กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 924.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สี่)
เหยาเซียนจือผลักประตูเดินเข้าไป เดินกะเผลกๆ ไปนั่งลงข้างโต๊ะ ใต้เท้าเจ้าเมืองเพิ่งจะได้รับรายงานฉบับหนึ่งที่มาจากนครเซิ่นจิ่งจึงวางรายงานฉบับนั้นลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านปู่ ราชวงศ์สกุลอวี๋แห่งนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ทุกวันนี้ฮ่องเต้ผู้เฒ่ายังไม่ทันจากไป ทางฝั่งของกรมพิธีการก็เริ่มลงมือทำเรื่องหนึ่งอย่างลับๆ แล้ว รอแค่ให้รัชทายาทอวี๋หลินโหยวขึ้นครองราชย์ก็จะเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นรัชศกเสินหลง (มังกรเทพ) ทันที ดูเหมือนว่าจะเป็นผลลัพธ์จากการที่หลวี่ปี้หลงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของอารามจีชุ่ยปรึกษากับกองโหราศาสตร์ ไม่เสียแรงที่เป็นราชวงศ์สกุลอวี๋ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนครมังกรเฒ่า ดีดลูกคิดกันเก่งมากเลย”
แม่ทัพผู้เฒ่าหัวเราะ “ไม่ถือว่าเป็นการเยินยอผู้ไร้อำนาจในวงการขุนนาง กลัวก็แต่ว่าจะเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นนึกอยากแสดงฝีมือแต่กลับเป็นการปล่อยไก่”
สุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาที่มารับหน้าที่ใหม่คือหวังจูมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลก ราชวงศ์สกุลอวี๋ใช้ชื่อรัชศกอย่าง ‘เสินหลง’ นี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการแสดงความเป็นมิตรอย่างไม่มีปิดบัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตบินทะยานแห่งแจกันสมบัติทวีปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวตระการตาน่าสนใจผู้นั้นจะยอมรับไมตรีในส่วนนี้หรือไม่
ผู้เฒ่าหยิบรายงานขึ้นมา กวาดตามองอยู่สองสามทีก็ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกวันนี้รัชทายาทของสกุลอวี๋ผู้นั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว มีหวงซานโซ่วที่เป็นแม่ทัพใหญ่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ในเมืองหลวงก็มีอารามจีชุ่ย บนภูเขายังมีพรรคชิงจ้วน อีกทั้งยังตีสนิทกับนครมังกรเฒ่าทางเหนือได้ รอให้เปลี่ยนจักรพรรดิพระองค์ใหม่ กองกำลังแคว้นพัฒนารุ่งโรจน์ขึ้นก็จะเป็นเรื่องที่แนวโน้มสถานการณ์พาไปแล้ว”
เหยาเซียนจือเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่ามีความรู้สึกที่ไม่ดีนักต่ออารามจีชุ่ยและพรรคชิงจ้วน พอสงครามเกิดขึ้น พวกเขาก็เผ่นหนีกันเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก อาศัยวิชาเต่าหดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
ผู้เฒ่าพับรายงานฉบับนั้นกลับไว้ดังเดิมแล้วมอบให้หลานชาย เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าได้ดูแคลนคนที่ไม่เห็นศักดิ์ศรีหน้าตาสำคัญแม้แต่น้อยพวกนี้ หนึ่งเพราะการมีเรื่องกับพวกเขาง่ายมากที่จะทำให้เสียเรื่อง อีกอย่างเจ้าก็จำต้องยอมรับว่าหลายๆ เรื่องก็มีเพียงคนถ่อยและวิญญูชนจอมปลอมเท่านั้นที่ทำสำเร็จได้ วิญญูชนผู้เที่ยงตรงกลับกลายเป็นว่ามิอาจทำได้”
