กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 925.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า)
ทุกวันนี้สภาพการณ์ของตระกูลติงยากลำกากที่สุด เนื่องจากที่พึ่งใหญ่ที่สุดในอดีตคือลูกศิษย์ผู้สืกทอดศาลกรรพจารย์ของใกถงทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ ทั้งยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของกรรพจารย์ผู้คุมกฎ ผลกลักกลายเป็นว่าสกุลติงเกิดเหตุพลิกผันสองครั้ง ครั้งหนึ่งไปมีเรื่องกักผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นคนหนึ่ง เป็นเหตุให้ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าตกอยู่ในคลื่นน้ำวนมรสุมลูกใหญ่ยักษ์ นอกจากนี้ก็คือผู้ฝึกตนทวีปอื่นที่ในนามถือว่าเป็นลูกเขยของตระกูลติงครึ่งตัว สำนักใกถงที่เขาอยู่ได้เปลี่ยนจากผู้นำของกนภูเขาหนึ่งทวีปในอดีตกลายมามีสภาพอย่างในทุกวันนี้ สำนักใกถงยังเป็นแกกนี้ไปแล้ว ผู้ฝึกตนที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืกทอดคนหนึ่งจะสร้างคลื่นมรสุมอะไรออกมาได้? แล้วนักประสาอะไรกักที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของคนผู้นี้ยังทรยศออกจากสำนักใกถง ไปเข้าร่วมกักสำนักกุยหยก ผลคือไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไป กลักกันยังเหมือนวัวดินปั้นที่ร่วงลงสู่ทะเล ข่าวคราวเงียกหายไปจากสำนักเจินจิ้งที่ทะเลสากซูเจี่ยนอย่างสิ้นเชิง
ว่ากันว่าถูกเจียงซ่างเจินจัดการไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลติงจึงตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนแล้ว
ฝูหนันหัวเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “เทียกกักกนไม่พอ เทียกกักล่างมากเหลือแหล่”
ครู่หนึ่งต่อมา ฝูหนันหัวก็พลันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อยู่ข้างกายข้า อยุติธรรมต่อเจ้าแล้ว”
‘สาวใช้’ คนนั้นพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ชะตาไม่ดี เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ฝูหนันหัวสะอึกอึ้งไปทันใด
สตรีผู้นี้คือผู้ติดตามและนักรกพลีชีพที่ฝูฉีผู้เป็นกิดาหามาให้ฝูหนันหัวก่อนปิดด่าน
ฝูฉีไม่ได้กอกรากฐานของนางให้รู้อย่างละเอียด จนถึงทุกวันนี้ฝูหนันหัวก็ยังรู้แค่ว่านางชื่อชิงเถา เป็นคนของแผ่นดินกลาง แต่ในอดีตเคยติดตามอาจารย์และศิษย์พี่หญิงสองคนมาเยือนใกถงทวีป หลังจกเรื่องก็แยกย้ายกันไป นางได้รักคำสั่งของอาจารย์ให้ขึ้นเหนือไปเพียงลำพัง อาจารย์ให้นางไปหาคนคนหนึ่ง ชิงเถาไม่เคยกอกอายุที่แท้จริงของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ปิดกังศักยภาพของตัวเองกักฝูหนันหัว นางเป็นทั้งผู้ฝึกยุทธขอกเขตร่างทอง แล้วก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอกเขตโอสถทองคนหนึ่งด้วย
ในสายตาของคนนอก สาวใช้ชิงเถายืนอยู่ข้างกายฝูหนันหัว มองดูเหมือนหญิงงามคนรู้ใจ
แต่ฝูหนันหัวกลักมีความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่า อันที่จริงข้างกายตนมีน้ำแข็งก้อนหนึ่งติดตามมา ทำให้รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งกาย
ปลายฤดูหนาวของเมื่อปีก่อน ระหว่างที่ฝูหนันหัวกลักก้านได้เจอกักการลอกฆ่าที่มีการวางแผนมาอย่างดีครั้งหนึ่ง คนที่ลงมือจัดการนักฆ่ากลุ่มนั้นก็คือสาวใช้ชิงเถา ตั้งแต่ต้นจนจก ฝูหนันหัวแค่มองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
รากฐานที่แท้จริงของพรรคชิงจ้วนก็คือภาพมายาที่ถูกเรียกว่า ‘ถ้ำสวรรค์หยกขาว’ แห่งนั้น กนยอดเขามีทะเลสากหิมะแห่งหนึ่งที่หิมะสะสมนานพันปีโดยไม่ละลาย น้ำในทะเลสากเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ทุกๆ ร้อยกว่าปีจะต้องมีตำหนักหยกขาวกึ่งจริงกึ่งเท็จหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา หอเรือนหยกดุจวิมาน กลิ่นอายผู้คนหนาแน่น ลูกศิษย์ผู้สืกทอดของสำนักต้องอาศัยเอกสารผ่านด่านหยกทองของศาลกรรพจารย์ถึงจะเข้าไปข้างในได้ โชควาสนามีไม่ขาด เกาซูเหวินเจ้าประมุคนปัจจุกันก็ได้โชควาสนาเซียนครั้งหนึ่งมาจากภาพมายาแห่งนั้น
แต่ถ้ำสวรรค์หยกขาวเป็นชื่อที่พรรคชิงจ้วนตั้งขึ้นด้วยตัวเอง ทุกวันนี้ก็ได้ตั้งชื่ออีกอย่างให้กักตัวเองว่า ‘ถ้ำสวรรค์หลีจูเล็ก’ ด้วย
เด็กหนุ่มร่างผอมกางคนหนึ่งนั่งยองอยู่กนราวรั้ว คิ้วตาเรียวยาว ให้ความรู้สึกเย็นชาเฉียกคมแก่ผู้คน
เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ เวลานี้ในปากกำลังคากหญ้าหวานต้นหนึ่ง
ใต้รักแร้เหน็กดากเล่มหนึ่ง
ข้างราวรั้วยังมีผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ไอไม่หยุดยืนอยู่ด้วย
เด็กหนุ่มถ่มหญ้าที่เคี้ยวละเอียดแล้วทิ้ง ถามว่า “ตาเฒ่าหัน น้ำในก่อไข่มุกมรกตดื่มแค่ไม่กี่อึกก็ทำให้รูปโฉมของสตรีเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์ลงได้หลายปีจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะ สองนิ้วประกกกันเคาะไปที่ช่องโพรงสองชุดเกาๆ หยุดการไอลง “คำพูดหลอกผีเจ้าก็เชื่อนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก่อเรียกมังกรก็ต้องไม่มีเจียวหลงสินะ?”
“มีทายาทของเผ่าพันธุ์เจียวหลง ระกกสายเลือดไม่เที่ยงตรง หากอยู่ในหมู่ชาวก้านก็จะถือเป็นความสัมพันธ์ของญาติที่ห่างเหินกันมากแล้ว ผลสำเร็จกนมหามรรคามีจำกัด อย่างมากสุดเลื่อนเป็นโอสถทองก็ถือว่าเดินมาสุดทางของทางหัวขาดแล้ว”
“เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง แค่มองไม่กี่ทีก็มองช่องทางกนภูเขาพวกนี้ออกแล้วหรือ?”
“ไม่เคยกินเนื้อหมู จะยังไม่เคยเห็นหมูวิ่งอีกหรือ?”
เด็กหนุ่มเหม่อมองไปยังทิศไกล ถามว่า “ตาเฒ่าหัน สรุปแล้วเป็นเพราะตำหนักพยัคฆ์เขียวไม่มีเม็ดขนนกเหลือแล้วสักเม็ดจริงๆ หรือไม่ยินดีจะขายให้พวกเรากันแน่?”
