กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 925.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า)
ขอบฟ้ามีก้อนเมฆเหมือนเปลวเพลิงแผดเผา แสงสนธยายาวไกลพันลี้
เรือข้ามฟากจากหลงโจวลำหนึ่งที่มีชื่อว่าฟานโม่มาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง คนทั้งกลุ่มเตรียมจะเปลี่ยนเรือเพื่อมุ่งหน้าไปยังแคว้นหวงเหลียง
คนที่เป็นผู้นำในกลุ่มคือเด็กชายชุดเขียวที่เดินอาดๆ ลงจากเรือไป ชายแขนเสื้อทั้งสองสะบัดดัง ข้างกายมีเด็กสาวคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกขนาดพกพา ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว
ด้านหลังมีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อพาผู้เฒ่าชุดเหลืองลักษณะคล้ายผู้ติดตามมาด้วย รูปโฉมเหมือนคนโบราณ ตาลึกจมูกเหยี่ยว เพียงแต่เพราะร่างกายผ่ายผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก จึงดูเหมือนคนที่สวมชุดคลุมอาคมหลวมโพรก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว บุรุษหนุ่มจึงดูเป็นปกติที่สุด
พวกเขาใช้สถานะของแขกที่จะมาเข้าร่วมงานพิธี ได้รับคำเชิญให้ไปร่วมพิธีเปิดยอดเขาแห่งหนึ่ง
นายท่านใหญ่ที่เดินเหมือนตัวลอย แน่นอนว่าก็คือเจียวน้ำขอบเขตก่อกำเนิดแห่งภูเขาลั่วพั่ว เฉินหลิงจวินผู้ถวายงานแห่งศาลบรรพจารย์นั่นเอง
ครั้งนี้กวอจู๋จิ่วที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันก็ติดตามเฉินหลิงจวินออกจากบ้านมาด้วย
ส่วนหลี่ไหวนักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาซานหยากับเถาถิงแห่งไพศาลที่เรียกขานตัวเองว่านักพรตเนิ่นนั้นถือว่ามาขอกินขอดื่ม ออกเดินทางไกลมาผ่อนคลายอารมณ์
นอกจากฉายาว่า ‘นักพรตเนิ่น’ ที่ชื่อเสียงเลื่องระบือแล้ว เถาถิงยังได้ครอบครองเอกสารผ่านด่านอีกฉบับหนึ่ง คือผู้ฝึกตนอิสระของทักษินาตยทวีป ฉายาว่าหลงซานกง
คนที่ติดตามพวกเขามา หรือควรจะพูดว่าคนที่นำทางให้พวกเขายังมีผู้ฝึกลมปราณของยอดเขาอีไต้อีกสองคน นั่นคือซ่งหยวนและศิษย์น้องหญิงอย่างหลิวรุ่นอวิ๋น บนบ่าของฝ่ายหลังมีจิ้งจอกขาวอายุน้อยที่นอนขดตัวอย่างเกียจคร้าน
อยู่ห่างจากเวลาขึ้นเรืออีกครั้งอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม เฉินหลิงจวินจึงเลือกเหลาสุราแห่งหนึ่งที่ท่าเรือ คิดว่าจะกินให้อิ่มหนำสักมื้อ จิบสุราเล็กๆ น้อยๆ บูชาศาลห้าอวัยวะให้ดีๆ เพราะถึงอย่างไรเรือฟานโม่ก็คือเรือข้ามฟากของบ้านตัวเอง เอาแต่กินดื่มอย่างเต็มคราบบนเรืออย่างเดียวคงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร ผู้ฝึกตนของเกาะจูไชพวกนั้นปากมากนัก หากว่าดังไปเข้าหูใครบางคนเข้าต้องเจอคำพูดเหน็บแนมอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
เฉินหลิงจวินที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ของเหลาสุราเขย่งปลายเท้า มือสองข้างวางพาดลงบนโต๊ะคิดเงินตัวสูง ยื่นคอไปมองแผ่นไม้รายการอาหารที่แขวนอยู่บนผนัง สั่งอาหารกับลูกจ้างร้าน ฟังว่าสถานที่ที่มีชื่อว่าหอเจินซิวแห่งนี้ถึงกับมีการค้าขายอย่างใหม่ที่เฉินหลิงจวินไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่แท้ทุกวันนี้เหนือใต้ของหนึ่งทวีป ท่าเรือตระกูลเซียนหลายแห่งต่างก็ก่อตั้งเหลาสุราเจินซิวขึ้นมา ผู้ฝึกตนแค่วางเงินเทพเซียนมัดจำไว้ก้อนหนึ่งที่เหลาสุราแห่งนี้ก็สามารถส่งกระบี่บินให้กับห้องกระบี่ของท่าเรือแห่งต่างๆ เมื่อทางเหลาสุราได้รับข่าวก็จะสามารถสั่งอาหารได้ ทางหอเจินซิวจะใช้กล่องอาหารที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของตระกูลเซียนบรรจุอาหารหายากหลากหลายชนิด ช่วยนำไปส่งให้ถึงประตูภูเขา รับรองว่ารสชาติจะยังคงเหมือนกินในร้านไม่มีผิดเพี้ยน...