เห็นว่าเหยาเซียนจือไม่เห็นเป็นสำคัญแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าก็ถอนหายใจ “สิ่งที่ทำลายบทความคุณธรรมได้มิใช่บทความคุณธรรมที่ดีกว่า แต่เป็นเกร็ดประวัติพงศาวดารต่ำช้าที่เป็นการตามลมไล่จับเงา ส่วนใหญ่แล้วเลือดเนื้อและจิตใจของนักประพันธ์ที่เขียนได้ยาวหลายแสนตัวอักษรไม่มักจะมิอาจต้านทานนิยายรักใคร่ที่มีความยาวแค่ไม่กี่ร้อยตัวอักษรของโลกยุคหลังได้เสมอ”
สีหน้าของเหยาเซียนจือกลัดกลุ้ม เพราะไพล่นึกไปถึงฮ่องเต้ นิยายรักประโลมโลกหลายเล่มฉบับชาวบ้านจัดพิมพ์เป็นการส่วนตัว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสั่งห้ามไม่ได้ โชคดีที่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ‘บรรยากาศคึกคัก’ ของก่อนหน้านี้ที่ปัญญาชนแทบจะมีในครอบครองกันคนละเล่ม หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไปก็ถือว่าเพลาๆ ลงกันมากแล้ว ต้องรู้ว่าปีนั้นช่วงเวลาที่เกินกว่าเหตุมากที่สุดคือแม้แต่ขุนนางบุ๋นที่ทำงานอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ยังอ่านหนังสือพวกนี้ แค่เปลี่ยนปกหนังสือเท่านั้น
เหยาเจิ้นยิ้มเอ่ย “วงการขุนนางไม่เหมือนการศึกษาวิชาความรู้ จะใช้วิญญูชนกับคนถ่อยอย่างไรคือความรู้ที่ใหญ่มากเรื่องหนึ่ง ใช้คนได้ดีที่สุดก็ถูกเรียกขานว่า ‘บรรลุถึงขั้นสุดยอด’ บางทีก็น่าจะหมายถึงศิษย์พี่ใหญ่คนนั้นของเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเอาแต่คิดว่าขุนนางบุ๋นบู๊ต้าหลีต่างก็เป็นผู้เที่ยงตรง เป็นผู้รอบรู้ที่ไร้ความเห็นแก่ตัว เป็นขุนนางที่มากความสามารถมาตั้งแต่เกิดก็คงไม่ได้กระมัง?”
เหยาเซียนจือนวดคลึงปลายคาง “หากว่าข้าสามารถเป็นเหมือนอาจารย์เฉินที่มีศิษย์พี่ที่คิดอ่านรอบคอบเช่นนี้ จุ๊ๆ”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เจ้าน่ะยืนพูดไม่ปวดเอว อันที่จริงการมีศิษย์พี่ที่เป็นเช่นนี้จะมีแรงกดดันมาก ไม่ต้องพูดถึงว่ามีศิษย์พี่อย่างซิ่วหู่อะไรแล้ว เหมือนอย่างสวนลมฟ้าของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากหลิวป้าเฉียวไม่มีศิษย์พี่อย่างหวงเหอ ไม่แน่ว่าทุกวันนี้เขาอาจเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบไปแล้ว พอหลี่ถวนจิ่งจากไป แล้วเขารับช่วงต่อเป็นเจ้าสวน ก็ไม่มีเวลาให้เขาได้พักหายใจหายคอแล้ว มิอาจเกียจคร้านในการฝึกกระบี่แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็เพราะว่ามีหวงเหอ หลิวป้าเฉียวถึงได้ไม่มีความคิดจิตใจที่จะรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญโดยไม่กลัวอุปสรรคใดๆ ข้าเชื่อว่าการที่หวงเหอเดินทางไปเยือนสนามรบของเปลี่ยวร้าง นอกจากจะเพราะตัวเองอยากไปฝึกกระบี่ที่นั่นจริงๆ แล้วก็เพื่อต้องการมอบแรงกดดันให้กับหลิวป้าเฉียวด้วยส่วนหนึ่ง”
ตระกูลแห่งหนึ่ง พรรคแห่งหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อคนคนหนึ่งโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป คนอื่นๆ ที่เหลือย่อมหม่นแสงลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนข้างๆ หากไม่เกิดความเฉื่อยชาเอาแต่นอนอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ ก็ง่ายที่จะปลุกกำลังใจความกล้าขึ้นมาได้อีก
ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเหยาของพวกเขา ไยจะไม่ใช่หลักการเหตุผลเดียวกันนี้
เหยาเซียนจือถามหยั่งเชิง “ท่านปู่ ท่านจะไม่เกลี้ยกล่อมอาจารย์เฉินอีกสักหน่อยจริงๆ หรือ?”
