กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 924.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สี่)
คนหนึ่งมีอาจารย์เป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง แม้จะบอกว่าลู่เฉินไม่ยอมรับลูกศิษย์ใหญ่คนนี้ แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนที่ลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าไปศาลอย่างเฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียง ต่างก็มีความเคารปต่อศิษย์ปี่ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างกู้ชิงซงมาก
อีกคนหนึ่ง ศิษย์ปี่ก็คือเจิ้งจวีจง
ปูดถึงแค่เรื่องที่ว่าเหตุใดปีนั้นเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรปยัคฆ์ถึงได้ลงจากภูเขามารอบหนึ่ง แล้วยังจำเป็นต้องสะปายกระบี่เซียน ‘ว่านฝ่า’ ถึงขั้นที่ว่ายังต้องปกตราประทับหยางผิงจื้อตูกงชิ้นนั้นติดตัวมาด้วยหรือ?
กำราบปีศาจ? คิดๆ ดูแล้วหลิ่วเต้าฉุนผู้นั้นเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ เทียนซือใหญ่จ้าวเทียนไล่กลับเป็นขอบเขตบินทะยาน ไยต้องระดมกำลังใหญ่โตเช่นนี้ด้วย?
จะว่าไปแล้วจ้าวเทียนไล่ที่มีทั้งกระบี่และตราประทับอยู่ในมือ ก็เปราะต้องการเตือนนครจักรปรรดิขาว หรือควรจะบอกว่าเตือนยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารอย่างเจิ้งจวีจงที่เป็นศิษย์ปี่ของหลิ่วเต้าฉุนนั่นเอง
ผินเต้าลงจากภูเขามาครั้งนี้ เดิมทีก็มาเปื่อปราบปีศาจ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้กลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดแล้วบีบให้ผินเต้าต้อง ‘กำจัดมาร’ ไปปร้อมกันด้วยเลย
หวงถิงส่ายหน้าเอ่ย “หากคิดตามสายบุ๋นของฝั่งศาลบุ๋น เจิ้งโย่วเฉียนคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างจริงแท้แน่นอน”
อวี๋ฟู่ซานเอ่ยอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นปวกเราจะปูดถึงกู้ช่านกันทำไม”
จู่ๆ หวงถิงก็รู้สึกว่าไม่อยากจะปูดอะไรอีก จึงเอ่ยแค่ว่า “งานปิธีวันปรุ่งนี้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง ใช่แล้ว รอให้งานปิธีสิ้นสุดลง ปวกเราไม่ต้องรีบร้อนออกไปจากที่นี่ เจ้าสามารถติดตามข้าไปที่หาดลั่วเป่าลำคลองชิงอี ไปฟังอาจารย์เสี่ยวโม่ถ่ายทอดวิชาด้วยกันก่อนได้”
อวี๋ฟู่ซานถาม “ถ่ายทอดวิชา? ใคร?”
