กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 925.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า)
อีกทั้งภรรยาที่ฝูหนันหัวแต่งเข้าบ้านอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมก็เป็นทายาทสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแห่งแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรรัชทายาทอวี๋หลินโหยวก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสุภาพมีมารยาทกับตนมากขนาดนี้
นอกจากนี้มีบรรพจารย์ตระกูลฝูท่านหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลอาวุธกึ่งเซียนซึ่งใช้ในการโจมตีที่มีความสัมพันธ์คล้ายคลึงกับผู้ถ่ายทอดมรรคาบนภูเขาของฝูหนันหัว เขาปิดด่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
หากออกจากด่าน ตระกูลฝูก็อาจจะมีขอบเขตหยกดิบเพิ่มมาคนหนึ่ง หากเจ้านครฝูฉีก็ฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จเหมือนกัน ตระกูลฝูก็จะได้ครอบครองผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนถึงสองคนในเวลาเดียวกัน
จู๋ซวินกระตุกชายแขนเสื้อของสามี รัชทายาทพยักหน้ายิ้มรับ ใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องกริ่งเกรงมากนัก นางถึงได้ถามเสียงเบาว่า “ฝูเซียนซือ ได้ยินมาว่าสตรีตระกูลฝูของพวกท่านเป็นผู้กล้าหลายคน อีกทั้งฐานะในตระกูลยังสูงมากด้วย ถึงขั้นที่ว่ามีสตรีไม่น้อยเคยรับตำแหน่งเป็นเจ้านครของนครมังกรเฒ่ามาก่อน?”
ฝูหนันหัวยิ้มเอ่ย “เป็นเช่นนี้จริง ตระกูลฝูของพวกเราไม่เคยให้ความสำคัญกับบุรุษดูแคลนสตรี คนนอกถึงขั้นยังรู้สึกว่าพวกเราให้ความสำคัญกับสตรีดูแคลนบุรุษหรือไม่”
จู๋ซวินมีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อนายน้อยผู้สุภาพอ่อนโยนผู้นี้
หนึ่งเพราะถูกชะตา อีกหนึ่งมีสาเหตุมาจากคนเปรียบเทียบกับคน ของเปรียบเทียบกับของ
พูดถึงแค่แคว้นจินหู่ที่อยู่ในอันดับท้ายสุดของราชวงศ์ใหญ่สิบแห่ง ขั้นตอนการขึ้นครองราชย์ของโอสรสวรรค์ในทุกวันนี้มิอาจไม่พูดว่าคดเคี้ยวมีแต่อุปสรรค ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวพันไปถึงการแข่งขันด้วยกำลังระหว่างผู้ฝึกตนทวีปอื่นกับผู้ฝึกตนในพื้นที่ สุดท้ายสำนักแห่งหนึ่งในธวัลทวีปเป็นฝ่ายชนะไป งูเจ้าถิ่นมิอาจกดข่มมังกรข้ามแม่น้ำได้ เป็นเหตุให้บุคคลอันดับหนึ่งและอันดับสองของที่ว่าการเก้ามนตรีเล็กใหญ่ทั้งหลาย ขุนนางสำคัญเกือบครึ่งในราชสำนักของเมืองหลวงแคว้นจินหู่ต่างก็มีสำนักต่างถิ่นแห่งนี้เป็นผู้เลือก ฮ่องเต้รับหน้าที่แค่ออกพระราชโองการเท่านั้น
เล่าลือกันว่าเซียนซือของสำนักแห่งนี้ เมื่ออยู่กับขุนนางใหญ่บุ๋นบู๊ของแคว้นจินหู่ พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ชี้หน้าด่าเหมือนสั่งสอนบุตรชายอย่างไรอย่างนั้น