เพียงแต่ว่าค่าเดินทางส่วนเกินก้อนนั้นต้องคิดคำนวณตามระยะทางขุนเขาสายน้ำ
เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึงไปนาน วันนี้นายท่านใหญ่เฉินได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
การค้าทำกันแบบนี้ได้ด้วยหรือ? เพียงแต่ว่าเหตุใดท่าเรือหนิวเจี่ยวบ้านตน และยังมีเมืองหงจู๋ที่ออกห่างไปไกลอีกเล็กน้อยถึงไม่มีเหลาสุราเจินซิวไปสร้างไว้บ้างเล่า?
หลี่ไหวมีการคาดเดาอย่างที่หาได้ยาก คงไม่ใช่ฝีมือของต่งสุ่ยจิ่งอีกกระมัง? ทำแบบนี้สามารถทำการค้าได้จริงหรือ?
เพราะว่ามีคนมาก นั่งต่อโต๊ะย่อมไม่เข้าท่า เฉินหลิงจวินจึงขอห้องเดี่ยว ราคาเริ่มต้นที่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เพียงไม่นานอาหารก็ยกมาวางเต็มโต๊ะ เฉินหลิงจวินสั่งเหล้ามาสองกา นั่งไขว่ห้าง จิบเหล้าหมักเซียนหนึ่งคำ หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ทางฝั่งของท่าเรือทยอยมีเรือยันต์ส่วนตัวหลายลำมาจอดเทียบท่า ไม่ถึงขั้นชนปะทะกันโดยตรง แต่ทุกลำล้วนจะต้องแสดงความเร็วของเรือยันต์ให้เห็นอย่างไม่มีข้อยกเว้น เฉินหลิงจวินเหลือบมองบุคคลบนเรือยันต์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายหนุ่มที่พาสาวงามมาด้วย พวกเขาเหมือนแกะสลักตัวอักษรสองคำไว้บนหน้าผากว่า มีเงิน ส่วนสายตายามมองคนก็มีสองคำเหมือนกัน ผียากจน
นักพรตเนิ่นแค่จิบเหล้าเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องของการปกป้องมรรคา จะประมาทเลินเล่อไม่ได้
ละโมบดื่มทำให้เสียงาน? ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่ เพียงแต่ว่าก็ต้องวางตัวให้ดีสักหน่อย
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะถูกเฒ่าตาบอดกระชากเข้าไปในความฝันแล้วกระทืบอีกหลายๆ ทีหรือไม่?
