กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 925.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า)
คนดูมีน้อยนิด ดูเหมือนว่าตลอดทั้งปีจะมีแค่สองสามคนเท่านั้น แต่ทุกครั้งล้วนมือเติบใจป้ำจน…น่าตกใจ
ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีเงินฝนธัญพืชที่เข้ามานอนในบัญชีสองเหรียญแล้ว เป็นเหตุให้ถึงท้ายที่สุดท่านปู่ตัดสินใจหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเสียเลย
ถึงอย่างไรหลานสาวอย่างหลิวรุ่นอวิ๋นก็ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางยั่วยวนกรีดกราย เทียบกับเทพธิดาโจวของอาราชิงเหมยทะเลสาบหนันถังแล้วก็ไม่ใช่บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำประเภทเดียวกัน
ดื่มเหล้ากินข้าวอิ่มหนำ เฉินหลิงจวินจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ออกมาจากเหลาสุรา ตบหน้าท้อง พาทุกคนขึ้นไปบนเรือข้ามฟากที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือหวงเหลียงอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้นักพรตเนิ่นอยากจะแย่งจ่ายเงิน แต่จนใจที่มิอาจสู้สหายจิ่งชิงได้
กวอจู๋จิ่วยิ้มตาหยีถามว่า “ในเมื่อไม่วางใจ ทำไมยังต้องลงจากภูเขาออกเดินทางไกลด้วยเล่า”
อาจารย์พ่อเคยบอกว่า ทุกครั้งที่เฉินหน่วนซู่ไปซื้อของที่ตัวเมือง ตลอดทางจะต้องมีคนผู้หนึ่งคอยติดตามไปลับๆ
เฉินหลิงจวินกลอกตาใส่ “ใช่ที่ไหนกัน”
กวอจู๋จิ่วถามอีกว่า “เจ้ารู้หรือว่าข้าถามเรื่องอะไร?”
เฉินหลิงจวินพูดอย่างหนักแน่น “ไม่รู้!”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะร่า
เฉินหลิงจวินจึงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
หลี่ไหวฟังด้วยความมึนงง พวกเจ้าสองคนเล่นทายคำปริศนากันอยู่หรือ
รอกระทั่งซ่งหยวนและหลิวรุ่นอวิ๋นไปยังที่พักแห่งอื่นแล้ว พวกกวอจู๋จิ่วจึงมานั่งที่ห้องพักของเฉินหลิงจวินก่อน นางถามว่า “มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่เป็นแบบนี้เยอะมากเลยหรือ?”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “มาก มากมายเลยล่ะ ยิ่งเป็นจวนเซียนใหญ่พรรคใหญ่ เรื่องแบบนี้ก็ยิ่งเกิดขึ้นถี่ๆ เหตุผลมากมายไร้ที่สิ้นสุด นอกจากงานพิธีเปิดยอดเขาของผู้ฝึกตนโอสถทองอย่างพรรคหวงเหลียงนี่แล้วก็ยังมีงานแต่งบนภูเขา การผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน มักจะต้องให้เงินใส่ซอง นอกจากนี้บรรพจารย์ปิดด่านสำเร็จ เปลี่ยนเจ้าประมุขหรือเจ้าขุนเขา ใครบางคนฝ่าทะลุขอบเขต หลักๆ แล้วคือพวกเด็กน้อยที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตห้าขอบเขตกลาง ฯลฯ ล้วนต้องมีการไปมาหาสู่กัน”
เฉินหลิงจวินลุกขึ้นค้อมเอว รินน้ำชาให้พวกกวอจู๋จิ่วสามคน “แต่ว่าที่ภูเขาบ้านพวกเรา เมื่อก่อนล้วนเป็นนายท่านที่แวะเวียนไปคนเดียว นายท่านทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาสนใจกิจธุระยิบย่อยพวกนี้อีกแล้ว”
กวอจู๋จิ่วยิ้มถาม “จะรังเกียจที่พวกเราสองคน…ไม่มีหน้ามีตามากพอหรือไม่?”
