กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 924.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สี่)
เรือเฟิงยวนขยับเข้าใกล้ภูเขาเซียนตูแล้ว
เซียนเหรินกั่วหรานที่ได้ฉายาว่า ‘หลงเหมิน’ แห่งภูเขาต้นไม้เหล็กเดินเล่นไปตามขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้รอบภูเขาเซียนตูแล้ว ทุกหนทุกแห่งมีเพียงกำแพงหักพัง สภาพทรุดโทรมเสื่อมถอย ซากปรักรอวันได้รับการฟื้นฟู
ทะยานลมกลับมาที่ยอดเขามี่เซวี่ย กั่วหรานเห็นว่าลูกศิษย์กำลังนั่งคุยอยู่กับเจิ้งโย่วเฉียนบนราวรั้วของดาดฟ้าชมทัศนียภาพแห่งหนึ่ง
คงเป็นเพราะสอดคล้องกับคำโบราณที่บอกว่าสตรีมักจะคิดถึงแต่เรื่องออกเรือน ถานอิ๋งโจวกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจิ้งโย่วเฉียนว่า เจ้าทำเรื่องอะไรๆ ไม่ได้ความ มีเพียงเรื่องของการหาอาจารย์อาน้อยเท่านั้นที่เก่งกาจกว่าใคร
ศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายของกั่วหราน แม้แต่ตัวเขาเอง แน่นอนว่าต้องเป็นอาจารย์อาอาจารย์ลุงของผู้ฝึกตนหลายคนของภูเขาต้นไม้เหล็ก
กั่วหรานไม่อยากให้ลูกศิษย์รู้สึกลำบากใจ จึงพลิ้วกายลงบนหลังคาเรือนหลังหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เป็นอาจารย์เป็นได้ถึงขั้นนี้ ก็มีให้เห็นไม่มากจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนเหรินทั่วไป เซียนผีอวี่จิ่นมองไม่เห็น แต่กั่วหรานกลับเห็นอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาอวิ๋นเจิงและภูเขาโฉวโหมวที่เป็นสถานการณ์สามภูเขาร่วมกับภูเขาเซียนตู กั่วหรานสามารถมองทะลุเวทอำพรางตาไปได้ อักษรบนป้ายศิลาสองป้ายที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เขาก็เห็นอย่างแจ่มชัด
ชุยตงซานหดย่อพื้นที่เดินหนึ่งก้าวมาถึงข้างกายกั่วหราน ยิ้มเอ่ยว่า “สหายหลงเหมินสายตาดี”
กั่วหรานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่อาจควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี ล่วงเกินแล้ว”
ชุยตงซานโบกมือยิ้มเอ่ย “สหายหลงเหมินพูดแบบนี้ช่างห่างเหินกันเกินไปแล้ว”
กั่วหรานกวาดตามองรอบด้าน อดไม่ไหวเอ่ยชื่นชมว่า “ก่อภูเขาก่อก้อนหิน ถือเป็นความรู้อีกอย่างหนึ่งแล้ว ตามความเห็นของข้า นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่ากลางอกมีร่องลึก (เปรียบเปรยว่ายามที่วาดภาพหรือประพันธ์ผลงาน ในใจเข้าใจถึงแนวคิดอันลึกซึ้ง) เหมือนกัน แต่อันที่จริงกลับยากยิ่งกว่าการวาดภาพเสียอีก เคลื่อนย้ายภูเขาหลายลูก ย้ายแม่น้ำหลายสาย นำมาประกบประกอบกันเป็นภาพที่ขุนเขาสายน้ำแอบอิงก็ไม่ได้ยาก แต่ยากตรงการเสริมเติมอย่างไร้ร่องรอย มหามรรคาของแต่ละฝ่ายสอดคล้องต้องกัน พูดถึงแค่บนยอดเขามี่เซวี่ยแห่งนี้ ดิน น้ำ เส้นทาง ต้นไม้ใบหญ้า เมฆหมอกล่องลอย ตอนนี้มองดูเหมือนหยาบมาก แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีสิ่งใดที่ไม่ยอดเยี่ยม รอให้วันหน้าทุ่มเทความคิดอีกสักเล็กน้อย ย้ายพืชพรรณมาปลูก เว้นระยะชิดห่างตรงลาด สูงต่ำเข้มจาง จัดวางให้เหมาะสม ก็จะกลายเป็นสถานที่ที่ขุนเขาสายน้ำงดงามแห่งหนึ่งแล้ว”
“สหายหลงเหมินชมเกินไปแล้ว”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย โคลงศีรษะยิ้มเอ่ย “พูดถึงความยิ่งใหญ่ของภาพบรรยากาศก็มิอาจเทียบกับภูเขาใหญ่แสนลี้ของเฒ่าตาบอดได้ พูดถึงความยอดเยี่ยมในจุดที่ละเอียดอ่อน บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีพ่อครัวเฒ่าอยู่คนหนึ่ง เขาต่างหากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง”
กั่วหรานหลุดหัวเราะพรืด
ก็เหมือนกับชื่นชมคนผู้หนึ่งว่าเขียนบทกวีได้ยอดเยี่ยม ผลคือคนที่ถูกชมดันบอกว่าตัวเองสู้ป๋ายเหย่ ซูจื่อไม่ได้
นี่ยังจะให้คนเขารับคำอย่างไรได้อีก?