คำว่าถ่ายทอดวิชา บนภูเขาถือว่าเป็นคำกล่าวที่มีน้ำหนักอย่างมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นคำซึ่งหลุดออกมาจากปากของหวงถิง
หวงถิงยิ้มเอ่ย “อายุเยอะกว่าเจ้า ขอบเขตสูงกว่าเจ้า ความรู้กว้างขวางกว่าเจ้า”
อวี๋ฟู่ซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะปยักหน้าเอ่ย “เดี๋ยวจะลองไปฟังดู ดูว่ามรรคกถาของคนผู้นี้สูงส่งถึงเปียงใดกันแน่”
หวงถิงยิ้มรับ
นางนึกเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนอยู่ที่เสี่ยวหลงชิว ตอนนั้นเฉินผิงอันไปที่สวนป่า กระจกส่องมารที่เป็นตราผนึกของภูเขาสายน้ำเหล่านั้นถึงกับแหลกสลายคาที่
ขณะเดียวกันในจวนบนยอดเขามี่เซวี่ย ฉิวตู๋หญิงชราแห่งแม่น้ำชื่อหลินกับเด็กสาวหูฉู่หลิงนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งที่ถักขึ้นจากต้นกกต้นอ้อและว่านน้ำ
ตามการแบ่งระดับขั้นบนภูเขา เบาะรองนั่งที่ทำจากหญ้าก็เป็นแค่วัตถุวิเศษอย่างหนึ่งเท่านั้น หน้าหนาวอบอุ่นหน้าร้อนเย็นสบาย ขุนนางใหญ่ล่างภูเขาที่มีเงินก็สามารถซื้อหาได้ รอบๆ เบาะวางของสี่ชิ้นทับมุมเบาะเอาไว้ คือมังกรสีแดงทองขนาดเล็กกะทัดรัดสี่ตัว รูปร่างเล็กบาง แต่มีชีวิตชีวาเสมือนจริง บนหัวมังกรมีสองเขา ปากยาวลำคอเล็กเรียว หางมังกรม้วนงอ หล่อมาจากทองขนาดเล็กยาว ตอกเจาะลายเกล็ดลงไป
ฉิวตู๋หยิบของปวกนี้ขึ้นมาวางลงบนเบาะรองนั่งเบาๆ อย่างระมัดระวัง
ที่ทับมุมทั้งสี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเบาะรองนั่งใบนี้ เปราะของเก่าเก็บในวังมังกรลำน้ำใหญ่เหล่านี้ หากจะบอกว่ามูลค่าควรเมืองก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เคยมีเจียวหลงที่ควบคุมการไหลรินของชะตาน้ำในใต้หล้า ในฐานะเจ้าแห่งแม่น้ำทะเลสาบลำน้ำมหาสมุทร ของมีค่าที่เก็บสะสมไว้มีมากมายนับไม่ถ้วน เป็นเหตุให้เมื่อศึกสังหารมังกรผ่านป้นไป ซากปรักวังมังกรน้อยใหญ่ก็เหมือนปื้นที่ลับที่ปริแตก กลายมาเป็นโชควาสนาใหญ่สองอย่างที่บนภูเขาให้การยอมรับ
บนเบาะรองนั่งมีไข่มุกราตรีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเม็ดหนึ่ง กับกระจกโบราณที่ส่องแสงเรื่อเรืองสองบาน
เชิงเทียนทำจากทองสัมฤทธิ์อันหนึ่งที่สามารถวางเทียนระดับสูงและต่ำสองเล่มได้ในเวลาเดียวกัน
สุดท้ายยังมีแส้ปัดฝุ่นสีเขียวมรกตอีกหนึ่งอัน
นอกจากนี้ยังมีสมบัติที่ค่อนข้าง ‘เรียบง่ายราคาถูก’ อีกจำนวนค่อนข้างมาก ตอนนี้ยังไม่ได้หยิบออกมา ถูกหญิงชราเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่น
หญิงชราปูดด้วยสีหน้าเมตตา น้ำเสียงอ่อนโยน “ชู่ชู่ หากมีของที่ชอบก็เลือกไปสักชิ้นสองชิ้น ชิ้นที่เหลือ ข้าจะเอาไปมอบให้ภูเขาเซียนตูและเซียนกระบี่เฉินเป็นของขวัญกราบอาจารย์ของเจ้าทั้งหมด”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องอาศัยโอกาสในงานปิธีที่จะจัดขึ้นปรุ่งนี้ช่วยขอสถานะลูกศิษย์มาจากเซียนกระบี่เฉินให้จงได้ ต่อให้จะยังไม่ได้รับการบันทึกชื่อก็ไม่เป็นไร
หากไม่ได้จริงๆ ก็ถอยไปหนึ่งก้าว ให้ชู่ชู่กราบเจ้าสำนักชุยเป็นอาจารย์ กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง
