กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 925.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า)
เวลานี้เฉินผิงอันพกดาบคู่ไว้ตรงเอว ฝ่ามือดันด้ามดาบ กระบี่ยาวเย่โหยวลอยอยู่ข้างกาย ก้มหน้าลงมองบุคคลเก่าแก่ที่เรือนกายก็คือหอสยบปีศาจผู้นั้น
จำได้ว่าก่อนหน้านี้อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เคยอาศัยยันต์สามภูเขาเดินทางผ่านมหาบรรพตชิงซาน ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ของซานจวินผู้นั้นจะเหมือนกับคนตรงหน้านี้อยู่เจ็ดแปดส่วน
ซานจวินมหาบรรพตที่มีฉายาว่าปี้อู๋ มีดวงตาดำสองชั้นสาดประกายแปดสี สวมผ้าคลุม ชุดสีแดงก่ำ เท้าสวมรองเท้าสาน แผ่กลิ่นอายโบราณเก่าแก่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าซานจวินปี้ถงผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับต้นอู๋ถงต้นนี้
ตามบันทึกในช่วงแรกเริ่มสุดของศาลบุ๋น มีการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างเรียบง่าย ช่วงต้นของปฏิทินเหลืองเก่าแก่ทั้งหลายได้มีการแบ่งบุคคลบางส่วนที่อยู่ระหว่างฟ้าดินอย่างไว้หยาบๆ โดยแบ่งออกเป็นสองชนิดได้แก่ ‘เทพเจ้า’ และ ‘ตัวประหลาด’
เสี่ยวโม่บิดหมุนไม้เท้าเดินป่าสีเขียวในมือเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายมีมรรคกถาสูงถึงเพียงนี้ ทำเอาข้าที่ได้เห็นต้องแหงนมองจนปวดคอเลยทีเดียว”
การเดินทางหาประสบการณ์ครั้งนี้ก็เป็นเพราะติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย เสี่ยวโม่ถึงได้พูดง่ายเช่นนี้ หากเป็นเมื่อหมื่นปีก่อน ป่านนี้คงลองสืบเสาะให้รู้ดำรู้แดงกันไปแล้ว
ในยุคบรรพกาลฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ อาณาเขตกว้างไกลถึงเพียงใด ใต้หล้าห้าแห่งของทุกวันนี้รวมกันแล้ว อาณาเขตก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบขนาดของในอดีตได้ติด จำนวนของเผ่ามนุษย์ ในช่วงแรกเริ่มไม่มีค่าพอให้พูดถึงด้วยซ้ำ คำว่าการสืบพันธ์แตกกิ่งก้านสาขาก็เป็นแค่การมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ อย่างถูไถเท่านั้น รอกระทั่งเวทคาถาประหนึ่งสายฝนพร่างพรมลงมายังโลกมนุษย์ ผู้ฝึกตนประเภทต่างๆ ประหนึ่งหญ้าป่าที่ขยายแผ่ลามออกไป และในฐานะผู้นำของหมื่นสรรพสิ่งที่เกิดมาก็เหมาะแก่การฝึกตนที่สุด เผ่ามนุษย์ก็ราวกับเป็น ‘นักพรตแต่กำเนิด’ อย่างไรอย่างนั้น เป็นเหตุให้เผ่าพันธ์ทั้งหลายที่หากคิดอยากจะเป็นเซียนดิน อาศัยหอบินทะยานสองแห่ง หมายจะเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ล้วนจำเป็นต้องหลอมร่างเป็นมนุษย์ให้ได้เสียก่อนถึงจะเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนได้สูงและไกลยิ่งกว่าเดิม
แต่เสี่ยวโม่ที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ สุดท้ายก็ยังเป็นหนึ่งใน ‘นักพรต’ จำนวนน้อยนิดที่สามารถยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดบนพื้นดินของโลกมนุษย์ได้
มันหัวเราะ หดย่อเรือนกายให้เล็กลงจนขนาดร่างเท่ากับแขกผู้ไม่ได้รับเชิญทั้งสอง ดวงตาทั้งคู่ก็กลับคืนมาเป็นปกติ สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต มีเพียงชายแขนเสื้อสองข้างที่ยาวมาก มันก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว ชายแขนเสื้อสองด้านก็ยาวลากระพื้น ตรงดิ่งไปยังริมชอบอาณาเขตที่ใบไม้สีทองหล่นร่วงลงแล้วก็ไม่ขยับเดินหน้าไปอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ชายแขนเสื้อทั้งสองทิ้งตัวดิ่งเป็นเส้นตรง เอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ฉายาชิงถง”