ชุยตงซานมองไปยังทิศไกล เรือเฟิงยวนกำลังจะจอดเทียบท่า เขาจึงเอาสองมือตบหลังคา ไถลก้นพ้นไปจากหลังคา สุดท้ายพลิ้วกายลงบนดาดฟ้าชมทัศนียภาพ
เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้ เจิ้งโย่วเฉียนและถานอิ๋งโจวต่างก็เรียกขานเขาด้วยคำแบบเดียวกัน เจ้าสำนักชุย
ชุยตงซานผงกศีรษะให้กับแม่นางน้อย จากนั้นหันไปมองเจิ้งโย่วเฉียน บ่นว่า “เรียกเจ้าสำนักอะไร เรียกศิษย์พี่เล็กสิ!”
เจิ้งโย่วเฉียนจึงได้แต่เปลี่ยนคำเรียกขานใหม่
อยู่กับเจ้าสำนักชุยที่นิสัยตามแต่ใจและคำพูดคำจายังตลกขบขัน อันที่จริงเจิ้งโย่วเฉียนไม่ได้ขัดเขินมากนัก
ชุยตงซานบอกลาหนึ่งคำ เรือนกายก็กลายเป็นรุ้งขาวเส้นหนึ่งที่ตรงดิ่งไปยังเรือเฟิงยวน
เห็นคู่อาจารย์และศิษย์อย่างหลิวจิ่งหลงและป๋ายโส่ว ชุยตงซานก็ยิ้มเอ่ยทักทาย “เจ้าสำนักหลิว น้องป๋าย”
ป๋ายโส่วเห็นว่ามีแค่ชุยตงซาน ไม่มีใครบางคนก็พลันถอนหายใจโล่งอก ยิ้มพลางกุมหมัด ไม่ได้เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับชุยตงซานอย่างที่หาได้ยาก แต่เรียกอีกฝ่ายว่า “เจ้าสำนักชุย” อย่างรู้ระเบียบกฎเกณฑ์
ชุยตงซานพลันประสานมือคารวะหลิวจิ่งหลง “เจ้าสำนักหลิวลำบากแล้ว ลำบากแล้ว”
หลิวจิ่งหลงได้แต่คารวะกลับคืน
เรื่องที่หมี่อวี้ปิดด่านกะทันหัน ก่อนหน้านี้ทางฝั่งของเรือเฟิงยวนได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังยอดเขามี่เซวี่ยแล้ว
ชุยตงซานใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าสำนักหลิวปิดด่านเมื่อไหร่?”
หลิวจิ่งหลงตอบตามสัตย์จริง “ตอนนี้ยังบอกได้ยาก”
แน่นอนว่าชุยตงซานต้องใส่ใจเรื่องนี้มาก
วันหน้าอาจารย์ไปอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว หากจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ คนที่จะไม่ลังเลที่สุด อีกทั้งศักยภาพก็มากพอจะเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ได้มากที่สุด นอกจากอาจารย์แม่แล้วก็ต้องเป็นหลิวเสี้ยนหยางและหลิวจิ่งหลงแล้ว
บางทีอาจเพิ่มจางซานเฟิงเข้าไปอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าศิษย์เอกของยอดเขาพาตี้ผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่รีบร้อนกับเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตเลยจริงๆ
พาคนทั้งกลุ่มเดินลงเรือไปด้วยตัวเอง ชุยตงซานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงนวดคลึงปลายคาง จะถือว่าไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิวแต่ต้นหลิวเติบใหญ่ให้ร่มเงาหรือไม่?