หากว่าท่านปู่ตัดสินใจเด็ดขาด พยายามเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์เฉินมารับหน้าที่เป็นราชครูของราชวงศ์ต้าเฉวียนอย่างเต็มที่ ไม่กล้าพูดว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน แต่สุดท้ายก็ยังพอจะมีความหวังอยู่หลายส่วน
ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “แก่แต่ไม่ยอมตายก็คือโจร อาศัยว่าเป็นผู้อาวุโสมาบังคับคนอื่นก็ยิ่งน่ารังเกียจ ทำเรื่องที่งดงามเอาไว้ให้มาก ทำเรื่องที่คนอื่นลำบากใจให้น้อย”
เหยาเซียนจือรู้ว่าท่านปู่ตัดสินใจดีแล้วจึงไม่พูดอะไรมากอีก
คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะยิ้มเอ่ยมาว่า “อีกอย่างจะต้องการชื่อเสียงจอมปลอมไปเพื่ออะไร หากว่าต้าเฉวียนเจอกับด่านยากอะไรจริงๆ ยังจะต้องให้เจ้าเป็นคนไปบอกกล่าวกับภูเขาเซียนตูหรือ? ข้าว่าไม่จำเป็นต้องทำเลยด้วยซ้ำ”
เหยาเซียนจือทอดถอนใจเอ่ยชมเชย “ยังคงเป็นขิงที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด”
ผู้เฒ่าหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษรอีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ชีวิตคนมีรสชาตินับร้อย จะขาดเกลือไม่ได้ ขาดเผ็ดก็ไม่ชอบใจ”
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเขียนถึงเรื่องของการคัดเลือกแม่ทัพบู๊ พอคุยเล่นกับหลานชายก็อดนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ จึงเขียนลงไปว่า ‘แข็งแกร่งแต่ไม่ระเริงตน’
ผู้เฒ่าเพียงแค่เขียนตัวอักษรอีกไม่กี่ตัวก็วางพู่กันลง หันไปมองนอกหน้าต่าง
ลิขิตฟ้าช่างสำคัญ จักรพรรดิมากความสามารถจึงจะปกครองบ้านเมืองได้ดี ทั่วทั้งแคว้นอยู่ในสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่สุด ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ใต้หล้าสงบสุข
บางทีคงจะมีหลักการเหตุผลอยู่สี่ห้าข้อที่เมื่อหมื่นปีก่อนเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น และอีกหมื่นปีให้หลังก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม
หวงถิงสวมกวานดอกพุดตานบนศีรษะ สะพายกระบี่ยาว ยืนพิงรั้วมองไกลไปยังท่าเรือที่ถูกสร้างใหม่นอกภูเขา
ข้างกายมีสหายฟู่ซานที่เป็นเถ้าแก่ร้านลำคลองเฮยเซี่ยนยืนอยู่ด้วย
อวี๋ฟู่ซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ยิ้มเอ่ย “ภูเขาเซียนตูแห่งนี้ มองดูแล้วกิจการบ้านเรือนก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไรเลยนะ”
มีภูเขาเซียนตูแค่ลูกเดียว แม้จะบอกว่ามียอดเขาอยู่อีกหลายแห่ง เหมาะแก่การฝึกตน น่าจะมากพอที่จะประคับประคองให้ผู้ฝึกตนเซียนดินห้าหกคนบุกเบิกจวนและสถานที่ประกอบพิธีกรรมได้ แต่สำหรับสำนักแห่งหนึ่งแล้ว นี่ยังดูว่าภูเขาสายน้ำแร้นแค้นยากจนอยู่บ้าง
หวงถิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย จึงปล่อยความคิดให้เหม่อลอยไป
อวี๋ฟู่ซานถามว่า “แม่นางหวง เจ้าคนที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับพวกเรา มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงสามารถทำให้ท่านมารับหน้าที่เป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งได้?”