มันเห็นเพียงว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นั้นหรี่ตาเอ่ย “เสี่ยวโม่ ฉายาสี่จู๋”
ชิงถงมองชุดคลุมอาคมสีแดงสดแวบหนึ่ง นอกจากกระบี่ยาวที่ลอยอยู่กลางอากาศแล้วยังมียันต์แผ่นนั้น เนื่องจากในฟ้าดินมายาแห่งสุดท้าย เฉินผิงอันหยุดอยู่นานที่สุด ยันต์จึงถูกผลาญไปสิบเอ็ดแผ่นแล้ว
ชิงถงเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้เห็น ‘ยันต์ฉับพลัน’ ประเภทนี้”
เฉินผิงอันกล่าว “ยันต์ฉับพลัน? ชื่อดี”
ตามบันทึกใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีชื่อเรียกว่ายันต์ม้าขาวควบผ่านช่องแคบ อีกชื่อคือยันต์จันทรา
ยามที่ยันต์ทุกแผ่นเผาไหม้จนหมดสิ้นก็จะมีม้าขาวตัวหนึ่งกระโดดพุ่งผ่านไป
ชิงถงพยักหน้า “ยันต์นี้เป็นเจ้าลัทธิลู่ที่เป็นผู้คิดค้น มีต้นกำเนิดมาจากยันต์ใหญ่ ‘สะพานหมื่นปี’ ของมรรคาจารย์เต๋า ปีนั้นถูกเจ้าลัทธิลู่ตั้งชื่อให้ว่า ‘ยันต์ฉับพลัน’”
ปีนั้นลู่เฉินยังไม่ได้เดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ยิ่งยังไม่ได้เป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงอะไร เขาล่องเรือออกทะเลนานหลายปี เคยขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีปเพื่อไปเยี่ยมชมหอสยบปีศาจโดยเฉพาะ เป็นการ ‘เที่ยวเล่นขุนเขาสายน้ำ’ ไม่ต่างจากเฉินผิงอัน ระหว่างที่เดินทาง ลู่เฉินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็วาดยันต์ฉับพลันแผ่นนี้ขึ้นมา เพียงแต่ว่าวัสดุที่นำมาทำเป็นแผ่นยันต์หาได้ยากมาก ตอนนั้นลู่เฉินวักน้ำมาวาดยันต์ น้ำที่วักมาก็คือน้ำในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ธรณีประตูของยันต์ฉับพลันนี้สูงแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้
ยันต์ที่หยุดลอยอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแผ่นนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกยอดฝีมือดัดแปลงให้ง่ายลง การที่ชิงถงมั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือของลู่เฉินก็เพราะชิงถงมองเห็นปณิธานของมรรคกถาอีกอย่างหนึ่งบนยันต์
ในยุคบรรพกาล นกชิงเหนี่ยวโผผิน มีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘หลังแบกฟ้าคราม’ ไปมาอยู่ระหว่างฟ้าและดิน คอยส่งหนังสือคำสั่งจากสรวงสวรรค์ ทว่าม้าขาวควบผ่านช่องแคบกลับเพียงแค่ท่องอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาเท่านั้น
ชิงถงยิ้มถาม “เจ้าเจอหาตัวข้าเจอได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เพิ่งจะเข้ามาในหอสยบปีศาจ เสี่ยวโม่เงยหน้ามองฟ้า ทว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวที่เดินอยู่ด้านหลังเสี่ยวโม่กลับก้มหน้ามองพื้น ถึงขั้นที่ว่ายังเหยียบพื้นด้วย
อันที่จริงสายตาของคนทั้งสองต่างก็ไม่ได้ผิด
คนหนึ่งเงยหน้ามองที่ตั้งร่างจริงของต้นอู๋ถง อีกคนหนึ่งกลับก้มหน้าลงมองไป ราวกับว่าใช้การ ‘สบตา’ พูดคุยกับนักพรตที่มีอายุขัยยาวนานตรงหน้าผู้นี้
น้ำเสียงของเฉินผิงอันแหบพร่า แฝงไว้ด้วยแววเยาะหยันอยู่หลายส่วน “ในเมื่อเจ้าเดาตัวตนของข้าได้ ยังจะกล้าลืมตาหลุบมองลงต่ำอีกหรือ?”