พิธีการที่มีขั้นตอนยิบย่อยของใต้หล้าไพศาลมีแต่จะมากกว่างานพิธีสารพัดรูปแบบพวกนี้
เฉินหลิงจวินหัวเราะดังลั่น “ล้อเล่นหรือไร พวกเราสองคน ไม่ว่าใครที่ออกหน้า ทางฝั่งพรรคหวงเหลียงก็จะต้องรู้สึกว่าต้องจุดธูปขอบคุณแล้ว หลุมศพบรรพบุรุษก็มีควันเขียวกลิ้งหลุนๆ …”
เฉินหลิงจวินรีบเอ่ยเสริมอีกคำว่า “คำพูดแบบนี้ก็เป็นแค่การคุยเล่นหลังจากปิดประตูลงระหว่างคนกันเองอย่างพวกเราเท่านั้น ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้นะ”
“ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ไว้หน้าคนอื่นก็คือการไว้หน้าตัวเอง หลักการเหตุผลข้อนี้ จุ๊ๆๆ ความรู้ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้าเสียอีก”
นักพรตเนิ่นพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ยังคงเป็นสหายหลิงจวินที่เป็นคนซื่อสัตย์มีประสบการณ์การอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างโชกโชน”
คุยเล่นกันไปพักหนึ่ง หลี่ไหวก็พานักพรตเนิ่นไปยังห้องพักแห่งอื่น คนทั้งกลุ่มไม่ได้พักอยู่ห้องติดกัน แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเงินไม่มากพอ
และเฉินหลิงจวินก็ไม่ได้แย่งจะจ่ายเงินอย่างที่หาได้ยาก
เพราะเงินค่าเดินทางก้อนนี้เป็นซ่งหยวนแห่งยอดเขาอีไต้ที่ควักกระเป๋าเงินจ่ายแทนยอดเขาอีไต้และพรรคหวงเหลียง ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินหลิงจวินซื้อป้ายไม้ขึ้นเรือที่ท่าเรือจึงเลือกห้องไว้เรียบร้อยนานแล้ว ซ่งหยวนจึงไม่ได้มีโอกาสไปขอห้องที่ดีที่สุดจากบนเรือมาให้กับพวกเขา
เรือข้ามฟากทะยานขึ้นสูง ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ดวงอาทิตย์ราวกับดิ่งลงไปในหลุมบนมหาสมุทร
รอกระทั่งเรือข้ามฟากลำนี้เข้าไปในอาณาเขตของแคว้นหวงเหลียงแล้ว หลี่ไหวก็เดินออกจากห้อง มาที่ดาดฟ้าตรงท้ายเรือ
เพียงไม่นานนักพรตเนิ่นก็ตามมาที่นี่ด้วย ยืนพิงราวรั้ว สายตาสอดส่ายไปทั่ว มองเห็นขุนเขาสายน้ำบนพื้นดินอยู่ในสายตาทั้งหมด พยักหน้า พลันหรี่ตาลงเอ่ยว่า “โอ้ ฟ้าดินเปี่ยมไปด้วยปราณเที่ยงธรรม กองทัพเซียนใช้อาวุธเทพเฝ้าพิทักษ์ ภูเขาสายน้ำของภูเขาโหลวซานแห่งนั้นค่อนข้างน่าสนใจนะ”
ด้ามกระบวย (ดาวสามดวงในตำแหน่งด้ามกระบวยของดาวกระบวยใหญ่หรือดาวเป่ยโต้ว) หมุนวนสาดสะท้อน ภูเขาเหมือนคนสวมชุดสีแดงเข้ม น้ำเต้าลูกเล็กฝังลึกอยู่ในดิน ผลิดอกออกผลเป็นถุงทอง