คนที่สวมชุดกันฝนเข้ามาหลบฝนในร้านท่าทางลึกลับผู้นั้น อวี๋ฟู่ซานมองตบะตื้นลึกของอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ จึงต้องป้องกันโจรไว้ก่อน
เขากังวลว่าระหว่างเจ้าหมอนี่กับแม่นางหวงที่ตัวเองรักใคร่ถูกใจที่สุดจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
คือศัตรูตัวฉกาจ
อวี๋ฟู่ซานรู้ว่าหวงถิงเคยไปเยือนใต้หล้าห้าสีมาแล้วรอบหนึ่ง ทุกวันนี้นางเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้เรื่องของการสร้างภูเขาไท่ผิงขึ้นมาใหม่ ต้องเรียกว่าอวี๋ฟู่ซานนั้นพึงพอใจอย่างมาก ได้ป้ายหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงแผ่นหนึ่งมาครอง ต่อให้ตนต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ยอม เขายินดีอย่างยิ่ง จะไม่ขมวดคิ้วเลยสักครั้ง
ในฐานะปลาแบกภูเขาของยุคบรรพกาล ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิด แนวทางการฝึกตนของเขากับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปต่างกันอย่างมาก น่าเสียดายที่เรื่องของการเดินลงน้ำกลายเป็นมังกรมีธรณีประตูสูงเกินไป เมื่อก่อนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะสาเหตุจากชาติกำเนิดบนมหามรรคา หากเดินลงน้ำก็จำเป็นต้องเดิน ‘แบกภูเขา’ ไปด้วย และยิ่งระดับขั้นของภูเขาสูงเท่าไรก็ยิ่งดี นี่จะเกี่ยวพันไปถึงการช่วงชิงแห่งภูเขาสายน้ำที่อันตรายอย่างมากครั้งหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเดินลงน้ำในอนาคตจะต้องก่อให้เกิดคลื่นมรสุมบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ว่าการเดินลงน้ำหนึ่งครั้งแล้วจะต้องสำเร็จเสมอไป ก็เหมือนอย่างภูตปลาไหลของลำคลองม่ายเหอต้าเฉวียนในอดีตที่ก็ไม่ใช่ว่าถูกเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกหรือ?
ดังนั้นผู้ฝึกตนที่เป็นเผ่าพันธุ์ภูตห้าขอบเขตบนในใต้หล้าไพศาลจึงมีทางเลือกไม่มาก หนึ่งคือเหมือนอย่างบรรพจารย์ย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงที่รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของจวนเซียน หรือไม่ก็สวามิภักดิ์กับตระกูลสูงศักดิ์อย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ได้รับสถานะบนทำเนียบมา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ทำเหมือนถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยที่จำต้องออกห่างจากภูเขาห้อยหัว มาหาสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่สงบมั่นคงแห่งใหม่ ดังนั้นการวางแผนแรกเริ่มสุดของอวี๋ฟู่ซานก็คือไปเยือนธวัลทวีปรอบหนึ่ง ไปหาเหวยเซ่อผู้นั้น ดูว่าจะสามารถได้รับความโปรดปรานจากเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งผู้นี้จนกลายเป็นเจ้าแห่งยอดเขาแห่งหนึ่งได้หรือไม่ เหวยเซ่อมีอีกฉายาว่า ‘เจ้าของสามสิบเจ็ดยอดเขา’ ภูเขาหลายลูกที่มียอดเขาเลี่ยนรื่อ ภูเขาไป้เยว่เป็นหนึ่งในนั้นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งไพศาลนานแล้ว ต่างก็เป็นพวกเผ่าพันธุ์ภูตที่ฝึกตนอยู่ด้านใน
หวงถิงเองก็ไม่ถือสาอุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่อวี๋ฟู่ซานอาศัยคำพูดมาเอาเปรียบผู้อื่น เพียงแค่เอ่ยเตือนว่า “อยู่ที่ภูเขาเซียนตูแห่งนี้ จำไว้ว่าต้องเก็บอารมณ์ให้ดี ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ อย่าได้ไม่เห็นขอบเขตเป็นสำคัญมากเกินไป”
อวี๋ฟู่ซานเอ่ยหยอกล้อ “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่มีประสบการณ์โชกโชน บวกกับรากฐานมหามรรคาส่วนนี้ อยู่ในภูเขาเซียนตูลูกนี้ยังจะเดินกร่างไม่ได้อีกหรือ?”