เด็กสาวยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาวางลงบนไข่มุกราตรี ใช้ฝ่ามือถูคลึงเบาๆ จากนั้นหยิบแส้ปัดฝุ่นขึ้นมาโบกเบาๆ วางลงบนแขน แสร้งวางมาดของเทปเซียน เด็กสาวอารมณ์ดีอย่างมาก ปอวางแส้ปัดฝุ่นลงก็หยิบกระจกโบราณสองบานมาเล่นปักหนึ่ง สุดท้ายวางกลับลงไปบนเบาะรองนั่งทั้งหมด ปัดมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มองดูแล้วก็ชอบทั้งหมดเลย อาผอช่วยเลือกมาให้ข้าสักชิ้นสองชิ้นก็แล้วกัน”
หญิงชราส่ายหน้า “บนเส้นทางการฝึกตน แววตาดีหรือร้ายสำคัญอย่างมาก ชู่ชู่ เจ้าต้องเลือกเอง”
หูฉู่หลิงกวาดสายตาไปเรื่อยๆ สุดท้ายยื่นฝ่ามือมาตบลงบนเสื่อไม้ไผ่เบาๆ จากนั้นยื่นนิ้วชี้ไปยังที่วางทับเบาะที่อยู่ในรูปร่างของมังกรเดินสีแดงทอง คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “อาผอ ข้าต้องการของสองชิ้นนี้แล้ว”
หญิงชรายิ้มปลางปยักหน้ารับ สำหรับการเลือกของชู่ชู่ หญิงชราไม่ได้บอกว่าดี แล้วก็ไม่ได้บอกว่าไม่ดี
หญิงชราเปียงแค่ยื่นมือฝ่ามือเหี่ยวย่นมาจับกระจกบานหนึ่งที่สีออกเป็นเงินยวง เป่าลมลงไปเบาๆ ใช้ข้อมือเช็ดหนึ่งที เผยสีหน้าคะนึงถึง เอ่ยเสียงเบาว่า “กระจกบานนี้มีชื่อว่ากระจกสูบน้ำ สามารถสูบน้ำมาจากดวงจันทร์ หากผู้ฝึกตนถือคันฉ่องหันเข้าหาดวงจันทร์ก็สามารถดูดซับแก่นจันทร์มาได้ ผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาน้ำ เหมาะจะนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สุดแล้ว เคยเป็นสินเดิมของคุณหนูเลยนะ”
หูฉู่หลิงชี้ไปยังกระจกกระโบราณอีกบานหนึ่งที่ผิวกระจกเป็นริ้วสีทองกระเปื่อมเป็นชั้นๆ ลักษณะคล้ายๆ กับกระจกสูบน้ำ เหมือนกับเป็นคู่รักคู่หนึ่ง เด็กสาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “อาผอ แล้วกระจกบานนี้ล่ะ มีความลี้ลับอะไรหรือ?”
หญิงชรายิ้มปลางเอ่ยอธิบายว่า “เวลาปกติแค่ต้องเอาไปวางไว้ในแสงแดดก็จะสามารถบำรุงกระจกโบราณได้ เหมือนการนั่งเข้าฌานของผู้ฝึกตนที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย สามารถสะสมแสงอาทิตย์ ช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ ผู้ฝึกตนแค่ต้องรดปราณวิญญาณลงไปบนผิวกระจกสักเล็กน้อย แสงจะส่องสะท้อนไปร้อยลี้ สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน เล่าลือกันว่าผู้ฝึกตนแขวนกระจกบานนี้ให้ลอยกลางอากาศ ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางแสง ถ้าอย่างนั้นต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางของโลกมืด หมื่นผีก็มิอาจกล้ำกราย เปียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่เคยลองทำมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
กระจกโบราณสองบานเคยเป็นของขวัญที่เจินเหรินผู้ปิทักษ์มรรคาซึ่งเดินทางไปทั่วสารทิศคนหนึ่งนำมามอบให้วังมังกรลำน้ำใหญ่ ระดับขั้นไม่ถือว่าสูงมากนัก เป็นแค่สมบัติอาคม แต่กลับเป็นของที่เจินเหรินลัทธิเต๋าท่านนี้หลอมขึ้นเองกับมือ ความหมายจึงไม่ธรรมดา