สำนักกระบี่ชิงผิงของบ้านตน
สำนักกระบี่หลงเฉวียนของหลิวเสี้ยนหยาง สำนักกระบี่ไท่ฮุยของหลิวจิ่งหลง
บวกกับสำนักกระบี่หลงเซี่ยงและทะเลสาบกระบี่ฝูผิง?
แต่ตอนนี้ชุยตงซานก็สงสัยใคร่รู้ในเรื่องหนึ่ง ทำไมจางซานเฟิงถึงยังไม่มาเสียที
ถานหรงผู้คุมกฎของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานก็อยู่ที่ภูเขาเซียนตูแล้ว อยู่ที่จวนบนยอดเขามี่เซวี่ย รู้ว่าเจ้าขุนเขาบ้านตนถามหมัดกับเฉินอิ่นกวานไปรอบหนึ่งก็ถึงกับสามารถเลื่อนจากชั้นปราณโชติช่วงของขอบเขตปลายทางเป็นชั้นคืนความจริงได้สำเร็จ ถานหรงก็กุมหมัดเอ่ยแสดงความยินดีว่า “ยินดีกับเจ้าขุนเขาด้วย”
น่ายินดีอย่างมากจริงๆ ผู้ฝึกยุทธเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทาง เดิมทีก็จะขาดไม่ได้ทั้งพรสวรรค์ ฐานกระดูกและโชควาสนา และชั้นปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือนของขอบเขตปลายทาง หากคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็ยากยิ่งกว่ายากเข้าไปอีก
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้าเอ่ย “ต้องยกคุณความชอบให้กับการช่วยเหลือของเซียนกระบี่เฉิน น้ำใจใหญ่เทียมฟ้านี้ ไม่ต้องให้ผูซานชดใช้คืน ข้าจะคิดเองว่าควรทำอย่างไร”
ถึงอย่างไรนางก็จะรับหน้าที่เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตูอยู่แล้ว อีกทั้งตนยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ต้องไม่ขาดโอกาสที่จะชดใช้น้ำใจส่วนนี้คืนอย่างแน่นอน
ถานหรงนึกความลับเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามว่า “อยู่ดีๆ ศาลบรรพจารย์ก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพิ่มมาคนหนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ที่แท้ก็มีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งใช้นามแฝงว่าชุยว่านจ่าน ได้ใช้วิธีการที่ไม่สะดุดตากลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนใหม่ล่าสุดของเรือนอวิ๋นฉ่าวภายใต้การจัดการอย่างลับๆ ของถานหรง ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าชุยว่านจ่านคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตหกคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ถานหรงได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากเย่อวิ๋นอวิ๋น แม้ว่าผู้คุมกฎศาลบรรพจารย์ท่านนี้จะมึนงงอยู่มาก ทว่าก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง เรื่องแบบนี้ตามหลักแล้วไม่ถือว่าสอดคล้องกับกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์เลย
รอกระทั่งมาถึงยอดเขามี่เซวี่ยภูเขาเซียนตู ถานหรงถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นถึงกับเป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องถามแล้ว”
ถานหรงถลึงตาใส่ คิดจะซักไซ้ให้ถึงที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คิดว่าผู้คุมกฎผูซานอย่างข้าเป็นแค่เครื่องประดับจริงๆ หรือไร?
“ต้องมีวันที่น้ำลดหินผุดแน่ ไม่สู้ผู้คุมกฎถานรอดูการเปลี่ยนแปลงไปเงียบๆ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เซวียไหวรีบช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ ยิ้มเอ่ยว่า “เพียงแต่ว่าทำไมเจ้าสำนักชุยถึงได้ตั้งชื่อประหลาดเช่นนี้เล่า ชุยว่านจ่าน?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าที่เกราะทองทวีปจะมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่มีชื่อเสียงมานานแล้วอยู่คนหนึ่ง ใช้ฉายาว่าหันว่านจ่าน?”
