กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 926.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (หก)
ชิงถงที่ชายแขนเสื้อสองฝั่งลากระพื้นเหมือนถูกหมัดหนึ่งต่อยให้ปริแตก เรือนกายพลันแบ่งออกเป็นสองส่วน
ชิงถงไม่ได้มีชายแขนเสื้อสองข้างที่ยาวมากและกลิ่นอายเซียนล่องลอยอีกต่อไป จิตหยางกายนอกกายโผล่มาตรงจุดเดิม คือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ร่างแกร่งกำยำ แขนสองข้างมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หนวดยาวสีดุจหิมะ ยืนเปลือยเท้า
ผู้เฒ่าเผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย เท้าทั้งสองคล้ายยืนอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบดุจกระจก ร่างไถลกรูดออกไปหลายสิบจั้งกว่าจะหยุดร่างไว้ได้ ครั้นจึงสะบัดข้อมือ
ลำพังเพียงแค่การกระทำที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดนี้กลับเหมือนเจียวหลงสะบัดเกล็ดอย่างไรอย่างนั้น
ปณิธานหมัดทั่วร่างดุจน้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวซัดกราก อีกทั้งยังจำแลงออกมาเป็นภาพบรรยากาศที่พายุหมัดเข้มข้นดุจน้ำ เป็นสีทองเปล่งประกายระยิบระยับอย่างที่ตาเนื้อมองเห็นได้ ยิ่งขับให้ผู้ฝึกยุทธวัยชราที่บอกว่าตัวเองเป็นชั้นเทพมาเยือนครึ่งตัวผู้นี้ปานประหนึ่งทวยเทพที่เป็นอมตะมิเสื่อมสลายซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางควันธูปลอยล่อง
ชิงถงที่กล้ามเนื้อแข็งแกร่งทนทานเพราะผ่านการหล่อหลอมจนถึงขั้นสูงสุดผู้นี้ ตอนนี้คล้ายจะรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นแค่ขอบเขตปลายทางชั้นปราณโชติช่วงคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ขอบเขตถดถอยมาจากชั้นคืนความจริง แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
สายตาของชิงถงคลุมเครือ มองไปยังจุดที่ห่างไปไกล กระบี่ยาวเย่โหยวเล่มนั้นยังคงลอยค้างอยู่ในตำแหน่งเดิม
นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นการถามหมัดเต็มตัวครั้งหนึ่ง
ก็ถูกนะ
หรือว่าจะให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมาถามกระบี่กับผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน?
ไม่ใช่หาเรื่องอัปยศใส่ตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร
ชุดคลุมสีแดงสดยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ชิงถงยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัดดังพึ่บพั่บ ประหนึ่งมีลมพายุพัดกระแทกอยู่ในชายแขนเสื้อ
เมื่อเทียบกับปณิธานหมัดที่ไหลรินด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามของชิงถงแล้ว เห็นได้ชัดว่าปณิธานหมัดของเฉินผิงอันเก็บงำอำพรางกว่ามาก
ชิงถงไม่รีบร้อนลงมือ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้ตนไปหาเขา เจ้าคนที่คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงผู้นี้ก็ย่อมพาตัวมาหาตนถึงที่อย่างว่าง่ายอยู่แล้ว
พูดประโยคที่ไม่เกรงใจกันสักหน่อย ความต่างขอบเขตเขตคนทั้งสองวางไว้ตรงนั้น ชิงถงสามารถยืนนิ่งๆ รับหมัดอีกฝ่ายหลายสิบหมัดได้เลย ถึงเวลานั้นก็แค่ต้องมอบของขวัญกลับคืนให้หนึ่งหมัดก็สิ้นเรื่องแล้ว
ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ในเมื่อไม่มีใบหน้า นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีหน้าแววตาอะไรเลย
ชิงถงเห็นเพียงว่าฝ่ายตรงข้ามค้อมเอวลงน้อยๆ
มาแล้ว
ชิงถงหรี่ตาทั้งคู่ลง เพิ่มความเร็วในการโคจรปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างตัวเองเล็กน้อย ในภูเขาสายน้ำหมื่นลี้ของฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ก็เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติตามมาเป็นระลอก บนฟ้ามีสายฟ้าตัดสลับถักทอ พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
นี่ยังเป็นเพราะชิงถงยังไม่ถึงชั้นเทพมาเยือนที่แท้จริง เป็นแค่เค้าโครงอย่างหนึ่งเท่านั้น หรือจะพูดให้ถูกก็คือเป็นแค่เปลือกว่างเปล่า
หากผู้ฝึกยุทธสามารถเลื่อนขั้นไปถึงยอดสูงสุดของขอบเขตปลายทางที่กล่าวถึงในตำนานได้จริง กายเนื้อก็จะเหมือนตำหนักเทพแห่งหนึ่ง ส่วนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธก็คือเส้นทางเทพควันธูปที่เชื่อมโยงระหว่างฟ้าดิน นำพาไปยังตำหนักเทพ
ข้าก็คือเทพ
ชิงถงอาศัยการฝึกฝนช้าๆ ที่ต้องทำอยู่ทุกวัน ค่อยๆ สะสมไปทีละนิด ขัดเกลาเรือนกายมาได้นานขนาดนี้ก็ยังไม่อาจสร้างพื้นฐานที่ดีได้ ได้แต่ใช้วิธีลัดที่เป็นการเล่นแง่อย่างหนึ่งสร้างหอเรือนกลางอากาศขึ้นมา
เส้นทางที่อีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวคือวิถีทางโค้งเส้นหนึ่ง ว่องไวปานสายฟ้าแลบ ความเร็วนั้นราวกับยันต์ม้าขาวควบผ่านช่องแคบแผ่นหนึ่ง ลากระชากเงาวูบวาบคล้ายมังกรเพลิงตัวหนึ่ง
ทว่าชิงถงกลับยืนอยู่ที่เดิม เพียงแค่ขยับตัวเบี่ยงหันข้างเล็กน้อย ไม่หลบไม่เลี่ยง ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมารับหมัดของอีกฝ่ายเอาไว้
เมื่อหมัดกับฝ่ามือปะทะกัน ฟ้าดินก็เกิดเสียงดังกัมปนาทดุจเสียงลั่นระฆังใหญ่ ดินแดนไท่ซวีอันกว้างขวางที่อยู่ด้านหลังชิงถงพลันเกิดริ้วกระเพื่อมของพายุหมัดแผ่กระเทือนออกไปเป็นวงกว้างดุจทะเลสาบ
ชิงถงกำหมัดของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วกระชากขึ้นด้านบน หมายจะยกเท้าถีบออกไป
เพียงแต่ว่าชิงถงจำต้องเปลี่ยนความคิด มือข้างที่ไพล่หลังไว้ตลอดเวลาอ้อมมาเบื้องหน้าอย่างว่องไว ยกมือขึ้นบังหน้าของตัวเองเอาไว้
จากนั้นก็ถูกเท้าข้างหนึ่งเตะเข้าที่ฝ่ามือ หลังมือกระแทกใบหน้าอย่างแรง ร่างของชิงถงถอยกรูดออกไปในชั่วพริบตาอีกครั้ง
ชิงถงใช้หลังมือเช็ดข้างแก้ม ชุดคลุมยาวสีขาวหิมะตัวนั้นปรากฎเสียงฉีกขาดของเส้นด้ายแผ่วเบาดังขึ้นมาเป็นระลอก
ชุดคลุมสีแดงสดยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของชิงถงอีกครั้ง แขนข้างหนึ่งห้อยลู่ตกลง ถึงกับหักงอด้วยสภาพน่าสยอง ไหล่ขยับไหวเล็กน้อย เสียงข้อต่อดังเป็นระลอก แขนทั้งข้างก็พลิกหมุนกลับคืนมาเข้ารูปเป็นสภาพเดิมอย่างว่องไว
ผู้เฒ่าชุดขาวหิมะกระตุกมุมปาก กระดิกนิ้วเรียก
มาอีก
เรือนกายของทั้งสองเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ปณิธานหมัดทั้งสองปะทะพุ่งชนกัน เกิดภาพเงาร่างที่ติดตาจำนวนนับไม่ถ้วน หนึ่งแดงสด หนึ่งขาวหิมะ ประกายแสงไหลรินคล้ายกับหมู่มวลบุปผารายล้อม