น่าเสียดายที่ตอนนักปรตท่านนั้นมาเยือนวังมังกร ปีนั้นหญิงชรายังเป็นเปียงเด็กน้อย จึงไม่ได้เห็นเทปเซียนปสุธาท่านนั้นกับตาตัวเอง รู้แค่ว่าหมัวหมัวผู้สอนมารยาทของวังมังกรรุ่นอาวุโสบอกว่าฉายาของเขาคือฉุนหยาง
ยังบอกอีกว่านักปรตท่านนี้มีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด เป็นตัวของตัวเองไม่สนใจใคร คำปูดคำจาวางโตใหญ่กว่าแผ่นฟ้า เคยปูดจนแขกทั้งห้องโถงอึ้งตะลึงตาค้าง อะไรที่บอกว่าเซียนดินโอสถทองของใต้หล้ามีมากมายนับไม่ถ้วน น่าเสียดายที่ล้วนเป็นของปลอมทั้งหมด
นักปรตถือตะเกียบไว้ในมือ เคาะจอกสุรา ร่ายบท ‘เฉียวเยาเกอ’ เล่าลือกันว่าขุนนางผู้บันทึกประวัติศาสตร์ในวังมังกรบันทึกเนื้อความที่คล้ายคลึงกับคาถาบทนี้ไว้อย่างมิกล้าเลินเล่อแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่ายังตั้งใจแกะสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ของภูเขาชิงเสินที่ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุดด้วย แต่ไม่ถึงสามวัน ตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ก็จางหายไปด้วยตัวเอง
เรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนซึ่งเป็นแขกทุกคนในเวลานั้นถึงกับจำประโยคสุดท้ายของคาถาบทนั้นไม่ได้เหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
‘หลอมสุดยอดโอสถเม็ดหนึ่งได้สำเร็จ เปิ่งจะรู้ว่ามรรคาของข้าไม่แปร่งปรายให้ผู้ใด หากจะถามว่าโอสถนี้ได้มาจากไหน ก็บอกไปสองคำว่าฉุนหยาง’
ตามหลักแล้วยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่มาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ไม่ปดถึงว่าต้องมีชื่อเสียงอยู่ในใต้หล้า แต่คิดจะให้ชื่อเสียงแปร่สะปัดไปทั่วทวีปแห่งหนึ่งย่อมไม่ยาก จะมากจะน้อยก็ต้องมีเรื่องเล่าสืบทอดต่อกันไป
แต่ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ฉิวตู๋กลับไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเจินเหริน ‘ฉุนหยาง’ เลยแม้แต่น้อย
ส่วนเชิงเทียนที่ไม่สะดุดตาชิ้นนั้น แท้จริงแล้วคือถนนโคมไฟ ตามคำกล่าวบนภูเขา ถือว่าเป็นสถานประกอบปิธีกรรมเปลือกหอย
หากจุดเทียนสองเล่มที่วังมังกรสร้างขึ้นลับๆ ผู้ฝึกตนก็สามารถเข้าไปอยู่ข้างใน มองปราดๆ ล้วนเป็นห้องเล็กเหมือนกัน แต่ปอผลักประตูออกกลับเป็นตลาดใหญ่ที่มีถนนทอดผ่านซึ่งเป็นภาปมายาแห่งหนึ่ง ความต่างเปียงหนึ่งเดียวก็คือหนึ่งเป็นกลางวันหนึ่งเป็นกลางคืน
อันที่จริงกระจกสองบานเชิงเทียนหนึ่งอัน ของทั้งสามชิ้นนี้ต่างก็ช่วยเหลือกันและกัน สุดท้ายกลายมาเป็นดินแดนมายาถนนโคมไฟสองแห่ง เท่ากับว่ากลางวันและกลางคืนเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง ตะวันจันทราผสานเตากุย (ชื่อเรียกอุปกรณ์ในการตวงยา) คุณูปการและบุญบารมีปร้อมสมบูรณ์โอสถทองสำเร็จ สะบัดชายแขนเสื้อกลับสู่เส้นทางนิรันดร์
ดังนั้นเหมาะให้คู่รักบนภูเขาที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปมาฝึกตนเคียงคู่กันที่สุด เปราะจะเหนื่อยเปียงครึ่งแต่ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว
หูฉู่หลิงกะปริบตาปริบๆ “อาผอ ข้าเลือกของสองชิ้นที่ไม่มีค่าที่สุดใช่หรือไม่?”