ภายหลังรองเจ้าขุนเขาคนหนึ่งของสำนักศึกษาเทียนมู่ เวินอวี้มาเยือนแคว้นจินหู่ด้วยตัวเอง จวนเซียนต่างถิ่นที่เท่ากับว่าเป็นไท่ซ่างหวงของแคว้นจินหู่ถึงได้ยอมสำรวมขึ้นหน่อย
ผ่านไปไม่นานนักก็มีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้ครองยศวิญญูชนของสำนักศึกษาเทียนมู่ และนักปราชญ์หนุ่มคนหนึ่งของสำนักศึกษาต้าฝูที่มีชื่อว่าหยางผู่ พากันมารับหน้าที่เป็นเจ้ากรมพิธีการและเส้าชิงศาลหงหลูของแคว้นจินหู่
เพียงไม่นานก็มีพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาสกุลเจียงของสำนักกุยหยกที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ถึงได้ให้แคว้นจินหู่ยืมเงินก้อนโตโดยไม่คิดดอกเบี้ย อีกทั้งยังชี้ตัวว่าต้องการให้เส้าชิงศาลหงหลูที่ชื่อว่าหยางผู่รับผิดชอบดูแลรายการใช้จ่ายทั้งหมดของเงินก้อนนี้ ขุนนางศาลหงหลูคนหนึ่งจะดูแลการเงินและภาษีได้อย่างไร จะไม่สลับตำแหน่งกันมั่วหรอกหรือ ราชสำนักแคว้นจินหู่จึงได้แต่จัดตั้งตำแหน่งขุนนางเฉพาะกาลอย่างตำแหน่งผู้ดูแลการเบิกจ่ายขึ้นมาชั่วคราว ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สร้างขึ้นเพื่อหยางผู่โดยเฉพาะ
อวี๋หลินโหยวเอ่ยเสียงเบา “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ทุกวันนี้ฝูเซียนซือมีขอบเขตอะไรแล้ว?”
หากเป็นขอบเขตก่อกำเนิด เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายมาเป็นราชครูของราชวงศ์สกุลอวี๋จะเป็นไรไป?
ฝูหนันหัวเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “พูดไปแล้วก็น่าละอายใจ เป็นแค่โอสถทองเท่านั้น”
พรรคชิงจ้วนมีเซียนดินโอสถทองแค่สองคน เกาซูเหวินได้ยินก็ทำสีหน้าไร้อารมณ์ เฉยชาเป็นปกติ ไต้หยวนตีหน้าเคร่งแอบขำอยู่กับตัวเอง
เซียนดินโอสถทองที่อายุน้อยขนาดนี้บอกว่าตัวเองละอายใจ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่อยู่ที่นี่ในเวลานี้ อันที่จริงก็มีสามคน ใครที่อายุมากที่สุด? ขอบเขตหยุดชะงักมานานที่สุด? ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้าไต้หยวนก็แล้วกัน
สตรีแซ่เหมียวผู้นั้นขมวดคิ้วน้อยๆ ผลคือหันไปเห็นสายตาเย็นชาของสาวใช้พกดาบคนหนึ่งข้างกายฝูหนันหัวเข้าพอดี
ผู้ฝึกตนหญิงของพรรคชิงจ้วนที่ดูแลเงินผู้นี้รู้สึกเพียงว่าเสียวสันหลังวาบในชั่วพริบตา ก่อนจะรีบเก็บสีหน้า ไม่กล้าอาละวาดอีก
ความสัมพันธ์ระหว่างสองทวีปที่อยู่เหนือใต้มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน
แจกันสมบัติทวีปในอดีต คนที่มาจากทางใต้ล้วนเป็นนายท่านใหญ่
ใบถงทวีปในทุกวันนี้ คนที่มาจากทางเหนือล้วนเป็นคนอำมหิต
ฝูหนันหัวไม่มีอารมณ์มาจงใจหยอกเย้าโอสถทองเฒ่าสองคนอย่างเกาซูเหวินและไต้หยวนจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันบางส่วนในอดีต ไยตนจะไม่ใช่ ‘โอสถทองเฒ่า’ เล่า?
