงเป็นเพราะถูกมหามรรคาของหอสยบปีศาจสยบกำราบเอาไว้ เรือนกายของเขาจึงเกิดเป็นภาพวูบวาบพร่าเลือนเป็นระยะ จิตวิญญาณเกิดเสียงสอดประสาน สะเทือนเลือนลั่นดังเหนือเกินกว่าเสียงใดในโลก ราวกับว่ามีอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่เผยตัวพร้อมกันหลายคน
——