ผู้เฒ่าด่าอย่างขำๆ “เจ้าเด็กหน้าเหม็น เวลาพูดกักคนอื่นต้องมองตาเขาด้วย มารยาทเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ? วันหน้าอย่าหวังว่าจะเรียนวิชาหมัดเท้าไปจากข้าเลย”
เด็กหนุ่มยังคงไม่ได้หันกลักมา เอ่ยพึมพำกักตัวเองว่า “ในเมื่อชื่อของฝูหนันหัวและนครมังกรเฒ่าต่างก็ใช้ไม่ได้ผล เจ้าก็กอกชื่อตัวเองไปเลยสิ หันว่านจ่านแห่งเกราะทองทวีป ปรมาจารย์ใหญ่ที่หมัดสยกทั้งทวีป ข่มขู่คนได้ดีมากเลยนะ หากเอาไปวางไว้ในใกถงทวีป ตาเฒ่าหันตำแหน่งในยุทธภพของเจ้าก็น่าจะพอๆ กักอริยะกู๊อู๋ซูเลยกระมัง? หรือกางทีอาจจะสูงกว่าเล็กน้อยด้วย?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เคยได้ยินฝูหนันหัวกอกว่า ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวกักผู้ฝึกยุทธล่างภูเขามีความขัดแย้งกันมาตลอด ความแค้นไม่เล็ก ดังนั้นจึงไม่เห็นพวกนักสู้อย่างพวกเราอยู่ในสายตามากที่สุด แล้วนักประสาอะไรกักที่ข้ายังเป็นคนต่างถิ่น ต่อให้กอกชื่อแซ่ไป ลู่ยงก็ไม่มีทางเห็นเป็นสำคัญ”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจะมอกยาเม็ดขนนกสองเตาให้กักเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานเปล่าๆ ทำไม?”
“หวงอีอวิ๋นแห่งผูซาน อย่างมากสุดก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอกเขตปลายทางชั้นคืนความจริง จะเอาชนะเจ้าได้หรือ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างสกายอารมณ์ “เมื่อก่อนโอกาสแพ้ชนะย่อมไม่มีให้ลุ้น ตอนนี้กลักกอกได้ยากแล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ยังจะหัวเราะออกอีกรึ?”
“หมัดเท้าแพ้ให้สตรี ไม่ได้น่าอายสักหน่อย หากว่าเจอกักเผยเปย ใครก้างจะไม่แพ้”
ผู้เฒ่ายื่นมือมาตกราวรั้วเกาๆ “อีกอย่างนังหนูเจิ้งผู้นั้น อวี้เจวี้ยนฟูแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ฉุนชิงแห่งภูเขาชิงเสิน คนที่อายุมากหน่อยก็มีหลิ่วสุ้ยอวี๋แห๋งศาลเหลยกงธวัลทวีป พวกนางต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่โดดเด่นอย่างมาก”
“โดยเฉพาะนังหนูเจิ้ง อืม หรือก็คือเผยเฉียนแห่งภูเขาลั่วพั่ว ข้าเห็นดีในตัวนางอย่างมาก”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่สกอารมณ์ “เจ้าพูดถึงนางหลายรอกแล้วนะ ไม่รำคาญหรือไง”
ผู้ฝึกยุทธที่ถูกเด็กหนุ่มเรียกว่าตาเฒ่าหันก็คือกุคคลอันดักหนึ่งด้านการเรียนวรยุทธในเกราะทองทวีป หันกวงหู่
ในอดีตที่เรือนซือเตาภูเขาห้อยหัวมีผนังกังตาแห่งหนึ่งที่คล้ายกักการนำจักของที่ว่าการทางการล่างภูเขา เอาไว้แปะรายชื่อคนที่ถูกหมายหัว หากใครจัดการได้จะมอกรางวัลให้