ชิงถงเริ่มขยับเท้า แต่กลับเบี่ยงตัวเดินอยู่บนเส้นอาณาเขตที่เชื่อมต่อระหว่างใบไม้ร่วงสีทองกับดินแดนไท่ซวีอยู่ตลอด ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “นี่ไม่ใช่คำถามที่ข้าควรถามเจ้าหรอกหรือ?”
ผู้ฝึกตนที่ ‘มั่นใจในเรื่องนี้’ นอกจากบรรพจารย์สามลัทธิที่จับมือกันไปเยือนเมืองเล็กบ้านเกิดแล้ว เกรงว่าคงมีแค่ลู่เฉินและโจวจื่อเท่านั้น
โจวจื่อต้องไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ส่วนลู่เฉินหลังจากที่ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่เคยมาเยือนใบถงทวีป มีแต่จะไปที่แจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีป
เสี่ยวโม่ฟังด้วยความมึนงงสงสัย ตัวตน? คุณชายยังมีตัวตนอะไรอีกที่ทำให้ชิงถงหวาดเกรงถึงเพียงนี้? ก่อนหน้านั้นฟังจากน้ำเสียงของเจ้าชิงถงผู้นี้ เขาพูดจาวางโตยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตัวตนอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่ในสายตา หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้น? แต่ก็ไม่ถูกสิ หากเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้นจริงๆ ชิงถงยังจะกล้าขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสร้งทำเป็นลึกลับซับซ้อนเช่นนี้หรือ? ป่านนี้ก็ไม่ควรจะคุกเข่าโขกหัวให้จบเรื่องกันไปแล้วหรือไร?
หนึ่งในห้าเทพสูงสุดอย่างผู้ครองกระบี่
ต้นอู๋ถงต้นหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้?
เอามาผ่าทำเป็นฟืนไว้ใช้ทำกับข้าวหรือ?
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าจะคู่ควรหรือไม่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชิงถงเดาว่าข้าคือผู้ครองสรวงสวรรค์บรรพกาล หรือก็คือ ‘หนึ่ง’ นั้นที่ขนาดบรรพจารย์สามลัทธิก็ยังกริ่งเกรงอย่างมาก เป็นเหตุให้มรรคาจารย์เต๋ายังตั้งใจไปเยือนเมืองเล็กเพื่อพูดคุยกับข้าโดยเฉพาะ”
เรื่องนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาบอกกับเสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่ได้ยินแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง “นั่นก็ปกติ ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเป็นแบบนี้ถึงจะถูก”
เฉินผิงอันเองก็คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวโม่จะตอบกลับมาเช่นนี้
เสี่ยวโม่อยู่ในภูเขาลั่วพั่วได้อย่างเจริญรุ่งเรือง ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เพียงแค่ประโยคนี้ก็สามารถติดสามอันดับแรกได้อย่างมั่นคงแล้ว มากพอจะขึ้นเวทีประลองกับประโยค ‘ขอบเขตของอาจารย์พ่อไม่ใช่ว่าต้องคิดคำนวณโดยเพิ่มไปอีกเท่าตัวหรอกหรือ’ ของเผยเฉียนผู้เป็นลูกศิษย์ใหญ่ได้เลยทีเดียว