หวงถิงกลั้นขำ “ขอบเขตก่อกำเนิดร้ายกาจมากนักหรือ?”
เดินกร่าง? หากไม่ทันระวังก็ต้องนอนเดินแล้ว
อันที่จริงอวี๋ฟู่ซานไม่ได้เห็นขอบเขตของตัวเองยิ่งใหญ่อะไรนัก แค่อยากจะชวนแม่นางหวงคุยเล่นหลายๆ ประโยคจึงหาเรื่องมาชวนคุยต่อ “หรือว่าในภูเขาเซียนตูแห่งนี้ซ่อนยอดฝีมือนอกโลกบางท่านเอาไว้?”
หางตาของอวี๋ฟู่ซานลอบประเมินรอยยิ้มของสาวงาม งดงามจริงๆ
งามล่มบ้านล่มเมือง จะโทษที่ข้าทุ่มเทความรักให้ไม่ได้เลยจริงๆ
น่าเสียดายที่แม่นางหวงได้ใจของตนไป แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องได้ร่างกายของตน
เห็นว่าห่างไปไกลมีเงาร่างสายหนึ่งทะยานลมหวนกลับมายังยอดเขามี่เซวี่ย คือผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มีนามว่ากั่วหราน
หวงถิงจึงถามว่า “เจ้าคงเคยได้ยินชื่อภูเขาต้นไม้เหล็กมาก่อนกระมัง?”
อวี๋ฟู่ซานหลุดหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “ต่อให้ข้าเป็นคนหูหนวกคนหนึ่งก็ต้องเคยได้ยินชื่อภูเขาต้นไม้เหล็กมาก่อนอยู่แล้ว”
หากจะบอกว่าการไปสวามิภักดิ์กับเหวยเซ่อคือทางเลือกที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นสำหรับผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากภูตอย่างพวกเขาแล้ว ภูเขาต้นไม้เหล็กของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่อมใสใฝ่หา
กวอโอ่วทิงผู้เป็นเจ้าสำนักมีฉายาว่า ‘โยวหมิง’ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานท่านนี้ ได้ยินมาว่าเคยใช้ดาบหนึ่งฟันเปิดเส้นทางน้ำพุเหลือง ต่อให้มืดและสว่างมีความแตกต่าง แต่กระนั้นก็ยังสังหารเซียนผีตนหนึ่งบนเส้นทางสู่เมืองยมบาลได้สำเร็จ อีกทั้งยังถอนตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย พลังการสู้รบของกวอโอ่วถิงสูงส่ง พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ขอบเขตบินทะยานเฒ่าอย่างพวกหนันกวงจ้าวจะเปรียบเทียบได้แน่นอน ฮว่อหลงเจินเหรินเคยยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า โชคดีที่เหนือเซียนเหริน ล่างสิบสี่มีแค่ขอบเขตเดียวเท่านั้น
น่าเสียดายที่ใบถงทวีปในอดีตปิดกั้นการข่าวบนภูเขามากเกินไป เกี่ยวกับเรื่องราวและคนมหัศจรรย์ของภูเขาต้นไม้เหล็กแผ่นดินกลาง เปิดกลับไปกลับมาก็มีแค่ปฏิทินเหลืองไม่กี่หน้าเท่านั้น
อวี๋ฟู่ซานเป็นแค่เถ้าแก่ของร้านค้าแห่งหนึ่งที่ท่าเรือตระกูลเซียน เดิมทีก็ไปอยู่เพื่อหลบภัย ไม่ถือว่าเป็นการซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านร้านตลาดอะไรได้ด้วยซ้ำ
ใต้หล้านี้มีสถานที่อยู่สองแห่งที่ในอนาคตต้องไปเยือนให้ได้
นอกจากภูเขาต้นไม้เหล็กที่ ‘บุปผามิอาจเบ่งบาน’ แล้ว ก็มีนครจักรพรรดิขาวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสี
หวงถิงถามต่ออีกว่า “แม่นางน้อยที่ชื่อว่าถานอิ๋งโจวผู้นั้น เจ้าได้พบหน้านางแล้วหรือยัง?”