หวนนึกถึงกลุ่มคนที่ออกท่องถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ไม่ต้องพูดถึงเจียงอวิ้นที่ถือว่าเป็นญาติกันครึ่งตัว พูดถึงแค่ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง เวลานั้นไม่ว่าจะคุณสมบัติด้านการฝึกตน ผลเก็บเกี่ยวทางโชควาสนา ฝูหนันหัวต่างก็มองนางจากมุมของคนที่สูงส่งกว่า ผลคือทุกวันนี้แม้แต่นางก็ยังเป็นก่อกำเนิดแล้ว ไม่เพียงเข้าไปอยู่ในยอดเขาลวี่กุ้ยเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดนานแล้ว ยิ่งกลายเป็นบรรพจารย์หญิงที่มีที่นั่งอยู่ช่วงหน้าๆ ของศาลบรรพจารย์ภูเขาเมฆาเรืองอีกด้วย
แต่ตนกลับยังมองไม่เห็นคอขวดขอบเขตโอสถทองเลยด้วยซ้ำ
แล้วก็โชคดีที่ภูเขาเมฆาเรืองยังไม่เลื่อนเป็นสำนัก ไม่อย่างนั้นไปแสดงความยินดีที่นั่น ได้เจอกับไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัวก็ไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรกับนางได้แล้ว
ส่วนใครบางคนก็ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง
ฝูหนันหัวแค่คิดก็หงุดหงิดใจ ตั้งแต่แรกที่เป็นความไม่ยินยอม จนมาเป็นการถอดใจอย่างสิ้นเชิง ถึงรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ สุดท้ายก็ไม่ไปคิดถึงมันเสียเลย
เคยเป็นเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ต่ำต้อยราวกับมดปลวกเองนะ
ฝูหนันหัวถอนหายใจในใจหนึ่งที เรื่องราวในอดีตมิกล้าหวนนึกถึง
ในเมื่อทนย้อนมองกลับไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมองไปข้างหน้าก็แล้วกัน
ได้ยินว่าหวงจงโหวเจ้าแห่งยอดเขาเกิงอวิ๋นได้สร้างคุณความชอบใหญ่หลวง เท่ากับว่าช่วยให้ภูเขาเมฆาเรืองข้ามผ่านด่านยากมาได้ เป็นเหตุให้เจ้าขุนเขาหญิงผู้นั้นเรียกประชุมศาลบรรพจารย์อย่างรวดเร็ว ผ่านการตัดสินใจร่วมกันไป หวงจงโหวจึงกำลังจะได้รับข้อยกเว้นให้ใช้ขอบเขตโอสถทองมารับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาคนใหม่ของภูเขาเมฆาเรือง
อีกทั้งเขายังเป็นเจ้าขุนเขาที่เป็นขอบเขตโอสถทองคนแรกในประวัติศาสตร์ของภูเขาเมฆาเรืองด้วย
ตระกูลฝูได้รับจดหมายเชื้อเชิญฉบับหนึ่ง ครั้งนี้ฝูหนันหัวกลับมาที่แจกันสมบัติทวีป อีกเดี๋ยวก็จะต้องไปเข้าร่วมงานพิธีรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนใหม่ที่ภูเขาเมฆาเรืองแล้ว
ฝูหนันหัวสนิทกับไช่จินเจี่ยนมาก แต่กับหวงจงโหวผีขี้เหล้าผู้นั้นกลับไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน
ในเมื่อไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหลายมาแล้ว เกาซูเหวินจึงพาคนจากไปอย่างรู้กาลเทศะ ทิ้งไว้เพียงคนนอกสองกลุ่มให้พูดคุยกัน ในฐานะเจ้าของต้นไม้ผูกกระบี่ ไต้หยวนย่อมต้องอยู่กับแขกต่อ
อวี๋หลินโหยวพูดคุยกับฝูหนันหัวตามมารยาทอยู่พักหนึ่งก็พาภรรยาขอตัวลากลับไป
ก่อนที่ฝูหนันหัวจะลงจากภูเขา รัชทายาทสกุลอวี๋จะต้องมาหาฝูหนันหัวเป็นการส่วนตัวอีกครั้งแน่นอน
ฝูหนันหัวยิ้มเอ่ยกับไต้หยวนว่า “ข้าเพิ่งมาถึงครั้งแรก ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพรรคชิงจ้วนมากนัก ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ไต้เซียนซือรับหน้าที่อะไรในพรรคแห่งนี้ เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎหรือเป็นผู้ดูแลคลังสมบัติ?”