นักพรตเนิ่นยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จึงสะบัดชายแขนเสื้อ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมานับนิ้วคำนวณ
ในฐานะบรรพจารย์ของสายขับไล่ภูเขา สำหรับ ‘เส้นชีพจรมังกร’ ในใต้หล้า แค่มองปราดเดียวก็แยกแยะได้อย่างชัดเจนแล้ว
หลี่ไหวจึงได้แต่ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “อย่าทำเหลวไหลนะ คนเขาดำเนินการอย่างยากลำบากมาหลายสิบรุ่น พวกเราเองก็มาเป็นแขกด้วย”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างน้อยใจ “คุณชาย ประโยคนี้ทำให้คนฟังเสียใจยิ่งนัก แรงไฟในการพูด หนักเบาในการลงมือของข้า ไม่กล้าเปรียบเทียบกับคุณชาย แต่เปรียบเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว ถึงอย่างไรก็น่าจะสูสีกันนะ”
หลี่ไหวยิ้มรับ
นักพรตเนิ่นถามหยั่งเชิง “คุณชาย ข้ามองเห็นว่าสถานที่แห่งหนึ่งมีประวัติความเป็นมา ลองไปสืบเสาะดูกันดีไหม? ไม่ลงมือ แค่มองในระยะใกล้สักสองสามทีก็พอ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาที่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรก็อยู่ใต้เปลือกตาของพรรคหวงเหลียงกับภูเขาเมฆาเรือง ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว คนทั้งสองกลุ่มก็ยังไม่ค้นพบ แล้วก็ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตภูเขาของพวกเขาด้วย ตามกฎบนภูเขาของใต้หล้าไพศาล นี่เรียกว่าผู้มีความสามารถย่อมได้ไปครองแล้วนะ”
ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างจากงานพิธีเปิดขุนเขาของพรรคหวงเหลียงอีกเกือบครึ่งเดือน อยู่ว่างๆ ก็น่าเบื่อ
หลี่ไหวรีบโบกมือ “อย่า หากเจ้าอยากไปก็ไปคนเดียวเถอะ ขอแค่ไม่ทำผิดฎ ก็ล้วนตามใจเจ้า”
ก่อนหน้านี้ออกท่องอุตรกุรุทวีปไปพร้อมกับเผยเฉียน จึงทิ้งเงามืดไว้ในใจของเขา เกือบจะต้องขาดทุนเสียแล้ว
นักพรตเนิ่นถาม “ไม่ไปจริงๆ หรือ?”
หลี่ไหวส่ายหน้า
นักพรตเนิ่นถอนหายใจ “คุณชายไม่ไป ข้าก็ไม่ไปเหมือนกัน”
โชควาสนาที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง ของในกระเป๋ากลับหายไปทั้งอย่างนี้ เหมือนมีเป็ดตัวหนึ่งที่ต้มสุกแล้ววางไว้บนโต๊ะแล้ว แต่จนใจที่คุณชายไม่ยอมไปนั่งกิน
หลี่ไหวถาม “โชควาสนาไม่เล็ก?”