เจ้าขุนเขาหนุ่มท่านนี้ใส่ร้ายผู้ถวายงานเสี่ยวโม่เสียแล้ว
หลังจากที่เสี่ยวโม่ ‘ปิดผนึก’ ความทรงจำและความรู้สึกส่วนหนึ่งของตัวเองเอาไว้ ตลอดทางที่ติดตามเฉินผิงอันมา ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ในเมืองหลวงต้าหลี เสี่ยวโม่ก็มีความรู้สึกทำนองนี้นานแล้ว
ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าคุณชายที่อยู่ข้างกายเหมือนกับ ‘คน’ ผู้นั้นที่เขาเคยเห็นกับตามาก่อนอย่างมาก
แล้วก็เพราะว่าเหมือนมาก ก่อนหน้านี้เสี่ยวโม่ถึงได้รู้สึกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่ คน เรื่องราวและวัตถุทั้งหลายที่มีความคล้ายคลึงกัน แน่นอนว่าล้วนไม่ใช่ของจริงทั้งหมด
แต่หากคุณชายที่อยู่ข้างกายคือ ‘คนผู้นั้น’ จริงๆ เสี่ยวโม่ก็ไม่คิดอะไรมาก ถึงขั้นที่ว่ายังคาดหวังรอคอยอย่างยิ่งด้วย
เมื่อหมื่นปีก่อน ศึกเดินขึ้นสวรรค์ครั้งนั้น เนื่องจากความสัมพันธ์ในเรื่องระบบการสืบทอดสายเวทกระบี่ของเสี่ยวโม่ บวกกับผู้มีพระคุณบางคน ทำให้เขาไม่ได้ส่งกระบี่ออกไป สุดท้ายจึงเลือกติดตามเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียว
สหายผู้นั้นก็พอๆ กับเสี่ยวโม่ที่นิ่งดูดายอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ หากจะบอกว่าหมื่นปีให้หลังเป็นการเดินขึ้นสวรรค์อีกครั้ง เสี่ยวโม่ก็ยินดีติดตามคนข้างกายเดินขึ้นสู่ที่สูงไปด้วยกัน
หลังจากมีความคิดนี้ สีหน้าของเสี่ยวโม่พลันสดใสมีชีวิตชีวา ไม่สู้เอาต้นอู๋ถงที่เมื่อหมื่นปีก่อนเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาสามัญมาฝึกปรือฝีมือดีไหม?
แต่เสี่ยวโม่ไม่ได้เห็น ‘ชิงถง’ ผู้นี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ดังนั้นความคิดที่มากยิ่งกว่านั้นจึงยังอยู่ที่การฝ่าทะลุขอบเขต จำเป็นต้องรีบฝ่าทะลุขอบเขตโดยเร็ว ไม่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ตบะแค่นี้ก็ไม่มากพอเลยจริงๆ
ตอนนั้นเพียงแค่หย่างจื่อกับจูเยี่ยนก็ทำให้ตนเหมือนโดนมัดมือมัดเท้าได้แล้ว ต้องกลับไปมือเปล่า แล้วนับประสาอะไรกับที่หมื่นปีให้หลัง จำนวนของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ในเวลานี้ หลายใต้หล้ารวมกันก็ยังพูดได้แค่ว่ามีเพียงหยิบมือ ทว่ารอกระทั่งบรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคาก็จะมีเพิ่มมากขึ้น เพราะนั่นจะเป็น ‘ฝนมรรคกถาพร่างพรม’ ที่ใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์และในอนาคตก็จะไม่มีเกิดขึ้นอีก
“เคยได้ยินคำทำนายประโยคนั้นของโจวจื่อหรือ?”