ถานหรงจึงได้แต่ข่มกลั้นความสงสัยในใจไว้ชั่วคราว พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ยินสหายบนภูเขาคนหนึ่งเล่าว่า ชื่อจริงคือหันกวงหู่ คือคนที่นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของผู้ฝึกยุทธในเกราะทองทวีป และยังเป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แคว้นของราชวงศ์แห่งหนึ่งด้วย คุณูปการด้านการสู้รบเกริกก้อง สงครามดุเดือดที่ภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปพังภินท์ครานั้น หันกวงหู่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ควบคุมสถานการณ์การสู้รบ จัดวางกำลังพลต่อสู้ มีระบบระเบียบอย่างมาก สุดท้ายก็สามารถร่วมมือกับ ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ ที่จู่ๆ ก็โผล่มาบนโลกผู้นั้น สกัดขวางหวานเหยียนเหล่าจิ่งที่เสียสติเอาไว้ได้ ได้ยินว่าด้วยเหตุนี้หันกวงหู่ยังบาดเจ็บสาหัส ขอบเขตถดถอย ถึงได้ไม่อาจเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋น”
เซวียไหวถอนหายใจ “ก็ถือว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง”
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่ขอบเขตถดถอยจะมีโรคแฝงตามมาภายหลังรุนแรงยิ่งกว่าการขอบเขตถดถอยของผู้ฝึกลมปราณเสียอีก
ถานหรงเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “ก็คือหันกวงลู่ที่เป็นขุนนางผู้ช่วย เคยสลัดทิ้งจักรพรรดิเก่าแต่งตั้งจักรพรรดิคนใหม่มาแล้วถึงหกท่านน่ะหรือ?”
ก็ไม่แปลกที่ถานหรงจะไม่ค่อยรู้ข่าวสาร เดิมทีใบถงทวีปก็มีการปิดกั้นการข่าวอยู่แล้ว และเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานก็ยังขึ้นชื่อว่าไม่ชอบสืบเสาะเรื่องนอกภูเขา
ตอนนั้นแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือ ผู้ฝึกตนบนภูเขาของใบถงทวีป อย่างมากสุดก็แค่เคยได้ยินชื่อภูเขาบางส่วนมาเท่านั้น นครมังกรเฒ่าที่อยู่ทิศใต้สุด ราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่ค่อนข้างมาก สำนักโองการเทพที่ถือว่าอยู่ในสามสายเต๋าของป๋ายอวี้จิงเหมือนกับภูเขาไท่ผิง สกุลเจียงอวิ๋นหลินที่ประวัติศาสตร์ยาวนาน คาดว่าหากมากกว่านี้คงไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่รู้ชื่อ เกรงว่าคงมีแค่ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งที่ทรยศเนรคุณอย่างซิ่วหู่ชุยฉานแล้ว
ส่วนซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธของราชวงศ์ต้าหลี นั่นก็เป็นหลังจากที่เขาเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางแล้ว ใบถงทวีปถึงเพิ่งจะได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง
ถานหรงพลันหยิบรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบกระแทกลงบนโต๊ะด้านหน้าแรงๆ “เจ้าขุนเขา ว่ามาเถอะ นอกจากเรื่องของเจ้าสำนักชุยแล้วยังมีอีกกี่เรื่องกันแน่ที่ท่านปิดบังข้า?”
เซวียไหวตีหน้าเคร่ง ฝืนข่มกลั้นไม่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา วันนี้ผู้คุมกฎถานอารมณ์ขึ้นง่ายเสียจริง
ถานหรงชี้ไปที่รายงานฉบับนั้น เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เรื่องใหญ่เทียมฟ้า ปิดบังข้าทำไม? ผู้คุมกฎอย่างข้าช่างเป็นได้สมตำแหน่งจริงๆ!”