นักพรตเนิ่นเข้าใจผิดคิดว่ามีโอกาสพลิกสถานการณ์จึงเอ่ยเสียงหนักว่า “ไม่เล็ก!”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ดีมากๆ สามารถตัดใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เอาเป็นว่าหากข้าไปก็มีแต่จะคลาดกับมันอย่างแน่นอน”
นักพรตเนิ่นอึ้งงันไร้คำพูด
รู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ แต่ก็คล้ายว่าจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
นักพรตเนิ่นถอนหายใจยาว ช่างเถิดๆ
นักพรตเนิ่นมักจะถูกแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วมองด้วยสายตาที่ทำให้เขาขนลุกอยู่บ่อยๆ
ทุกวันนี้ข่าวลือเกี่ยวกับนักพรตเนิ่นมีคนพูดกันไปหลากหลาย คำกล่าวอย่างหนึ่งก็คือหนันกวงจ้าวถูกหนักพรตเนิ่นสังหาร เพียงแต่ว่าติดที่กฎของศาลบุ๋นจึงต้องทำอย่างมิดชิด จึงใช้นามแฝงว่าหาวซู่ และยังมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งบอกว่า การที่หนันกวงจ้าวถูก ‘ผู้ฝึกกระบี่หาวซู่’ ตัดหัวก็เพราะศึกบนเกาะยวนยางได้ประลองเวทคาถากับนักพรตเนิ่นที่จู่ๆ ก็โผล่มาบนโลก ถูกทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา จำต้องกลับไปปิดด่านรักษาบาดแผลที่สำนัก หาวซู่ถึงมาเก็บตกผลงานไปได้
ส่วนคำกล่าวอย่างที่สามก็คือนักพรตเนิ่นมีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลหลิงส่วง อีกทั้งยังเป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง ชื่อจริงก็คือหาวซู่ คือสิงกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
นักพรตเนิ่นย่อมไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้
ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นชื่อเสียงที่ตนอาศัยความสามารถช่วงชิงมา ส่วนเรื่องจริงเรื่องเท็จ ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
ขอแค่เฒ่าตาบอดไม่คัดค้าน ต่อให้ใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าจะพูดว่าตนเป็นศิษย์น้องของเฒ่าตาบอดแล้วอย่างไร หรือจะให้เป็นศิษย์พี่ก็ยังได้
ทางฝั่งของหัวเรือ เฉินหลิงจวินกับกวอจู๋จิ่วก็กำลังชมทัศนียภาพด้วยกันอยู่พอดี เพราะว่าตัวเตี้ย เฉินหลิงจวินจึงได้แต่วางคางพาดไว้บนราวระเบียง
กวอจู๋จิ่วพลันยิ้มเอ่ย “เมื่อก่อนอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อน อาจารย์พ่อเคยพูดถึงเจ้า บอกว่าเจ้าก็คือคนที่จะต้องแย่งจ่ายเงินตลอด”
เฉินหลิงจวินรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ฟังความหมายออกว่านายท่านบอกว่าตนโง่
กวอจู๋จิ่วเอ่ยต่ออีกว่า “อาจารย์พ่อยังบอกด้วยว่านี่ไม่ใช่ว่าเจ้าโง่ ก็แค่ว่าเจ้ากำลังรอจะได้เจอกับสหายที่แย่งจ่ายเงินกับเจ้า”
เมื่อรอจนได้พบเจอ ก็คือยุทธภพ รอแล้วไม่เจอ ก็ยังคงเป็นยุทธภพ
……
ที่ตั้งภูเขาของพรรคชิงจ้วนคือซากปรักพื้นที่ลับที่พังภินท์แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่อยู่ในลำดับขั้นของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล แต่ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีงามอย่างจริงแท้แน่นอน
ต้นไม้ผูกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ วันนี้ครึกครื้นอย่างที่หาได้ยาก เนื่องจากมีแขกผู้สูงศักดิ์สองกลุ่มมาชมทัศนียภาพที่นี่