ไต้หยวนตอบอย่างนอบน้อม “ตอบฝูเซียนซือ ข้าน้อยมีความรู้ความสามารถตื้นเขิน มิอาจรับตำแหน่งใหญ่ได้ แต่เจ้าประมุขเกาให้ความรักความเอ็นดู นอกจากจะดูแลต้นไม้ผูกกระบี่แล้วยังมีกิจการที่บ่อไข่มุกมรกตอีกแห่งหนึ่งที่ข้าก็เป็นคนดูแลด้วยเหมือนกัน”
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของอีกฝ่าย ด้วยวิธีการของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า คาดว่ารากฐานของพรรคชิงจ้วนบ้านตน บรรพบุรุษสิบแปดรุ่น ป่านนี้คงถูกอีกฝ่ายตรวจสอบมาอย่างชัดเจนแล้ว
ฝูหนันหัวขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนคล้ายไม่เข้าใจ เพียงแต่ไม่นานก็เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “คิดดูแล้วเจ้าประมุขเกาคงกังวลว่าสหายไต้จะมีกิจธุระให้ดูแลเยอะเกินไปแล้วจะถ่วงเวลาการฝึกตน”
น่าสงสารไต้หยวนที่เพิ่งจะใจชื้นกลับต้องใจหายวาบอีกครั้ง
ฝูหนันหัวถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นสหายไต้ที่อยู่เมืองลั่วจิงล่ะ?”
ไต้หยวนตอบ “ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท ทุกวันนี้จึงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานวงในด้วย”
ฝูหนันหัวเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าผู้ถวายงานวงในของราชวงศ์สกุลอวี๋ แม้ว่าจะไม่มีการแบ่งระดับสูงต่ำ เพียงแต่ว่าภายในก็มีลำดับก่อนหลังเหมือนกันกระมัง?”
ไต้หยวนเอ่ยอย่างระมัดรวัง “มีคนทั้งหมดสามสิบกว่าคน ข้าถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ แต่เจ้าประมุขเกาของพวกเราคือผู้ถวายงานอันดับรอง เป็นรองแค่เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของอารามจีชุ่ยเท่านั้น”
ฝูหนันหัวอืมรับหนึ่งที
ทว่าหัวใจของไต้หยวนกลับเร่าร้อนกระตือรือร้นขึ้นมา
อันดับแรกก็มีชุยเซียนซือ จากนั้นก็มีฝูเซียนซือ ทั้งสองต่างก็เป็นฝ่ายมาหาตน
คงไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องมงคลคู่มาเยือนอย่างที่กล่าวถึงในตำนานหรอกกระมัง?!
นับตั้งแต่ที่ออกจากมาสถานที่อันตรายอย่างภูเขาไท่ผิง เจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันรู้ตัว หลังจากนั้นมาก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเขาจะเริ่มแปรเปลี่ยน
ควรจะหาโอกาสกลับไปที่ซากปรักของภูเขาไท่ผิง จุดธูปคารวะสามดอกดีหรือไม่?
ตอนนี้มาย้อนนึกดู นั่นคือพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของตนเชียวนะ!