ชิงถงจงใจไม่เอาคืนอย่างจริงจังอยู่ตลอด เพียงแค่รับมืออีกฝ่ายเท่านั้น
พอดีกับที่อาศัยโอกาสนี้ลองประเมินอิ่นกวานหนุ่มที่ทุกวันนี้เกือบจะถูกคนยกยอจนลอยขึ้นฟ้าแล้วให้ดีๆ ว่ามีน้ำหนักกี่จินกี่ตำลึงกันแน่
สีหน้าของชิงถงเป็นธรรมชาติ เบนศีรษะไปด้านหลัง หลบขาที่ฟาดมาในแนวขวางไปได้ เรือนกายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย เพียงแต่ว่าจู่ๆ ก็ยกแขนขึ้นใช้ฝ่ามือต่างมีด ฟันฉับออกไป
เรือนกายของอีกฝ่ายพุ่งวูบ ชิงถงหุบฝ่ามือมา ขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็ทิ้งระยะห่างออกไปร้อยกว่าลี้ ไหล่ข้างหนึ่งกระแทกเอียงเข้าใส่ ชุดคลุมอาคมสีแดงสดก็ถูกพุ่งกระแทกอย่างรุนแรงจนลอยกระเด็นไปไกล
เฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกลพลิ้วกายลงตรงจุดนี้
ชิงถงหลุดหัวเราะพรืด
ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรือนกายที่มีเลือดเนื้อเรือนกายหนึ่ง
แม้ว่าจะไม่มีความเสื่อมถอย อยู่ไกลเกินกว่าจะกลายเป็นม้าตีนปลาย แต่หากเฉินผิงอันมีความเร็วและกำลังเท้าเพียงเท่านี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าชื่อเสียงโด่งดัง แต่ศักยภาพกลับไม่สมคำเล่าลือแล้ว
แน่นอนว่าเจ้าเด็กนี่ต้องยังมีท่าไม้ตายที่ซ่อนอยู่ก้นกรุอยู่อีกแน่นอน ก็แค่ว่ายังไม่ได้แสดงออกมาในเวลานี้
ชิงถงยิ้มถาม “หรือว่าต้องให้ข้ากดขอบเขตมาป้อนหมัดให้?”
หรือจะบอกว่าเจ้าหมอนี่กินอิ่มว่างงานก็เลยอยากจะลองหยั่งเชิงวิถีวียุทธของตนว่าสูงหรือต่ำ เรือนกายแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ รวมถึงแนวทางวิชาหมัดของตน?
เฉินผิงอันยังคงไม่เอ่ยอะไร
ชิงถงคิดดูแล้วก็เริ่มขยับเท้าก้าวไปด้านข้างเป็นครั้งแรก การขยับครั้งนี้รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เพียงชั่วพริบตาก็ออกห่างไปจากจุดเดิมหลายสิบลี้
คิดไม่ถึงว่าตรงหน้าจะมีเงาร่างสีแดงสดพุ่งตามมาติดๆ ชิงถงตกตะลึงเล็กน้อย คลี่ยิ้มบางๆ บิดหมุนข้อเท้า ร่างกายมาโผล่ห่างออกไปหลายสิบลี้ในชั่วพริบตา คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังคงตามติดดุจเงา เรือนกายของชิงถงทะยานขึ้นสู่ด้านบน สายรุ้งสีขาวพุ่งลิ่วขึ้นกลางอากาศ ร่างก็ขยับว่องไวขึ้นอีกสามส่วน ผลคือเฉินผิงอันยังคงตามมาทัน หนึ่งหมัดปล่อยออกมาต่อยลงตรงหว่างคิ้วของชิงถง หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง คาดว่าหากเจอหมัดที่มองดูเหมือนเรียบง่ายนี้ของเขาเข้าไปคงต้องหัวแตกกระจุย กลายเป็นศพที่ไร้หัวคาที่ไปแล้ว
ชิงถงกลับแค่เบี่ยงหน้าหนีน้อยๆ ใช้ฝ่ามือกดไว้ที่หน้าผากของอีกฝ่ายแล้วพลันเพิ่มพละกำลัง เสียงปังดังขึ้น ชุดคลุมอาคมสีแดงสดก็ร่วงเอียงลงไปบนพื้น กระแทกให้เกิดหลุมยักษ์บนผิวกระจก
เพียงแต่ว่าตอนที่อีกฝ่ายถูกซัดให้ร่วงลงไปก็ใช่ว่าจะไร้เรี่ยวแรงให้เอาคืนเสียเลย ชิงถงเกิดไฟโทสะเล็กน้อย สองนิ้วประกบติดกันยันอยู่บนใบหน้าด้านหนึ่ง ปาดคราบเลือดทิ้ง
อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นบาดแผลด้วยซ้ำ ก็แค่ว่าค่อนข้างจะน่าอาย
ชิงถงร้องเอ๊ะหนึ่งที น่าประหลาดนัก