ฝ่ายหนึ่งมาจากราชวงศ์สกุลอวี๋ที่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน อวี๋หลินโหยวผู้เป็นรัชทายาทจับมือกับจู๋ซวินผู้เป็นภรรยา มาเป็นแขกที่พรรคชิงจ้วนด้วยกัน
อีกสองคนคือผู้ฝึกตนของทวีปอื่น ถือเป็น ‘มังกรข้ามแม่น้ำ’ อย่างสมชื่อ คนผู้หนึ่งคือคุณชายผู้หล่อเหลาที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ ตรงเอวห้อยหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณ
ก็คือนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีป ฝูหนันหัว
และยังมีคุณชายหล่อเหลาจากตระกูลโหวของนครมังกรเฒ่าอีกคนหนึ่งมีนามว่าโหวเต้า คนผู้นี้อยู่ในลำดับอาวุโสเดียวกันบนทำเนียบตระกูลกับโหวเหมี่ยนรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอู่ซี
ตระกูลโหวเป็นตระกูลแรกสุดที่ผูกสัมพันธ์กับฮ่องเต้ผู้เฒ่าสกุลอวี๋ ทั้งสองฝ่ายประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างง่ายดาย และตระกูลโหวที่อยู่ในนครมังกรเฒ่า เดิมทีก็เป็นผู้ที่พึ่งพาตระกูลฝูอยู่แล้ว
พรรคชิงจ้วนที่เป็นเจ้าบ้าน ครั้งนี้ตั้งขบวนรับรองแขกไว้ไม่เล็ก นอกจากเจ้าประมุขอย่างเกาซูเหวินแล้ว ยังมีไต้หยวนที่รับหน้าที่ดูแลสถานที่ท่องเที่ยวอย่างต้นไม้ผูกกระบี่ด้วย
นอกจากเซียนดินโอสถทองสองท่านก็ยังมีเหมียวอวี๋ผู้ฝึกตนหญิงที่ดูแลเงินของพรรคชิงจ้วน รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์กลุ่มหนึ่ง
คนที่มาได้ล้วนมากันครบหมด มิกล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย
มีเพียงผู้คุมกฎสวี่ป่ายที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์เกาซูเหวินที่ตอนนี้ออกไปทำธุระอยู่ข้างนอก จึงเสียโอกาสในการได้ทำความรู้จักกับผู้สูงศักดิ์ไป
เกาซูเหวินชี้ไปยังกระบี่โบราณเล่มที่ผูกไว้บนต้นไม้โบราณ ยิ้มอธิบายว่า “พี่ฝู คุณชายหัว กระบี่เล่มนี้คือกระบี่พกประจำตัวของเซียนกระบี่ลู่ฝ่าง ในอดีตเคยมาท่องเที่ยวที่นี่ หลังจากดื่มเหล้าเมามายลู่ฝ่างก็เอากระบี่มาผูกไว้ที่นี่”
ในใจไต้หยวนนินทาไม่หยุด บรรพจารย์เกาบ้านตนรู้จักวางตัวเป็นคนจริงๆ แขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนล้วนไม่ล่วงเกินใครสักคน
คนหนึ่งคือเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตก่อกำเนิด ต่อให้อยู่ในใบถงทวีปในอดีตก็ถือว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลู่ฝ่างคือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา หากฝ่าทะลุขอบเขตขึ้นมาก็จะมีโอกาสได้กลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนคนแรกของทวีป
ประเด็นสำคัญคือลู่ฝ่างยังเป็นสหายรักบนภูเขาของเจียงซ่างเจิน น่าเสียดายที่ลู่ฝ่างหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุนานหลายปี แม้แต่ในสงครามครั้งนั้นก็ยังไม่ได้ปรากฏตัว มีเพียงข่าวลือเล็กๆ บอกว่าลู่ฝ่างไปเยือนอารามกวานเต๋าของตงไห่ ใช้สถานะของ ‘เจ๋อเซียนเหริน’ ตามหาโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่นั่น
ลู่ฝ่าง ฝูหนันหัวท่องชื่อนี้อยู่ในใจเงียบๆ สองรอบ
เดินเรือบนบก? ทำไมถึงได้ตั้งชื่อไม่เป็นมงคลเช่นนี้