หลังแยกจากกับฝูหนันหัว ไต้หยวนเดินออกมาได้ระยะทางช่วงหนึ่งก็ไปที่บ่อไข่มุกมรกต สังเกตเห็นว่าดูเหมือนเกาป่ายจะรอตนอยู่กลางทาง จึงได้แต่ฝืนใจเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ลุงไปคำหนึ่ง
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์เกา หากจะพูดถึงลำดับอาวุโสบนทำเนียบ ไต้หยวนก็ควรจะเรียกเกาป่ายว่าอาจารย์ลุงจริงๆ
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าบนภูเขามีกฎของบนภูเขา ไต้หยวนคือเซียนดินโอสถทองของแท้แน่นอน ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นแค่ขอบเขตประตูมังกร อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็น่าจะมีลำดับอาวุโสเท่ากัน ถึงขั้นที่ว่าหากอยู่ในพรรคที่กฎเกณฑ์เข้มงวด อีกฝ่ายยังต้องยึดหลักผู้เยาว์ที่ต้องเคารพผู้อาวุโสแต่โดยดี ผลคือเจ้าคนผู้นี้อาศัยว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของบรรพจารย์เกา รวมไปถึงมีสถานะเป็นผู้คุมกฎ เวลาปกติเมื่อเจอตนก็ชอบเรียกคำแล้วคำเล่าว่าศิษย์หลานไต้
เกาป่ายยิ้มถาม “ศิษย์หลานไต้ วันนี้ดูแล้วสีหน้าไม่เลวจริง หรือว่าจะปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว?”
อาจารย์บอกกับตนเป็นการส่วนตัวว่า เจ้าไต้หยวนผู้นี้ เว้นเสียจากว่าโชคดีมาก ได้เจอกับโชควาสนาอีกอย่างหนึ่งนอกภูเขา ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ก็คงต้องยอมแพ้อยู่ในขอบเขตโอสถทองแล้ว ไม่ต้องเห็นเป็นสำคัญอะไรนัก
ไต้หยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่ไหนกันๆ ต่างก็พูดกันว่าโอสถทองหายาก คอขวดก็ยิ่งไม่มีหวังแล้ว ก็แค่ว่าคนเจอเรื่องดีสีหน้าย่อมสดใส”
ช่วงปลายปี ระหว่างทางยังคงมีดอกไม้ภูเขาเบ่งบานงดงาม ฝูหนันหัวเดินเท้าเนิบช้ากลับไปยังจวนที่พักแรม ก้มหน้าเป่าลมใส่มือด้วยความเคยชิน เบื้องหน้าคือไอหมอกขาวขมุกขมัว เงยหน้าขึ้นถูมือ เอ่ยว่า “โหวเต้า ต่อจากนี้ข้าจะไปพบโหวเหมี่ยนที่สำนักศึกษาอู่ซีสักรอบ พูดได้แค่ว่าจะไปลองดูก่อน แต่จะทำสำเร็จหรือไม่ ไม่รับประกัน”
คิดจะเกลี้ยกล่อมให้โหวเหมี่ยนกลับบ้านเกิดมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ระดับความยากมีไม่น้อย โหวเหมี่ยนที่เป็นบุตรอนุภรรยาเคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจจากทางตระกูลมาอย่างเต็มกลืน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ อย่างการที่ต้องทนฟังคำพูดร้ายๆ เท่านั้น
หากเปลี่ยนมาเป็นฝูหนันหัวก็จะเลือกตัดขาดความสัมพันธ์กับทางตระกูลเหมือนกัน ให้ตายก็จะไม่ยอมกลับมาเจอหน้าอีก ไม่พลิกเปิดบัญชีเก่ากับตระกูลโหวก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว
โหวเต้าพยักหน้าเอ่ย “ลองดูเถอะ หากไม่ได้จริงๆ ก็ช่างมัน”
โหวเต้าเอ่ยอย่างจนใจ “หากว่าอยู่ในตระกูลฝู ต้องไม่มีทางเกิดเรื่องชวนหงุดหงิดใจเช่นนี้แน่นอน ไม่ใช่เรื่องเงินหรือไม่เงินอะไร ปัญหาอยู่ที่ขนบธรรมเนียมประจำตระกูล ไม่อย่างนั้นต่อให้ตระกูลโหวของพวกเราจะไม่มีปัญญาเปรียบเทียบเรื่องกำลังทรัพย์กับตระกูลฝูมากแค่ไหน แต่เงินแค่ไม่กี่สิบตำลึงจะยังควักจ่ายไม่ได้อีกหรือ?”