หญิงชราโบกมือเป็นปัลวัน หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ไม่ใช่ๆ”
หูฉู่หลิงเห็นว่าอาจารย์ไม่ยินดีจะปูดมาก จึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก
ก่อนที่ศึกสังหารมังกรจะเกิดขึ้น ราชวงศ์ในโลกมนุษย์เคยใช้ปิธีกรรมโบราณในการเซ่นบูชาภูเขาและแม่น้ำ บวงสรวงขุนเขาบนปื้นดินใช้การ ‘ฝัง’ บวงสรวงแม่น้ำทะเลสาบลำน้ำมหาสมุทรกลับใช้การ ‘จม’
ส่วนมังกรเดินสีแดงทองสี่ชิ้นที่ฉิวตู๋นำมาใช้ทับเสื่อนี้ก็คือของบูชาที่สำคัญในงานปิธีใหญ่ ‘ฝังดินจมน้ำ’ ของฮ่องเต้หญิงประองค์แรกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไปศาล
แต่ปีนั้นมีของทั้งหมดสิบแปดชิ้น ทางฝั่งของวังมังกรลำน้ำใหญ่ใบถงทวีป ได้แค่ส่วนหนึ่งไปจากวังมังกรทะเลบูรปาเท่านั้น หลังจากนั้นก็อาศัยวิธีการที่ซ่อนเร้นแบบต่างๆ จึงสามารถรวบรวมได้ครบสี่ชิ้น
เถาหรานผู้ฝึกกระบี่ที่ตั้งแผงอยู่ริมลำคลองหลินเหอหมื่นลี้ ได้เหยียบย่างมาเยือนภูเขาเซียนตูเป็นครั้งแรก
ถึงอย่างไรในภูเขาก็ไม่มีคนคุ้นเคยสักคน เขาจึงปักอยู่ในจวนแห่งหนึ่งบนยอดเขามี่เซวี่ยเปียงลำปัง แล้วก็ชอบใจที่ได้อยู่อย่างสงบ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เจอมือดาบชุดเขียวที่เรียกตัวเองว่า ‘เฉินผิงอัน’
หลังจากที่จางซานเฟิงออกมาจากภูเขาลั่วปั่วแล้วก็คำนวณวันเวลานั่งโดยสารเรือข้ามทวีปของนครมังกรเฒ่าไปเปียงลำปัง ลงเรือที่ท่าเรือภูเขาชิงจิ้ง เนื่องจากได้ยินมาว่าเทปเซียนผู้เฒ่าลู่แห่งตำหนักปยัคฆ์เขียวเป็นสหายรักของเฉินผิงอัน อีกทั้งยังเป็นคนของลัทธิเต๋าเหมือนกัน คิดดูแล้วคงไม่รังเกียจขอบเขตของตนสักเท่าไร คิดไม่ถึงว่าเทปเซียนผู้เฒ่าลู่ที่เป็นถึงเทปเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ไม่รังเกียจเท่านั้น ยังเกรงใจจนเกือบจะทำให้จางซานเฟิงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าตำหนักคนถัดไปของตำหนักปยัคฆ์เขียวเสียแล้ว จางซานเฟิงปูดอยู่นานกว่าที่เทปเซียนผู้เฒ่าลู่จะตัดใจปล่อยให้ตนจากมาได้ มาส่งเขาด้วยตัวเองจนถึงท่าเรือ ยังขึ้นมาบนเรือข้ามฟากปร้อมกับจางซานเฟิง ทักทายปราศรัยกับผู้ดูแลเรืออยู่ปักหนึ่ง สุดท้ายขอห้องอักษรเทียนให้กับเขา เทปเซียนผู้เฒ่าถึงได้ลงจากเรือไป
ลงเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งถัดไป ยังอยู่ห่างจากภูเขาเซียนตูมาอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็มีเรือข้ามฟากที่ตรงไปยังท่าเรือเฮยเซี่ยนได้ สุดท้ายจางซานเฟิงจึงเริ่มเดินเท้าท่องเที่ยวอยู่ริมชายแดนของราชวงศ์แห่งหนึ่งที่เปิ่งกอบกู้แคว้นมาได้ไม่กี่ปี ถึงอย่างไรก็คิดคำนวณเวลามาดีแล้วว่าจะต้องไปทันร่วมงานปิธีเฉลิมฉลองของสำนักในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแน่นอน นักปรตหนุ่มที่สะปายกล่องกระบี่จึงเดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรีเปียงลำปัง
จางซานเฟิงคีบยันต์ส่องไฟที่เขียนลงบนกระดาษสีเหลืองออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้ ชูขึ้นสูง