เพราะถึงอย่างไรเฒ่าตาบอดทำอะไรก็ดูแค่ที่อารมณ์เท่านั้น ไม่เคยใช้เหตุผลเลย
ครั้งก่อนมีคุณความชอบด้านการปกป้อง เฒ่าตาบอดแสดงมโนธรรมให้เห็นอย่างที่หาได้ยากจึง ‘ถือโอกาส’ โยนตำราโบราณเล่มหนึ่งมาที่ร่างของเถาถิง คือคาถาหลอมภูเขาครึ่งฉบับบน
หลายวันมานี้เถาถิงไม่ได้เกียจคร้านแม้สักชั่วขณะ ล้วนปิดด่านอยู่ตลอด แน่นอนว่าสำหรับผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาสูงสุดอย่างเถาถิงแล้ว คำว่า ‘ปิดด่าน’ ต้องไม่ใช่อย่างผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานทั่วไปที่ในความหมายโดยทั่วไปแล้วคือการตามหาพื้นที่ลับตามขุนเขาสายน้ำแล้วอยู่เกาะติดที่ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน และผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างก่อกำเนิดกับบินทะยาน ก็ถูกบนภูเขาเอ่ยหยอกล้อมาตลอดว่าเป็น ‘ตะพาบพันปีเต่าหมื่นปี’ แน่นอนว่าเถาถิงไม่ได้ยากแค้นถึงขั้นนี้
ในฐานะบรรพบุรุษสายขับไล่ภูเขาของยุคบรรพกาล เถาถิงคือบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาอย่างสมชื่อ เป็นปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีลำดับศักดิ์เท่ากันและอายุการฝึกตนเท่ากันกับหยวนโส่วสายย้ายภูเขาปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่า เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ถูกกับภูเขา แน่นอนว่าจึงมีการช่วงชิงบนมหามรรคาอย่างที่มองไม่เห็น หากจะพูดถึงเรื่องของการขับไล่ภูเขาย้ายภูเขา เถาถิงคิดว่าตัวเองไม่ได้แย่กว่าหยวนโส่วสักเท่าไร มีเพียงวิถีของการ ‘หลอมภูเขา’ เท่านั้นที่ด้อยกว่ามาก พูดง่ายๆ ก็คือย้ายภูเขา ขับไล่ภูเขา ความสามารถสองด้านนี้เหมือนกัน แต่ความสามารถในการ ‘กินภูเขา’ เถาถิงกลับสู้หยวนโส่วไม่ได้
ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ผู้แข็งแกร่งกินเนื้อ ผู้อ่อนแอถูกกินเนื้อ ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกัน ฝ่ายที่สู้ไม่ได้ก็ได้แต่หลบเลี่ยงประกายเฉียบคม หนีไปเท่านั้น
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เถาถิงที่ ‘อายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน’ เคยมีจิตใจทะเยอทะยาน พยายามจะอาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต พยายามก่อภูเขาสูงลูกหนึ่งขึ้นมาเหมือนกลิ้งลูกหิมะ แล้วยังป่าวประกาศออกไปว่าจะสร้าง ‘ชิงซาน’ ที่เหนือกว่า ‘ชิงซาน’ มหาบรรพตแห่งเปลี่ยวร้างอีกด้วย
ส่วนการแลกเปลี่ยนที่สกปรกระหว่างเฟยเฟยและหยางจื่อสตรีแก่ทั้งสองคน คิดจะหลอกผู้ฝึกตนทั่วไปย่อมไม่มีปัญหา แต่สำหรับปีศาจใหญ่บนยอดเขาแล้ว มีหรือจะไม่รู้เรื่องวงใน เถาถิงดูแคลนที่จะเอาอย่าง แล้วนับประสาอะไรกับที่จูเยี่ยนก็เป็นคนที่ไม่ชอบก่อสำนักตั้งพรรค ปีนั้นเถาถิงจึงได้แต่ตัดสินใจอำมหิต แสวงหาความร่ำรวยสูงศักดิ์ท่ามกลางความเสี่ยง ดูว่าอยู่ที่ริมเขตชายแดนของภูเขาใหญ่แสนลี้จะมีโอกาสวันนี้ขโมยภูเขาหนึ่งลูก พรุ่งนี้ย้ายภูเขาหนึ่งลูกหรือไม่ รอกระทั่งกินอิ่มแล้วค่อยไปแบ่งสูงต่ำกับจูเยี่ยนอีกที ผลลัพธ์…ก็คือถูกเฒ่าตาบอดจับไปเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน วันเวลาที่น่าสังเวชซึ่งยากจะบรรยายให้ใครเข้าใจได้นั้น หากไม่ต้องคิดได้ก็จะไม่ไปคิดถึง