ชิงถงถามเองตอบเอง “ย่อมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว อีกทั้งยังเคยครุ่นคิดอย่างละเอียดมาก่อน ด้วยนิสัยที่ระมัดระวังรอบคอบจนเคยชินของเจ้า ต้องมีการเตรียมตัวมาก่อนแน่”
คำทำนายที่แพร่แค่เฉพาะบนยอดเขาประโยคนั้น
หงส์ร่อนถลาไปตามลม เกาะกิ่งอู๋ถงสูง ท้อหลีลมวสันต์วันดอกไม้บาน หงส์ตายใบไม้ร่วงโรย ความเรียบง่ายเปลี่ยนไปสู่ความสงบบริสุทธิ์ มองเห็นคนโบราณ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ก็แค่ไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง”
นี่คือประโยคที่เจิ้งจวีจงเคยเอ่ยมาก่อน เอามาใช้กับสถานที่นี้ในเวลานี้ เหมาะกับสถานการณ์อย่างมาก
ดูเหมือนชิงถงจะคิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ จึงเอียงศีรษะลงน้อยๆ มองประเมินคนชุดเขียวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายใต้หล้าผู้นี้
ไพศาล เปลี่ยวร้าง มืดสลัว บงกช ห้าสี
ล้วนรู้นามของคนผู้นี้
ชิงถงหยุดเดิน หันหน้ามาถาม “ข้าตอบคำถามแล้ว ถึงคราวเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ขี่ลาหาลา คือการเตือนที่ชัดเจนจนชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
แรกเริ่มสุดชิงถงได้จัดลาสองตัวไว้ให้กับแขกชั่วร้ายที่มาเยือนถึงบ้าน ให้พวกเขาขี่ลาชมภูเขาสายน้ำ
ตอนนั้นเฉินผิงอันพูดกับเสี่ยวโม่เหมือนไม่ใส่ใจว่า ‘ในเมื่อมาถึงแล้วก็อยู่ให้เป็นสุข’
มาถึงสถานที่อะไร?
ยกตัวอย่างเช่นเคยมีบุคคลชั้นสูงสุดบางท่านที่บางครั้งก็เดินเหยียบลงบันไดของหอบินทะยานสองแห่ง มาเยือนโลกมนุษย์
และฟ้าดินแห่งนี้ อันที่จริงก็คือ ‘ทางลาดเนิน’ ที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางไว้เป็นอย่างดีเส้นหนึ่ง
หลังจากนั้นก็มี ‘ใบไม้บังตา’ มากมาย เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเด็กๆ เท่านั้น
ต้นอู๋ถงยินดีคาดเดาเช่นนี้ ตอนนั้นเฉินผิงอันจึงขี่ลาเดินลงเนิน ยินดีที่จะอาศัยเนินลาดลงจากลา (เปรียบเปรยว่าใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย)
ด้านหนึ่งเสี่ยวโม่ก็ตกตะลึงกับความคิดรอบคอบของคุณชาย อีกด้านหนึ่งก็อดนินทาในใจไม่ได้ ต้นอู๋ถงอย่างเจ้า ฝึกตนมานานหมื่นปี ได้ยันต์คุ้มกันกายมาจากศาลบุ๋น ทั้งไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ แล้วก็ไม่มีเรื่องใดๆ ให้ต้องกังวล ผลกลับกลายเป็นว่าฝึกตนได้มาแค่แผนการแยบยลอ้อมค้อมพวกนี้เท่านั้นหรือ?
ชิงถงเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “เฉินชิงตูเลือกเจ้ามารับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
เสี่ยวโม่เอ่ยเตือนว่า “ชิงถง ให้ความเคารพเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหน่อย”
ชิงถงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจซึ่งเคยต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับหยวนเซียง หลงจวินมาก่อน เหตุใดถึงได้เริ่มเคารพนับถือเฉินชิงตูเช่นนี้ได้
“กระตือรือร้นต้อนรับแขกถึงเพียงนี้ มีความหมายกว่าปีนั้นที่ผู้เยาว์จับผลัดจับผลูหลงเข้าไปในจุดลึกของพื้นที่มงคลดอกบัวเสียอีก”
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือเคาะด้ามดาบเบาๆ “ผู้อาวุโสช่างทุ่มเทสติปัญญาวางแผนทุกก้าวย่างจริงๆ”