ได้รับรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งที่มาจากคฤหาสน์เถาหยวนท่าเรือใบท้อของต้าเฉวียน นี่ยังเป็นเพราะถานหรงนั่งโดยสารเรือข้ามฟากมาเยือนภูเขาเซียนตู อาศัยว่าไหว้วานสหายถึงได้รู้เรื่องนี้
โดยทั่วไปแล้วรายงานที่จวนเซียนอักษรจงของใต้หล้าไพศาลจัดพิมพ์ล้วนค่อนข้างพิถีพิถัน ในนี้มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่มากมาย ต่อให้จะเป็นข่าวเฉพาะที่สำคัญอย่างมากบางข่าว รายงานขุนเขาสายน้ำของฝ่ายอื่นก็ไม่คิดจะยกมากล่าวถึงมากนัก เนื่องจากหากเจอกับสำนักที่พูดง่าย บางทีก็อาจหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง แต่หากเจอกับพวกที่เจ้าอารมณ์สักหน่อยก็อาจจะถูกด่าโดยตรง ถึงขั้นซักไซ้กล่าวโทษก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นอุตรกุรุทวีป เนื่องจากจำนวนครั้งที่เรื่องเล็กๆ ทำให้ศาลบรรพจารย์ไม่มั่นคง สองมือนับก็ยังนับไม่หมด
เย่อวิ๋นอวิ๋นมึนงง ยื่นมือไปกวัก คว้ารายงานฉบับนั้นมาไว้ในมือ กวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะยื่นมือไปนวดคลึงหว่างคิ้ว “ถานหรง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เรื่องพวกนี้ในรายงาน ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน หากว่าเจ้าไม่ได้เอารายงานฉบับนี้มา บางทีต่อให้เข้าร่วมงานพิธีสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วไปแล้ว ได้เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ชิงผิงไปแล้ว ข้าก็อาจจะยังถูกปิดหูปิดตาอยู่ก็เป็นได้”
เซวียไหวรู้สึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที ขอรายงานฉบับนั้นมาจากอจารย์ แล้วพลันเบิกตากว้าง สีหน้าเคร่งขรึม เส้นเอ็นหัวใจขึงตึงแน่นทันที
ถานหรงเห็นว่าสีหน้าของคนทั้งสองไม่คล้ายจะเสแสร้ง จึงกล่าวว่า “เจ้าขุนเขา วันหน้าผูซานของพวกเราไม่อาจปิดหูปิดตาไม่รับฟังข่าวสารภายนอกได้อีกแล้วนะ”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า “บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำและรายงานขุนเขาสายน้ำ วันหน้าจะมอบอำนาจให้เจ้าจัดการได้เต็มที่ ต้องการคนก็มอบคนให้ ต้องการเงินก็มอบเงินให้”
ถานหรงถามเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉินทำได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ผูซาน นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นเฉินผิงอัน ถานหรงคิดว่าตัวเองไม่ได้ดูแคลนเขาแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะยังประเมินเขาต่ำไป
เย่อวิ๋นอวิ๋นมองผู้คุมกฎบ้านตน ข้าเป็นคนไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือ เจ้าถึงมาถามข้า?
ถานหรงทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ “วีรกรรมยิ่งใหญ่ระดับนี้ คนนอกอย่างข้า เกรงว่าแค่ได้อ่านรายงาน แค่คิดจินตนาการภาพตาม จิตแห่งมรรคาก็ไม่มั่นคงแล้ว”
เซวียไหวรับรายงานมาอ่านทวนซ้ำถึงสองรอบ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจากใจจริงประโยคนี้ของผู้คุมกฎถาน
อิ่นกวานเป็นผู้นำ ลู่เฉินร่วมทางไปด้วย
หนิงเหยาบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี ฉีถิงจี้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง สิงกวานหาวซู่ เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือ
กลุ่มคนที่เป็นเช่นนี้…
การเดินทางครั้งนี้สามารถสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสองคนได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่
จับมือกันเดินทางไกล กวาดสนามรบโบราณให้ราบเรียบได้ในชั่วพริบตา ทำลายนครป๋ายฮวาที่เป็นสำนักอักษรจงได้อย่างง่ายดาย อาละวาดก่อกวนอยู่ในราชวงศ์อวิ๋นเหวิน สะบั้นนครเซียนจานที่สูงที่สุด ประลองเวทคาถากับปีศาจใหญ่เฟยเฟย กระชากลำคลองเย่ลั่ว ใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่ ย้ายดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ไปยังใต้หล้ามืดสลัว ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงมารับดวงจันทร์ดวงนี้ด้วยตัวเอง…
อย่าว่าทำทุกเรื่องพวกนี้ให้สำเร็จได้เลย นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่เซวียไหวก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่หลายส่วน
เจ็บใจที่ตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ถานหรงถามว่า “เจ้าขุนเขา หากว่าไม่พูดถึงเวทกระบี่ แค่ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเดียว เซียนกระบี่เฉินถามหมัดกับอู๋ซู ผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร?”