นี่จึงเป็นเหตุให้การที่ได้คาถาหลอมภูเขาครึ่งบทมาจากมือของเฒ่าตาบอด ก็คือเรื่องราวดีงามที่แม้แต่ฝันเถาถิงก็ยังไม่กล้าฝัน
จุดหมายในการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ของพวกเขาคือจวนเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าพรรคหวงเหลียง
ในอาณาเขตของแคว้นเมิ่งเหลียง นอกจากภูเขาเมฆาเรืองที่มีหวังจะเลื่อนขั้นเป็นสำนักแล้วยังมีพรรคตระกูลเซียนที่มิอาจดูแคลนอีกแห่งหนึ่ง ก็คือพรรคหวงเหลียง ก่อนศึกใหญ่ อยู่ในแจกันสมบัติทวีปคือจวนเซียนบนภูเขาที่สามารถถือว่า ‘อยู่รั้งท้ายอันดับสองได้อย่างถูไถ แต่เป็นยอดบนสุดของอันดับสามกลับไม่เป็นธรรม’ ทุกวันนี้อาณาเขตทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ภูเขาปริแตกไปนับไม่ถ้วน ฐานะของพรรคจึงลอยขึ้นสูงเหมือนเรือที่ลอยตามน้ำไปด้วย
‘แดนบิน’ ที่ไม่เชื่อมต่อกับภูเขาบรรพบุรุษพวกนั้นอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล หากคิดจะเลียนแบบสำนักเบื้องบนกับสำนักเบื้องล่างก็จะมีการแบ่งระหว่าง ‘บนภูเขากับล่างภูเขา’
และพรรคหวงเหลียงก็คือ ‘บนภูเขา’ ของยอดเขาอีไต้แห่งฉู่โจว
เจ้าประมุขพรรคคือโอสถทอง ‘อ่อนเยาว์’ ที่อายุมากคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ท่านหนึ่ง ปีนั้นเขาเคยส่งลูกศิษย์ปิดสำนักให้ไปตามหาโชควาสนาที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ผลคือเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ ไม่เพียงแต่มอบเงินอิ๋งชุนที่เป็นค่าผ่านทางไปเปล่าๆ ถุงหนึ่ง เงินยาเซิ่งอีกถุงหนึ่ง ผู้ฝึกตนไม่ได้สมบัติที่ถูกใจมาครอง เพื่อจะสานสัมพันธ์กับสกุลซ่งต้าหลีที่กองกำลังแคว้นเจริญรุ่งเรืองในทุกวัน จึงใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงที่เหลืออยู่ซื้อภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาลั่วพั่วเอาไว้ ภายหลังกริ่งเกรงพลานุภาพของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี แต่ก็ไม่ได้ขายภูเขาไปในราคาถูกแล้วย้ายหนีไป อันที่จริงเจ้าประมุขก็มีใจเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง บรรพจารย์โอสถทองที่ภายหลังย้ายมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ยอดเขาอีไต้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับคนในสำนักอย่างมาก ตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด จึงเรียนเชิญให้อาจารย์ลุงมานั่งพิทักษ์อยู่ที่ยอดเขาอีไต้
ตอนนั้นราคาภูเขาที่ซื้อมาไม่ถูก หลังจบเรื่องกลับพิสูจน์ให้เห็นว่าเหมือนได้มาเปล่าๆ เพราะถือว่าได้มาครองในราคาที่ต่ำมากแล้ว