พูดถึงแค่ฟ้าดินมายาภาพแรก จุดที่สายตาของฉีไต้จ้าวผู้นั้นมองไปเห็นก็คือฟ้าดินใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง
ภาพปรากฎการณ์ในฟ้าดินเปลี่ยนจากภาพน้ำหมึกที่สะบัดตามใจชอบ กลายมาเป็นภาพวาดที่เน้นรายละเอียดเห็นทุกอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนจากภาพวาดขุนเขาสายน้ำสีขาวดำ กลายมาเป็นภาพวาดขุนเขาเขียวน้ำใส
ภายหลังเจอกับหญิงชราในป่าซึ่งมีความหมายแฝงว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน’
นี่จึงเป็นเหตุให้หญิงชราและสตรีออกเรือนแล้วที่เฉินผิงอันใช้ตำราหมากล้อมหลากสีสยบเอาไว้ได้กล่าวประโยคว่า ‘วิถีแห่งหมากล้อมของคนรุ่นหลังสูงส่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ’
เฉินผิงอันคร้านจะอ้อมค้อมกับอีกฝ่าย จึงพูดอย่างไปตรงตรงมาว่า ‘คิดดูแล้ววิถีแห่งหมากล้อมก็คงเป็นเหมือนวิถีทางโลก มักจะเดินขึ้นสู่ที่สูงเสมอ’
แล้วนับประสาอะไรกับที่ชิงถงยังมีเจตนาในขั้นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
เฉินผิงอันคือหนึ่งนั้น คือฉีไต้จ้าว นี่จึงเป็นเหตุให้ได้ครอบครองโชควาสนาเลิศล้ำค้ำฟ้าที่ ‘แค่มองทีเดียว ฟ้าดินก่อกำเนิด’ ได้
ขณะเดียวกัน หนึ่งนั้นก็เป็น ‘หนึ่ง’ อีกอย่างหนึ่งของหญิงชราและสตรีออกเรือนแล้วที่อาศัยอยู่ในป่าลึกไม่สนใจโลกภายนอก แต่เฉินผิงอันกลับกลายเป็นคนรุ่นหลัง ทั้งสองกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ฝ่ายแรกจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับวิถีทางโลกในทุกวันนี้
หลังจากที่เฉินผิงอันแยกกับเสี่ยวโม่ ไปดูตำราบนถนนเพียงลำพัง หนังสือแต่ละหน้าล้วนว่างเปล่า ตอนนั้นเฉินผิงอันจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าวิธีการสร้างฟ้าดินของต้นอู๋ถงต้นนี้หยาบและเรียบง่ายเกินไป ขุนเขาสายน้ำแร้นแค้น หากเปลี่ยนมาเป็นตนก็มีแต่จะรอบคอบรัดกุมยิ่งกว่านี้…
และเดิมทีนี่ก็คือการหยั่งเชิงและการบอกเป็นนัยที่ลี้ลับอย่างหนึ่งของชิงถง ข้าชิงถงทำไม่ได้ เจ้าที่เป็นหนึ่งนี้กลับทำได้
เพียงแต่เฉินผิงอันกลับมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกบางอย่าง ราวกับว่าชิงถงอยู่ในสภาพการณ์ที่ขัดแย้งกันเองมากอย่างหนึ่ง ทั้งแน่ใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าตนคือหนึ่งนั้น แต่ก็ไม่กล้าเชื่ออีก หรือควรจะพูดว่าไม่ยินดีจะให้ตนกลายเป็นบุคคลผู้นั้นจริงๆ
เฉินผิงอันที่หลังโก่งงุ้มจ้องชิงถงที่อยู่ห่างไปไกลเขม็ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศักยภาพของเจ้าในตอนนี้เป็นอย่างไร?”
เสี่ยวโม่แค่ฟังก็รู้ว่าจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ
เพราะเสี่ยวโม่รู้ว่าคุณชายบ้านตน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสบนภูเขาก็มีน้อยครั้งนักที่จะเปิดฉากเรียกว่า ‘เจ้า’
ชิงถงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “น่าจะเทียบเท่าได้กับบินทะยานคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธเทพมาเยือนครึ่งตัว เขียนยันต์ใหญ่เป็นสองสามอย่าง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ระหว่างคนทั้งสองพลันมีเส้นด้ายสีแดงที่ยาวมากเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา รวมถึงประโยคที่น้ำเสียงยังคงล่องลอยอยู่กลางอากาศ
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะฆ่าผู้อาวุโสตายแล้ว”
——