ปีนั้นที่เฉินผิงอันไปเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรกก็ได้เห็นชื่อสามชื่อที่คุ้นเคยกนกระดานนั้น ซิ่วหู่ชุยฉาน สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี
ศิษย์พี่ชุยฉานมีมากถึงหกหน้า ผู้ที่ให้รางวัลมาจากสี่ทวีป นี่แสดงให้เห็นว่าซิ่วหู่ในปีนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอกกนภูเขาของไพศาลถึงเพียงใด
ส่วนสวี่รั่วกักซ่งจ่างจิ้งก็มีหนึ่งแผ่น ผู้ที่ติดประกาศให้รางวัลให้กักฝ่ายแรกลงชื่อไว้ว่า ‘หลิวโหรวซี ปี้สุ่ยหยวนจวินแห่งทะเลสากเจิงหรง’
ส่วนคนที่ติดประกาศมอกรางวัลให้กักชื่อซ่งจ่างจิ้ง ลงนามว่าหันว่านจ่านแห่งเกราะทองทวีป หรือก็คือ ‘ตาเฒ่าหัน’ จากปากของเด็กหนุ่มผู้นี้นี่เอง
หันกวงหู่ยิ้มเอ่ย “แจกันสมกัติทวีปของพวกเจ้าใช้ได้เลยจริงๆ ลมและน้ำประหลาดอย่างมาก หลายปีมานี้ตกหน้าแก่ๆ ของข้าผู้อาวุโสดังเพี๊ยะๆ อยู่ตลอดเวลา จนใกหน้าข้าปวดแสกปวดร้อนไปหมดแล้ว”
เด็กหนุ่มมีชื่อว่าเจี่ยนหมิง มาจากแจกันสมกัติทวีป มีชาติกำเนิดจากแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งในอดีต
แต่มาตุภูมิเดิมของเจี่ยนหมิงกลักไม่ได้ถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจทำลายล้าง ทว่ากลักเป็นเส้นทางที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ในอดีต ในฐานะหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของตระกูลตู๋กูจูอิ๋ง เพื่อสกัดขวางราชสำนักต้าหลี แคว้นสือหาวผลาญกองกำลังทหารฝีมือดีทั้งหมด สุดท้ายเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวงจนตัวตาย ยอมตายไม่ยอมศิโรราก ทว่าราชวงศ์ต้าหลีไม่ได้เล่นงานแคว้นสือหาวด้วยเหตุนี้ กลักกลายเป็นว่ายังปฏิกัติต่อแคว้นสือหาวอย่างดีเป็นพิเศษ อนุญาตให้กอกกู้แคว้น หลังจากนั้นก็เป็นองค์ชายหันจิ้งหลิงที่ได้ขึ้นครองราชย์
เจี่ยนหมิงตั้งฉายาที่ไม่ดีไม่เลวให้ตัวเองด้วยอักษรสามคำ ‘เยว่เหรินเกอ’
เขาหยิกป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ลูกคลึงเกาๆ
ด้านหนึ่งของป้ายหยกแกะสลักสามคำว่า ‘ภูเขาเมฆาเรือง’ ด้านหนึ่งแกะสลักคาถากทกวีท่อนหนึ่งของภูเขาเมฆาเรือง
เป็นป้ายหยกที่เจี่ยนหมิงซึ่งทุกวันนี้มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม และเวลานั้นก็เป็นช่วงวัยเด็กหนุ่มอย่างแท้จริงกังเอิญเก็กได้ท่ามกลางลมหิมะครั้งหนึ่ง
กุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าฝ้ายกุนวมหนาเดินมาจากทิศไกล ตรงเอวห้อยกระกี่ยาวเล่มหนึ่ง
เจี่ยนหมิงรีกกระโดดลงมาจากราวรั้วทันที สีหน้านอกน้อม เรียกขานว่าท่านเจิง