อวี๋ฟู่ซานพยักหน้า “เคยเจออยู่หลายครั้ง ข้างกายแม่นางน้อยมักจะมีเจ้าภูตน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วย ข้ายังเคยแนะนำเด็กสองคนอยู่หลายประโยคว่าอย่าได้ออกมาเดินเล่นอยู่นอกภูเขาส่งเดชเช่นนี้ ง่ายที่จะเกิดเรื่องเอาได้”
ทุกวันนี้วิถีทางโลกของใต้หล้าไพศาลสงบสุข แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากภูตอย่างพวกเขาแล้วกลับเป็นกลียุคจริงแท้แน่นอน หากขอบเขตสูงยังพูดได้ง่าย บันทึกลงเอกสารของสำนักศึกษาไว้แต่เนิ่นๆ ก็ถือว่าได้รับการนำทางและยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่ง แต่ผู้ฝึกลมปราณเผ่าปีศาจที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป โดยเฉพาะห้าขอบเขตล่าง ตอนนี้ใครบ้างที่ไม่เหมือนถูกละเลงดินเหลืองลงบนกางเกง หากไม่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝูคือเฉิงหลงโจว อีกทั้งเพียงไม่นานสถานศึกษาสามแห่งก็ได้ออกกฎที่ชัดเจนมาฉบับหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วเผ่าปีศาจในท้องถิ่นของใบถงทวีปก็ไม่ต้องสนว่าจะมีสติปัญญาหลอมเรือนกายได้แล้วหรือยัง คาดว่าคงต้องมีจุดจบอเนจอนาถอย่างที่ว่าสิบตนไม่เหลือสักตนอย่างแน่นอน
อวี๋ฟู่ซานเป็นคนที่อยู่เฉยไม่เป็น เวลาปกติชอบออกไปเดินเล่นข้างนอก จึงไปเดินเที่ยวบนภูเขาทั้งหลายอย่างชิงผิง เจ๋อเซียนและมี่เซวี่ยมาจนครบถ้วนนานแล้ว กับเด็กน้อยสองคนอย่างถานอิ๋งโจวและเจิ้งโย่วเฉียนก็ถือว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“ตามลำดับศักดิ์ทำเนียบของภูเขาต้นไม้เหล็ก แม่นางน้อยต้องเรียกกวอโอ่วทิงว่าอาจารย์ปู่”
หวงถิงช่วยเปิดเผยความลับให้กับอวี๋ฟู่ซาน “เจ้าว่าถานอิ๋งโจวมาฝึกประสบการณ์อยู่ด้านนอก ง่ายที่จะเกิดเรื่องหรือไม่?”
ง่ายที่จะเกิดเรื่องจริงๆ เพียงแต่ว่าคนที่จะเกิดเรื่องกลับเป็นพวกคนที่มาหาเรื่องแม่นางน้อย
ใบหน้าอวี๋ฟู่ซานแสดงความตกตะลึง ไม่กล้าเชื่อ “อะไรนะ?!”
นังหนูน้อยนั่นมีลำดับอาวุโสเป็นศิษย์หลานของกวอโอ่วทิงอย่างนั้นหรือ?
เพิ่งจะค้นพบว่า ที่แท้ตนเองก็อยู่ใกล้กับภูเขาต้นไม้เหล็กถึงเพียงนี้?