อันที่จริงเซวียไหวก็สงสัยใคร่รู้ในเรื่องนี้อย่างมาก ในเมื่ออาจารย์ของตนแพ้แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากพูดถึงแค่วิชาหมัด คนของใบถงทวีปที่สามารถงัดข้อกับเจ้าขุนเขาเฉินได้ก็มีแค่อริยะบู๊อู๋ซูเท่านั้นแล้ว
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางในใต้หล้าไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่ทุกๆ พันปีจะมีการแบ่ง ‘ปีใหญ่’ ‘ปีเล็ก’ ซึ่งมีความต่างชัดเจน จำนวนรวมของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมักจะมีความเปลี่ยนแปลงไม่มาก นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ที่เหลืออีกแปดทวีปเฉลี่ยกัน ทุกทวีปก็จะมีอยู่แค่ประมาณสองคน มีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นลองคำนวณจำนวนคนคร่าวๆ คำว่าปีเล็กแห่งโชคชะตาบู๊ในใต้หล้า ยามที่ทัศนียภาพไม่งดงาม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของแปดทวีปก็ไม่เคยน้อยกว่าสิบสี่คน ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่ดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเกินยี่สิบคน
ทางฝั่งของอุตรกุรุทวีป เมื่อหลายปีก่อนกู้โย่วแห่งราชวงศ์ต้าจ้วนแลกชีวิตกับเซียนกระบี่จีเยว่แห่งภูเขาวานรครวญ แล้วก็ตายดับกันไปทั้งคู่
ถ้าอย่างนั้นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธของสามทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกในทุกวันนี้ นอกจากคู่อาจารย์และศิษย์อย่างเฉินผิงอัน เผยเฉียนแล้ว ก็ยังมีซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี หลี่เอ้อแห่งยอดเขาสิงโต หวังฟู่ซู่ อริยะบู๊อู๋ซู หวงอีอวิ๋นแห่งผูซาน
เห็นได้ชัดว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นคิดคำพูดไว้ก่อนแล้ว จึงให้ข้อสรุปในใจของตัวเองออกไปอย่างไม่มีลังเล “หากแค่แบ่งระดับสูงต่ำของหมัด อู๋ซูชนะ แต่หากช่วงชิงชีวิตกัน เฉินผิงอันรอด”
ถานหรงยิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเซียนกระบี่เฉินในทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นคนของใบถงทวีปพวกเราครึ่งตัวแล้ว”
เดิมทีเซวียไหวอยากจะเอ่ยคล้อยตาม คิดไม่ถึงว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นจะกล่าวอย่างมีโทสะขึ้นมาเสียก่อน “มียางอายหน่อย!”
เซวียไหวจึงรีบพยักหน้าทันที “ไม่เหมาะเท่าไรจริงๆ ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะยินดีรับคำกล่าวนี้ อีกอย่างหากคำกล่าวนี้แพร่ออกไป อันที่จริงใบถงทวีปของพวกเราก็ต้องขายหน้าหมดสิ้น”
ภูเขาลั่วพั่วแค่เลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ใบถงทวีป เฉินผิงอันที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องบน สำมะโนครัวล่างภูเขาและทำเนียบบนภูเขาล้วนยังอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป
ถานหรงเหลือบตามองเซวียไหวที่เปลี่ยนฝ่ายกะหันหัน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หญ้าบนยอดกำแพง ไหวเอนไปตามแรงลม”
แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นกำลังก้มหน้าก้มตาเรียบเรียงตำราพิชัยยุทธเล่มหนึ่งอยู่บนโต๊ะ นอกจากจะสรุปรวมผลได้ผลเสียจากสงครามน้อยใหญ่ชั่วชีวิตและบันทึกการฝึกทหารแล้ว ยังต้องจัดระเบียบกลยุทธทางการสู้รบของแม่ทัพบู๊แต่ละรุ่นของสกุลเหยากองทัพชายแดนด้วย
ผู้เฒ่าอยู่บนหลังม้ามาชั่วชีวิต จะดีจะชั่วก็ควรทิ้งอะไรไว้ให้ราชวงศ์ต้าเฉวียนบ้าง
เรือนหลังนี้น่าจะเป็นเรือนเพียงหนึ่งเดียวบนยอดเขามี่เซวี่ยที่ใช้เวทลับ ‘มังกรดิน’ บนภูเขา อากาศจึงอบอุ่น ประหนึ่งแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ
เป็นเหตุให้อยู่ในห้องไม่ต้องใช้กระถางไฟ ไม่จำเป็นต้องสวมผ้าฝ้ายบุนวมตัวหนาหรือสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก
——