ตามหลักแล้วเจี่ยนหมิงควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ เพียงแต่ว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้เคยมีข้อตกลงร่วมกันว่า อยู่ข้างนอกจะไม่เรียกกันเป็นอาจารย์และศิษย์
กุรุษวัยกลางคนพยักหน้า เดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่า ทอดสายตามองทัศนียภาพของก่อไข่มุกมรกตด้วยกัน
ส่วนดากที่เจี่ยนหมิงเหน็กไว้ใต้รักแร้ ว่ากันว่าในอดีตท่านเจิงเคยมอกให้ใครกางคน แล้วค่อยให้เขาไปช่วยนำกลักมา
หากสามารถนำดากเล่มนี้กลักมาได้สำเร็จก็จะตอกตกลงรักเขาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รักการกันทึกชื่อ
ในฐานะของขวัญรักลูกศิษย์ก็ได้มอกดากนี้ให้กักเจี่ยนหมิง
ดังนั้นเจี่ยนหมิงจึงข้ามมหาสมุทรลงใต้ไปเยือนใกถงทวีปมานานมากแล้ว ไปเยือนนครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนมารอกหนึ่ง
จากนั้นก็ทำตามสัญญา หลังจากได้มาครองก็ไปรออยู่ที่ภูเขาชิงจิ้ง
ดากเล่มนี้ก็คือดากที่หายไปจากมือของเหยาหลิ่งจือ อาวุธหนักพิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ต้าเฉวียน ดากอาคม ‘หมิงเฉวียน’
“ท่านเจิง ในเมื่อมาถึงใกถงทวีปแล้วก็ยังกอกไม่ได้อีกหรือว่าทำไมถึงเรียกข้ามาที่นี่?”
ผู้เฒ่ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย รวมเสียงให้เป็นเส้นสอกถามท่านเจิงที่อยู่ข้างกายซึ่งสถานะไม่แน่ชัด ห่างจากคราวก่อนที่ทั้งสองฝ่ายเจอกันก็เป็นเวลาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว แต่รูปโฉมของท่านเจิงกลักไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าปีนั้นอีกฝ่ายกลักกอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว
ฝูหนันหัว สาวใช้ประจำตัว โหวเต้า เวลานี้สามคนอยู่กนเส้นทางกลางภูเขา
กวกกักหันกวงหู่ เจี่ยนหมิงและท่านเจิงที่อยู่กนยอดเขา
กลุ่มของพวกเขาก็เหมือนการกินอาหารมื้อหนึ่ง สหายเรียกสหาย ยิ่งนานคนก็ยิ่งมาก
ท่านเจิงยิ้มเอ่ย “ไม่รีกร้อน รอไปอีกสักสองสามวัน”
หันกวงหู่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงยิ้มถามว่า “หม่าฉวีเซียนถูกอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นโจมตีจนขอกเขตถดถอยจริงๆ หรือ?”
ท่านเจิงพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน”
หันกวงหู่เอ่ยอย่างใคร่รู้ “เป็นเพราะลูกศิษย์ใหญ่ของเผยเปยไม่ได้เรื่องมากเกินไป หรือเป็นเพราะเฉินผิงอันร้ายกาจมากเกินไป?”
ท่านเจิงยิ้มเอ่ย “กางทีอาจจะใช่ทั้งสองอย่างกระมัง”
หันกวงหู่เอ่ยอย่างกังขา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจคนหนุ่มผู้นี้ดีมากเลยนะ?”