กองกำลังบนภูเขาที่เมื่อหลายปีก่อนคิดจะซื้อยอดเขาอีไต้ไปจากพรรคหวงเหลียงก็มีจำนวนสองมือนับ ให้ราคาไม่ใช่สูงกว่าแค่หนึ่งถึงสองเท่าเท่านั้น ต้องบอกว่าเป็นราคาที่มีแต่ราคาไม่มีตลาดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอกระทั่งเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วท่านนั้นร่วมมือกับหลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนไปอาละวาดที่ภูเขาตะวันเที่ยง ศึกเดียวสร้างชื่อ ภูเขาลั่วพั่วก็เหมือนหินที่ผุดขึ้นมาเมื่อน้ำลด โผล่พรวดเข้าไปอยู่ในสายตาการมองเห็นของผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีปเป็นครั้งแรก ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือ ภูเขาลั่วพั่ว สำนักกระบี่หลงเฉวียน ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับใครก็ล้วนเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่มิอาจจินตนาการได้ถึง
ปัญหาเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวก็คืองานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือให้ความรู้สึกเหมือนหลุมที่ไร้ก้น
แต่ก็ปล่อยวางได้นานแล้ว เพราะถึงอย่างไรในอาณาเขตขุนเขากลาง ซานจวินใหญ่จิ้นชิงก็เริ่มลงมืออำมหิตแล้ว
หนีวันที่หนึ่งได้ หนีวันที่สิบห้าไม่ได้
รอกระทั่งรายงานขุนเขาสายน้ำจากสำนักซานไห่แพร่ไปทั่วเก้าทวีปของไพศาล เท่ากับว่าได้บอกทั้งคำเรียกขานว่าอิ่นกวานและชื่อกับสถานะของคนผู้นั้นให้ทั่วใต้หล้าได้รับรู้
พรรคหวงเหลียงก็ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม หากจะบอกว่าเมื่อก่อนราคาในการซื้อยอดเขาอีไต้ที่ปรึกษากันก่อนหน้านี้สูงมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นราคาหลังจากนั้นก็ต้องเรียกว่าแพงหูฉี่! ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าบรรพจารย์โอสถทองท่านนั้นตอบกลับภูเขาบรรพบุรุษไปอย่างเรียบง่ายมาก ไม่ขาย
ดังนั้นครั้งนี้เจ้าประมุขฉวยโอกาสงานพิธีเปิดภูเขาที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งเลื่อนเป็นโอสถทอง แอบทำสัญญาวิญญูชนกับอาจารย์ลุงผู้นั้นอย่างลับๆ ว่าหากสามารถเชิญให้ผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วมาร่วมงานพิธีได้ ทางฝั่งของโหลวซานจะไม่พูดถึงเรื่องการขายยอดเขาอีไต้อีก แต่หากทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วปฏิเสธเรื่องนี้ อาจารย์ลุงก็ต้องไปเยือนศาลบรรพจารย์เพื่อปรึกษาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
กวอจู๋จิ่วถามอย่างใคร่รู้ “เสี่ยวซ่งเซียนซือ พรรคหวงเหลียงของพวกท่านมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่มงคลหวงเหลียงที่ถูกตัดชื่อออกจากเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลหรือ?”
เล่าลือกันว่าที่ภูเขาห้อยหัวมีร้านหวงเหลียงที่ขาย ‘เหล้าลืมทุกข์’ เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่ขายเหล้าคล้ายว่าจะเป็นบรรพจารย์ของสำนักจ๋าเจียคนหนึ่ง?