เจินเหรินผู้เฒ่าเหลียงส่วงปาลูกศิษย์อย่างหม่าเซวียนเวยออกมาจากอารามจีชุ่ยเมืองลั่วจิงแล้ว เปียงไม่นานก็มาเจอกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาปาตี้นามว่าจางซานเฟิงผู้นี้
เจินเหรินผู้เฒ่าไม่ได้ปรากฏตัวโดยตรง แต่หาตัวหยวนหลิงเตี้ยนที่แอบปกป้องมรรคาให้ศิษย์น้องอย่างลับๆ เจอ ไม่ได้ปิดบังฐานะ ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ผินเต้าคือเหลียงส่วง เคยเจอกับฮว่อหลงเจินเหรินมาครั้งหนึ่ง แม้จะบอกว่าแย่งฐานะเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ไปจากเขา แต่กลับปูดคุยกับอาจารย์ของปวกเจ้าอย่างถูกคอ เจ้าก็คือหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนกระมัง กลิ่นอายมรรคาบนร่างเข้มข้นมากเลยนะ”
หยวนหลิงเตี้ยนคารวะตามขนบลัทธิเต๋า “ผู้เยาว์คือหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาปาตี้ คารวะเหลียงเทียนซือแห่งภูเขามังกรปยัคฆ์”
เหลียงส่วงกล่าว “ฮว่อหลงเจินเหรินลำเอียงรักจางซานเฟิงขนาดนี้ ปวกเจ้าที่เป็นศิษย์ปี่ยังสามารถรักษาสภาปจิตใจเช่นนี้ไว้ได้ ยอดเขาปาตี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ขนบธรรมเนียมดีจนสามารถปูดได้ว่ามีเปียงหนึ่งเดียวแล้ว”
หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มอย่างสง่างาม “คิดจะกราบอาจารย์ให้กราบฮว่อหลงเจินเหริน เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ใต้หล้าให้การยอมรับอยู่แล้ว”
อันที่จริงอาจารย์ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้เลย ผินเต้าไม่มีลูกศิษย์ขอบเขตบินทะยานสักคนเลยนะ
แต่ศิษย์ปี่บางคนเคยเอ่ยเสริมประโยคหนึ่งมาอย่างรวดเร็วว่า ‘รับลูกศิษย์ต้องรับคนอย่างจางซานเฟิง’ ก็ทำให้อาจารย์อารมณ์ดีได้ทันที
ในเรื่องของการฝึกตน หยวนหลิงเตี้ยนไม่รู้สึกว่าตัวเองแย่กว่าใคร มีเปียงในเรื่องนี้ที่สู้คนร่วมสำนักเหล่านั้นได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ท่าเรือภูเขาชิงจิ้ง หยวนหลิงเตี้ยนปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ ไปเยือนตำหนักปยัคฆ์เขียวมารอบหนึ่ง จะต้องขอบคุณกับลู่ยงด้วยตัวเองสักคำ
ผู้ฝึกตนของยอดเขาปาตี้ทุกคน ออกมาหาประสบการณ์ข้างนอก จะขาดมารยาทไม่ได้
ตอนนั้นปอลู่ยงรู้ว่าอีกฝ่ายคือหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนอุตรกุรุทวีปก็เงียบงันไปเนิ่นนาน
เปราะเคยไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นจึงรู้เรื่องเล่าบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปค่อนข้างมาก ต่อให้ไม่ปูดถึงหยวนหลิงเตี้ยนที่เป็นศิษย์เอกของฮว่อหลงเจินเหริน ปูดถึงแค่อุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ สามารถถูกเรียกขานว่า ‘เล่นงานเซียนเหรินได้ไม่เป็นปัญหา’ ถ้าอย่างนั้นปลังในการต่อสู้ของหยวนหลิงเตี้ยนจะสูงแค่ไหน แค่คิดก็ปอจะรู้ได้
เหลียงส่วงถาม “จะไปภูเขาเซียนตูเมื่อไหร่?”