ฝูหนันหัวหันไปมองรัชทายาทสกุลอวี๋ เอ่ยขออภัยว่า “เดิมทีข้าควรไปเยี่ยมเยือนองค์รัชทายาทที่เมืองลั่วจิงด้วยตัวเอง เพียงแต่ครั้งนี้เดินทางข้ามทวีปลงใต้ จะต้องเจอกับคู่ค้าหลายคนที่นี่ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกตนต่างทวีป กังวลว่าหากเจอกันที่เมืองลั่วจิง ทุกวันนี้องค์รัชทายาทรับผิดชอบดูแลแคว้น คงต้องเสียสมาธิอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงได้แต่ให้เจ้าประมุขเกาเชื้อเชิญให้องค์รัชทายาทมาพบเจอกันที่นี่ ตามมารยาทแล้วไม่เหมาะสม ข้าจำเป็นต้องเอ่ยขออภัยองค์รัชทายาทสักคำ”
พูดมาถึงตรงนี้ ฝูหนันหัวก็ถึงกับประสานมือก้มหัวคารวะอวี๋หลินโหยวอีกครั้ง ถือเป็นการขอขมา
อวี๋หลินโหยวรีบคารวะกลับคืน “ฝูเซียนซือกล่าวหนักเกินไปแล้ว”
ทุกวันนี้คนทั้งทวีปล้วนรู้ว่านักลงทุนที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์สกุลอวี๋มีทั้งตระกูลโหวที่แสดงตัวอย่างเปิดเผย และยิ่งมีตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าที่อยู่เบื้องหลังตระกูลโหว
หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังทั้งในทางลับและทางแจ้งจากตระกูลฝู เรื่องของการสร้างราชวงศ์สกุลอวี๋ขึ้นมาใหม่ย่อมไม่มีทางทำได้เร็วขนาดนี้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบราชวงศ์ใหญ่ของใบถงทวีปแล้ว
เพียงแต่ว่าสิบราชวงศ์ใหญ่ในทุกวันนี้มีเกือบครึ่งที่ต่างก็มีคนเบื้องหลังอย่างเช่นตระกูลฝูนี้ บางคนก็กระทำการกำเริบเสิบสาน บ้างก็ค่อนข้างทำอย่างคลุมเครือ เหมือนเงาตะคุ่ม ผลุบๆ โผล่ๆ
ดังนั้นครั้งนี้อวี๋หลินโหยวติดตามเกาซูเหวินมาที่พรรคชิงจ้วน ก็ได้เตรียมใจที่จะต้องมารับความคับแค้นใจจากฝูหนันหัวแล้ว
ฝูฉีเจ้านครปิดด่านเกือบสองปีแล้ว
อันที่จริงหลายปีมานี้หลังสงครามสิ้นสุดลง ตระกูลฝูก็มีฝูหนันหัวที่จัดการกิจธุระต่างๆ ให้ตลอด และคู่แข่งใหญ่สุดอีกสองคนที่จะช่วงชิงตำแหน่งเจ้านครนอกจากฝูหนันหัวอย่างพี่ชายฝูตงไห่และพี่สาวฝูชุนฮวาแล้ว อันที่จริงต่างก็เท่ากับว่าถอยออกจากการช่วงชิงตำแหน่งเจ้านครของนครมังกรเฒ่าอย่างเป็นทางการแล้ว
แต่ตอนที่ฝูหนันหัวยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทร ฝูตงไห่และฝูชุนฮวา ทั้งสองต่างก็เป็นเซียนดินโอสถทองกันแล้ว อีกทั้งแต่ละคนก็ได้ดูแลเส้นทางการค้าคนละเส้น ล้วนทำกันได้ไม่เลว ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าฝูฉีจะยังลำเอียงรักบุตรชายคนเล็กอย่างฝูหนันหัวมากที่สุด ก่อนจะปิดด่านก็ได้มีการเรียกประชุมศาลบรรพจารย์ ครั้งนี้เขาปิดด่าน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หลังจากเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ฝูหนันหัวก็จะต้องได้รับตำแหน่งเจ้านครต่อ
และก่อนที่ฝูฉีจะปิดด่าน อันที่จริงก็ได้ส่งบุตรชายหญิงคู่นั้นออกไปข้างนอกแล้ว เซียนดินทั้งสองคนจึงเหมือนอ๋องเจ้าเมืองที่ต้องออกจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรรากฐานของนครมังกรเฒ่าก็ลึกล้ำ เคยซื้อภูเขาและเรือนจำนวนมากไว้ตามสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่เหนือนครมังกรเฒ่าขึ้นไปโดยปล่อยว่างไว้มานานหลายปี
——