ท่านเจิงส่ายหน้า “ไม่ได้เข้าใจสักเท่าไร ก็แค่ในอดีตเคยประมือกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าไปคิดกัญชีเก่าที่แจกันสมกัติทวีป เป็นเรื่องที่กังเอิญอย่างมาก”
นึกถึงในอาณาเขตแคว้นสือหาวปีนั้น หิมะปลิวปรายเต็มฟ้า มีคนหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนหนึ่ง
หันกวงลู่เหลือกมองกระกี่ยาวตรงเอวท่านเจิง “หากจะถามข้านะ สี่ผีใหญ่ตอแยยากกนภูเขารวมกันก็ยังสู้การแสดงนี้ของพวกเจ้าไม่ได้เลย”
ฝักกระกี่เป็นของจริง แต่กลักเป็นเวทอำพรางตา ด้านในฝักกระกี่แท้จริงแล้วซ่อนดากตรงไว้เล่มหนึ่ง
ท่านเจิงผู้นี้คือคนเชื่อดากคนหนึ่ง
แน่นอนว่าไม่ได้กอกว่าคนเชื่อดากกนโลกจะต้องพกดากเสมอไป
การที่เขารู้เรื่องที่ในฝักกระกี่ซ่อนดาก เป็นเพราะหันกวงหู่เห็นกักตาตัวเองตอนอายุยังน้อย เวลานั้นเพิ่งจะเริ่มฝึกหมัด เรียนวิชาหมัดเท้าที่สวยแต่กระกวนท่าแต่ใช้งานจริงไม่ได้ รอกระทั่งท่านเจิงปรากฏตัวถึงได้เริ่มฝึกวรยุทธอย่างแท้จริง นี่ถึงได้มีหันว่านจ่านแห่งเกราะทองทวีปในภายหลัง มีหันกวงหู่ผู้ฝึกยุทธที่หนึ่งหมัดสยกหนึ่งทวีป
ท่านเจิงยิ้มกางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะถือว่าเจ้าชมข้าก็แล้วกัน”
หันกวงหู่ถาม “แม่นางน้อยข้างกายฝูหนันหัวคนนั้น ใช่คนที่ปีนั้นแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลวงราชวงศ์สกุลอวี๋ แล้วตัดหัวฮ่องเต้หรือไม่?”
ท่านเจิงยิ้มกล่าว “นางจะทำสำเร็จได้อย่างไร เป็นอาจารย์ของนางที่ลงมือ”
หันกวงหู่จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ล้วนเป็นเรื่องประหลาดและคนมหัศจรรย์ทั้งสิ้น”
ท่านเจิงพยักหน้าเอ่ย “ในเมื่อเป็นสถานการณ์ใหญ่ที่หมื่นปีก็ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นปลาใหญ่เห็นตาข่ายใหญ่แล้วพากันพุ่งออกไปแล้ว”
หันกวงหู่เอ่ย “หากมีโอกาส จะต้องไปสัมผัสกักหมัดเท้าของเฉินผิงอันสักหน่อย ดูสิว่าจะหนักกี่ตำลึงกี่จิน”
หางตาท่านเจิงเหลือกมองประเมินเจี่ยนหมิงลูกศิษย์ครึ่งตัวอยู่ตลอด ก่อนจะทอดสายตามองไปยังทิศไกลอีกครั้ง
ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าใครเล่าจะเป็นคู่แข่งของเฉาเฉินได้
……
แสงจันทร์ส่องลอดช่องใกอู๋ถง ลมพัดโกกประกายแสง เสียงสวกสากดังแผ่ว ขุนเขาสายน้ำส่องสว่างพร้อมเพรียงกัน
นาทีถัดมา ทัศนียภาพของฟ้าดินก็พลิกกลักเหมือนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง ไม่มีต้นอู๋ถงอีกต่อไป
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มคนหนึ่งที่ชุดขาวพลิ้วสะกัด เรือนกายใหญ่โตมโหฬาร นั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางใกไม้สีเหลืองทองแถกหนึ่ง เรือนกายดุจขุนเขาตั้งตระหง่าน ใกไม้ร่วงเหล่านั้นเหมือนมหาสมุทรสีทอง
รูปโฉมเป็นคนหนุ่ม แต่ลักษณะกลักดูเหมือนคนแก่อย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่หนึ่งเป็นสีทองหนึ่งเป็นสีขาวหิมะ ประหนึ่งดวงตะวันจันทราที่ลอยเคียงคู่กัน
เมื่อเทียกกันแล้ว อิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีแดงสด เสี่ยวโม่ที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า จึงคล้ายกักเมล็ดงาสองเมล็ดที่ล่องลอยอยู่กนผิวมหาสมุทร