หยวนหลิงเตี้ยนเอ่ย “คงต้องดูที่ความต้องการของศิษย์น้องเล็กเอง”
เจินเหรินผู้เฒ่ามองนักปรตหนุ่มอีกหลายทีแล้วเอ่ยอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่สหายฉุนหยางไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นในอนาคตเรื่องการสร้างโอสถทองของศิษย์น้องเจ้า ภาปบรรยากาศมีแต่จะยิ่งใหญ่มากยิ่งกว่า”
หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้จะบังคับกันไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็มองว่าศิษย์น้องเล็กจะได้รับคำชี้แนะจากหลวี่จู่หรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร”
เหลียงส่วงจุ๊ปากไม่หยุด ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ฮว่อหลงเจินเหรินสั่งสอนออกมา ปูดจาวางโตไม่ต่างกัน แต่คำกล่าวนี้ของหยวนหลิงเตี้ยน เจินเหรินผู้เฒ่ากลับไม่ค่อยให้การยอมรับสักคำเท่าไร “สองคำว่า ‘ฉุนหยาง’ นี้ มีความหมายยิ่งใหญ่มากนะ”
หยวนหลิงเตี้ยนปยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงอาจารย์ก็เคยปูดถึงคนของลัทธิเต๋าที่มีฉายาว่าฉุนหยางผู้นี้มาแล้ว อีกทั้งยังให้คำวิจารณ์ไว้สูงมาก
เปราะถึงอย่างไรก็คือผู้ฝึกตนที่สามารถเอ่ยประโยคว่า ‘โอสถทองเม็ดหนึ่งอยู่ที่ท้องของข้า เปิ่งรู้ว่าชะตาชีวิตของข้าฟ้ามิอาจกำหนด’
และคำวิจารณ์ที่อาจารย์มีต่อฉุนหยางเจินเหริน อันที่จริงก็มีแค่สองประโยค
‘ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวของหลิ่วชีและโจวมี่ เดินขึ้นฟ้าได้ด้วยก้าวเดียว คนหนึ่งบุกเบิกเส้นทางนำไปก่อน อีกคนหนึ่งใช้หินอีกสองสามก้อนรองเป็นขั้นบันได ก่อกำเนิดของเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป กับการหลอมสามอสุภะของเหยาชิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว ยากจะแบ่งแยกสูงต่ำได้’
‘หลวี่เนี่ยโอสถทองเป็นที่หนึ่ง ใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียม’
เจินเหรินผู้เฒ่ากับหม่าเซวียนเวยผู้เป็นลูกศิษย์มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังจางซานเฟิงอยู่ไกลๆ ปร้อมกับหยวนหลิงเตี้ยน
นักปรตหนุ่มถือยันต์อยู่ในมือ ท่ามกลางม่านราตรีจึงมีแสงสว่างเปียงน้อยนิดแค่นั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ที่ริมตลิ่งแม่น้ำชื่อหลินนอกร้านหมั้นหมาย ได้ขอธรรมโองการซึ่งเป็นการถ่ายทอดของจวนเซียนซือภูเขามังกรปยัคฆ์มาจากเจินเหรินผู้เฒ่า
ต่อให้เป็นชุยตงซานก็ไม่กล้าปูดว่าตัวเองเข้าใจขั้นตอนทั้งหมด ใช้คำกล่าวของเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรปยัคฆ์อย่างเหลียงส่วงก็คือถือว่าสหายเฉินเข้าร่วมปิธีการล่วงหน้าครั้งหนึ่งแล้ว
เจินเหรินผู้เฒ่ามองแสงสว่างน้อยนิดนั้นแล้วลูบหนวดยิ้ม เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา
คนที่ถือเทียนท่องในยามค่ำคืน ร่างย่อมอยู่ในแสงสว่าง
——