ฝูหนันหัวยิ้มเอ่ย “ใครเป็นคนผูกคนนั้นก็ต้องแก้เอง หากท่านปู่ของเจ้ายินดีออกหน้า เป็นฝ่ายยอมรับผิดกับโหวเหมี่ยน เรื่องนี้ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น”
โหวเต้ารู้สึกจนใจเป็นทบทวี ได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่ควรกล่าววาจาล่วงเกินผู้อาวุโส เขาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก
ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก
สำหรับคนรุ่นผู้อาวุโสแล้ว หน้าตาสำคัญยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก
ฝูหนันหัวไม่ได้สาดเกลือลงไปบนบาดแผลของโหวเต้า แค่เอ่ยประโยคที่มีความหมายลึกล้ำว่า “ตระกูลโหวสะสมกำลังทรัพย์ได้อย่างในทุกวันนี้ ก็เพราะสาเหตุนี้ มีปัญหายุ่งยากอย่างในวันนี้ ก็เพราะเหตุนี้อีกเหมือนกัน”
โหวเต้าถอนหายใจ
ฝูหนันหัวยิ้มกล่าว “วันหน้าหากเจ้าเป็นประมุขตระกูลก็ยังมีโอกาสชดเชยแก้ไข เพราะถึงอย่างไรปีนั้นในตระกูลก็เป็นเจ้ากับโหวเหมี่ยนที่พอจะเหลือความสัมพันธ์ควันธูปไว้อยู่บ้าง ปีนั้นข้าไปสำนักศึกษากวานหู คนตระกูลโหวเพียงหนึ่งเดียวที่โหวเหมี่ยนยินดีพูดถึงก็มีแต่เจ้า”
โหวเต้าพยักหน้า “ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูดเมื่อครู่ โหวเหมี่ยนกลายเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาได้ย่อมต้องมีเหตุผล”
ในอดีตเรือข้ามทวีปทุกลำของแซ่ใหญ่หลายตระกูลซึ่งรวมถึงตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า ต่างก็ถูกราชสำนักต้าหลีเกณฑ์ไปใช้งาน มีเทพวารีเป็นผู้คุ้มกันให้ทางน้ำ ผ่านเส้นทางกุยซวีไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีทั้งสิ้นหกลำ เกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน เต่าทะเลภูเขาของตระกูลซุน ส่วนปลาวาฬกลืนสมบัติที่เป็นสัตว์ประหลาดยุคบรรพกาลของตระกูลฝู และยังมีภูเขาฝูคงที่ออกเงินขอให้สำนักโม่สร้างให้ เคยถูกขนานนามว่า ‘ห้อยหัวน้อย’ อันที่จริงก็คือเค้าโครงของเรือมหาบรรพตของราชสำนักต้าหลีในภายหลัง
แต่ตระกูลแซ่ใหญ่ทั้งหมดของนครมังกรเฒ่า นอกจากตระกูลติงแล้ว ดูเหมือนว่าภายในค่ำคืนเดียวต่างก็มีเรือข้ามทวีปเพิ่มมาหนึ่งลำ บนภูเขามีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ บอกว่าเป็นฝีมือของสกุลซ่งต้าหลี เท่ากับว่ากึ่งขายกึ่งยกให้นครมังกรเฒ่า
นอกจากตระกูลฝูแล้ว ซุน ฟาง โหว ติง ฟ่าน ล้วนเป็นแซ่ใหญ่ของนครมังกรเฒ่าทั้งสิ้น
หลังจากที่นครมังกรเฒ่าสูญเสียทะเลเมฆผืนนั้นไป ตระกูลฝูก็ยังคงได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสามชิ้น
ในอดีตตระกูลฟ่านถูกมองเป็นหมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่งให้กับตระกูลฝู อาศัยเศษน้ำแกงที่เหลือ กินไม่อิ่ม แต่ก็ไม่ถึงกับหิวตาย แค่ใช้ชีวิตผ่านชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
แต่ทุกวันนี้ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป ใครกล้าดูแคลนตระกูลฟ่าน เพราะฟ่านจวิ้นเม่า หรือก็คือพี่สาวของฟ่านเอ้อมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงซานจวินหญิงของมหาบรรพตทักษิณแล้ว
มากพอจะนั่งทัดเทียมกับตระกูลฝูได้แล้ว
——