หวงถิงพยักหน้า “อาจารย์ของถานอิ๋งโจว หรือก็คือ ‘กั่วหราน’ ที่เจ้าบอกว่าตั้งชื่อได้ไม่ดีผู้นั้น อันที่จริงคือลูกศิษย์คนเล็กของกวอโอ่วทิง ไม่ได้มีขอบเขตเซียนดินอย่างที่เจ้าเข้าใจผิดไป แต่เป็นเซียนเหรินตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง เคยร่วมมือกับเซียนกระบี่เฉาซีปกป้องหอสยบสมุทรที่ทักษินาตยทวีปมาก่อน สร้างคุณูปการทางการสู้รบไม่น้อยไว้ที่ศาลบุ๋น ส่วนเรื่องพลังพิฆาต เอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย แค่นิ้วเดียวของเขาก็สามารถบดขยี้ก่อกำเนิดคนหนึ่งให้ตายได้ ไม่มีความยากเลยแม้แต่น้อย”
อวี๋ฟู่ซานกลืนน้ำลายลงคอ
รีบทบทวนความทรงจำอย่างละเอียด ดูว่าตัวเองมีการกระทำและคำพูดที่ไม่เหมาะสมอะไรหรือไม่ โชคดีที่ไม่ได้กอดคอพูดคุยกับพี่กั่วหรานที่มีฉายาว่า ‘หลงเหมิน’ ผู้นั้น
หวงถิงถาม “ลูกศิษย์ปิดสำนักของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”
อวี๋ฟู่ซานพลันรู้สึกอิจฉาอย่างหนัก “ดูเหมือนจะเป็นลูกรักแห่งสวรรค์คนหนึ่ง คนวิกลจริตกู้ช่าน ว่ากันว่ามาจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เจิ้งได้อย่างไร ช่างมีโชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ”
อวี๋ฟู่ซานไม่กล้าทำเหมือนหวงถิงที่เรียกคำแล้วคำเล่าว่ากวอโอ่วทิง เจิ้งจวีจงหรอกนะ แล้วเขาก็ไม่มีนิสัยใจคออย่างหวงถิงด้วย
ไม่โทษที่ตัวเองขี้ขลาด เพราะว่าตนไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่นี่นะ
รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินคำพูดจากหวงถิง อวี๋ฟู่ซานจึงได้แต่ถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วอย่างไรต่อ?”
หวงถิงไม่มีทางพูดถึงกู้ช่านขึ้นมาเฉยๆ หรือว่าเจ้าภูตน้อยที่มีชื่อว่าเจิ้งโย่วเฉียนผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนครจักรพรรดิขาวด้วย?
ดวงตาอวี๋ฟู่ซานเป็นประกายวาบ ยื่นมือออกมาขัดคำพูดของหวงถิง ถามเองตอบเองว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ภูตน้อยตนนี้คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายหอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาว?”
ต้องใช่แน่เลย!
อาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวมีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่งชื่อว่าหลิ่วเต้าฉุน คือเจ้าหอแก้วใสที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า และหลิ่วเต้าฉุนก็มีชาติกำเนิดจากภูต ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก
อย่างตนนี่ถือว่ายกตัวอย่างเพียงเรื่องเดียวก็อนุมานไปได้หลายเรื่องใช่หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนของไพศาล ชื่อเสียงยิ่งใหญ่พอหรือไม่ก็จะมีวิธีประหลาดบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้
ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนที่กู้ชิงซงเคยด่ามาก่อน หลิ่วเต้าฉุนเคยหาเรื่องมาก่อน ใบถงทวีปเคยได้ยินมาก่อน เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มาก่อน เคยมีชื่ออยู่บนผนังบังตาบางแห่งในเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัวมาก่อน
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าไปมีเรื่องด้วย กู้ชิงซงด่าได้ หลิ่วเต้าฉุนกล้ามีเรื่องด้วย นอกจากที่มรรคกถาและคุณสมบัติของทั้งสองฝ่ายจะไม่เลวแล้ว พวกเขาแต่ละคนยังมีเหตุผลบางอย่างที่คนอื่นอิจฉาก็อิจฉาไม่ได้อยู่ด้วย
——