ส่วนคำเรียกขานว่า ‘เสี่ยวซ่งเซียนซือ’ นี้ เป็นกวอจู๋จิ่วที่เรียนรู้มาจากคนอื่นอีกที
อีกฝ่ายคือลูกศิษย์ปิดสำนักของผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองของยอดเขาอีไต้คนนั้น
แรกเริ่มสุดดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์พี่หญิงเผยเฉียนที่เรียกเป็นคนแรก
ภายหลังทุกคนของภูเขาลั่วพั่วก็พากันเรียกตาม
ซ่งหยวนยิ้มพลางส่ายหน้า “แม่นางกวอ เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึงมาก่อน”
พรรคหวงเหลียงคือพรรคเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ภูเขาบรรพบุรุษมีชื่อว่าโหลวซาน ตั้งอยู่ในอำเภอเปียอี้จังหวัดไหวอันแคว้นหวงเหลียง มีโอสถทองมากมาย
ในประวัติศาสตร์เคยมีเซียนดินโอสถทองหลายสิบท่าน แต่ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีก่อกำเนิดโผล่มาสักคนเดียว
แน่นอนว่าคำว่า ‘โอสถทองมากมาย’ นี้ ก็แค่เปรียบเทียบกับแจกันสมบัติทวีปในอดีตเท่านั้น
พรรคหวงเหลียงเชื้อเชิญผู้ฝึกตนภูเขาลั่วพั่วมาเข้าร่วมงานพิธีก็คือเรื่องที่แค่ลองทำดูเท่านั้น
ไม่เคยคาดหวังว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะให้เกียรติมาเยือนโหลวซาน ถึงขั้นที่ไม่คิดว่าจะมีผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วมาเยือน
หากสำเร็จก็คือเกียรติยศใหญ่เทียมฟ้าที่เหนือจากการคาดคิด หากไม่สำเร็จก็คือเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องลองทำดู
คาดไม่ถึงว่าทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วจะมีจดหมายตอบกลับในนามของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อส่งมาอย่างรวดเร็ว เป็นผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนที่เขียนจดหมายตอบกลับด้วยตัวเอง ใช้ถ้อยคำเกรงใจกันอย่างยิ่ง บอกว่าทุกวันนี้เจ้าขุนเขาอยู่ข้างนอกยังไม่กลับมา ได้แต่ให้เฉินหลิงจวินกับกวอจู๋จิ่วเข้าร่วมงานพิธีแทน แล้วก็ถือโอกาสแนะนำสถานะของคนทั้งสองไว้ในจดหมายด้วย
ได้รับจดหมายตอบกลับฉบับนี้ พรรคหวงเหลียงถึงขั้นเปิดการประชุมศาลบรรพจารย์เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ต่อให้ไม่พูดถึงเฉินหลิงจวินที่เป็นขอบเขตก่อกำนิดคนหนึ่ง แค่สตรีที่ชื่อว่ากวอจู๋จิ่วคนนั้น นางถึงกับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉิน ประเด็นสำคัญคือตอนนี้นางยังเป็นลูกศิษย์คนเล็กด้วย ตามคำกล่าวที่ตลกขบขันของบนภูเขา สามารถถือเป็น ‘ลูกศิษย์ปิดสำนัก’ ได้ครึ่งตัวแล้ว
หลิวรุ่นอวิ๋นคุ้นเคยกับผู้ถวายงานก่อกำเนิดของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชายชุดเขียวดี อีกฝ่ายมักจะมาดื่มเหล้าพลางคุยโม้กับท่านปู่เป็นประจำ เรียกท่านปู่ว่าพี่หลิว เรียกนางว่าพี่หญิงหลิว เป็นลำดับอาวุโสที่มั่วซั่วอย่างมาก
ท่านปู่เคยพูดให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่าน้องเฉินมีอนาคตบนมหามรรคา ร้ายกาจอย่างมาก
หลิวรุ่นอวิ๋นยากที่จะเอาภาพของเด็กชายชุดเขียวที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมาทับซ้อนเข้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดท่านหนึ่งได้จริงๆ
กลับเป็นเด็กสาวที่ชื่อว่ากวอจู๋จิ่วที่หลิวรุ่นอวิ๋นรู้สึกสนใจอย่างมาก ดูเหมือนว่านางเพิ่งมาถึงภูเขาลั่วพั่วได้ไม่นาน เอาเป็นว่าเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
เพียงแต่ภูมิหลังชาติกำเนิด ขอบเขตของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ล้วนไม่รู้ชัดเจน
ทุกวันนี้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของยอดเขาอีไต้นั้นถือเป็นอันดับหนึ่ง
แม้แต่พรรคหวงเหลียงก็ยังเคยได้ยินได้ฟังมา
——