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่มีลางว่าจะฝืนดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งไว้ได้ แต่ถึงกับสามารถใช้การพลิกตัวด้วยความรวดเร็วปล่อยหมัดเข้าใส่ตน
ชิงถงพยายามจะมองสัจธรรมที่ซ่อนอยู่ในหมัดนี้ให้ชัดเจน ดวงตาหรี่ลง เผยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก เริ่มตรวจสอบการไหลเวียนของพายุลมกรดในจุดที่เล็กละเอียด ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เฉินผิงอันปล่อยหมัดออกมา แรงสะเทือนของเส้นเอ็นและกระดูกบนแขนข้างนั้น เลือดลมไหลเวียน เส้นชีพจรขยับขยาย การขึ้นลงของ ‘เทือกเขา’ พวกนี้ รวมไปถึงทิศทางการพุ่งทะยานไปของขุนเขาสายน้ำ เมื่อมาปรากฏอยู่ในสายตาของปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ เป็นทั้งแนวทางของหมัด แล้วก็เป็นทั้งเส้นทางการเดินของปณิธาน เมื่อเทียบกับกระบวนท่าหมัดที่มีแต่โครงว่างเปล่าแล้ว สัจธรรมหมัดและวิชาหมัดที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายมนุษย์ประเภทนี้ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แท้จริง
หลังจากเจอหมัดไปห้าหกที ชิงถงก็ยังมิอาจมองเส้นทางหมัดของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แค่รู้สึกอย่างเลือนรางว่าหมัดนี้ของเฉินผิงอันมีความหมายลึกล้ำ มหัศจรรย์จนมิอาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้
ทุกอย่างสำเร็จในรวดเดียว
เพราะหมัดนี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ใช้กระบวนท่าแบบเดียวกันปล่อยหมัด ‘ซ้ำเดิม’ อย่างแน่นอน
ก็เหมือนการเขียนตัวอักษรที่ต่อให้จะเหมือนกันมากแค่ไหน รากฐานของพวกมันก็คือตัวอักษรสองตัว จะต้องมีความแตกต่างในจุดที่ละเอียดอ่อนบางอย่าง
และความต่างเพียงเสี้ยวก็คือความต่างเป็นพันลี้
จุดที่แปลกประหลาดยิ่งไปกว่านั้นอยู่ที่มุมมองและท่วงท่าการออกหมัดของเฉินผิงอันที่เห็นได้ชัดว่าล้วนไม่เหมือนกัน
แต่ความเร็วในการไหลรินของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นกลับเหมือนแม่น้ำที่เชี่ยวกรากไหลลงสู่มหาสมุทร ความตื้นลึกและความกว้างแคบของท้องน้ำล้วนเหมือนกัน ใช้การไม่เปลี่ยนมารับมือกับสารพัดการเปลี่ยนแปลง ใช้วิธีการของอีกฝ่ายมาเล่นงานอีกฝ่าย แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่น แต่ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา
อย่างหมัดนี้ก็เหมือนกับปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เฉินผิงอันที่ปล่อยหมัดนี้ออกมา จิงเสินชี่ของทั้งร่างก็ล้วนเหมือนเฉินผิงอันที่ปล่อยหมัดครั้งก่อนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีความคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย
นี่ทำให้นอกจากจะทำให้ชิงถงประหลาดใจและตกตะลึงแล้ว กลับยังมีความปิติยินดีที่ไม่เล็กอีกส่วนหนึ่ง
หมัดก็สามารถฝึกกันอย่างนี้ได้ด้วยหรือ? แล้วยังสามารถปล่อยหมัดเช่นนี้ได้อีกด้วย?
เพียงแต่ว่าหลายสิบหมัดเข้า ชิงถงก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหมัดนี้ไม่มีปลายทางสิ้นสุด?
ใช่ว่าขอแค่ตนสามารถแบกรับได้ไหว เฉินผิงอันก็สามารถปล่อยหมัดตลอดไม่หยุดเลยหรือไม่?
อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ปณิธานหมัดทับซ้อน อีกทั้งความเร็วในการเคลื่อนขยับของชุดคลุมอาคมสีแดงสดยิ่งนานก็จะยิ่งมากขึ้น พลิกตลบเหวี่ยงหมุนร่าง ไม่แพ้ให้กับการหดย่อขุนเขาสายน้ำของเซียนเหรินคนหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
ทุกหมัดไม่เคยร่วงลงบนความว่างเปล่า บนร่างของชิงถงมีเสียงอสนีบาตดังขึ้นหลายสิบครั้งแล้ว
รอกระทั่งผ่านไปยี่สิบหมัด ชิงถงก็จำต้องกัดฟันกรอด ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว เป็นครั้งแรกที่ตั้งกระบวนท่าหมัดโบราณเก่าแก่อย่างเที่ยงแท้ เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับท่าหมัดของทุกวันนี้ สองนิ้วประกบกันเหมือนมุทรากระบี่ ห้านิ้วของอีกมือหนึ่งทำมุทราห้าอสนี เมื่อหมัดนี้ถูกตั้งท่าขึ้น ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าของชิงถงก็ถึงกับมีแสงเรื่อเรืองแผ่ออกมา ดุจแสงดาวเป่ยโต้วเจ็ดดวงที่สาดส่อง ระหว่างที่กะพริบวิบวาบก็เหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมาในผืนป่า พริบตาเดียวหมัดก็พุ่งออกมา
แลกหมัดกับเฉินผิงอัน
แต่กระนั้นกลับยังไม่อาจสะบั้นปณิธานหมัดที่ทอดยาวของอีกฝ่ายได้ ชิงถงเจอหมัดติดๆ กันอีกห้าหมัด แต่ชิงถงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ได้แต่โต้เฉินผิงอันกลับคืนไปสองหมัด
เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายเจ้าเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปราณโชติช่วงคนหนึ่ง เจอหมัดของตนเข้าไปถึงหกหมัด บวกกับเดิมทีวิชาหมัดนี้ของเฉินผิงอัน การปล่อยหมัดออกมาก็จะทำลายเรือนกายของผู้ฝึกยุทธอยู่แล้ว จะไม่กลัวจริงๆ หรือว่าตนยังไม่ล้มลง เจ้าก็ขอบเขตถดถอยอีกขั้นหนึ่งแล้ว? ขอบเขตถดถอยจากชั้นคืนความจริงมาสู่ปราณโชติช่วง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นขอบเขตสิบ แต่หากถดถอยจากปลายทางมาเป็นยอดเขาเล่า?
เส้นเลือดหลายเส้นแทรกซึมออกมาจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าของชิงถง มองดูแล้วใบหน้าแสยะดุร้าย แต่อันที่จริงกลับไม่ได้บาดเจ็บสาหัสเท่าใด ทว่าความเคลื่อนไหวในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์กลับไม่น้อย ท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งจำแลงร่างกลายมาเป็นมังกรดำ เลื้อยวนอยู่รอบยอดเขา รวมเมฆให้ก่อตัวเกิดไอน้ำ ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งมีไอหมอกสีม่วงลอยขึ้นมา ในนั้นก็มีงูขาวตัวใหญ่ที่จำแลงร่างกลายเป็นมังกรเทพ บนหัวที่ใหญ่โตมโหฬารมี ‘ลานกว้าง’ อยู่แห่งหนึ่ง มองเห็นอักษรสายฟ้าสีทองส่วนหนึ่งที่คล้ายแกะสลักไว้บนลานกว้างหยกขาวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
นี่ก็คือข้อดีใหญ่เทียมฟ้าในการเป็นผู้ฝึกลมปราณควบกับการเรียนวรยุทธ ขอแค่เดินข้ามผ่านธรณีประตู ปราการกั้นขวางสองขั้นของร่างทองและปลายทางไปได้ วิธีการต่างๆ มากมายก็จะสามารถนำมาหล่อหลอมในเตาเดียวกันได้ ช่วยขับดันส่งเสริมกันและกัน ยากที่จะแบ่งความต่างระหว่างเวทคาถากับวิชาหมัดได้อีก
ดวงตาสองข้างของผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เกิดความผิดปกติขึ้นมาอีกครั้ง หนึ่งข้างเป็นสีเงินหนึ่งข้างเป็นสีทองส่องประกายระยิบระยับ เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้กลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันระหว่างชิงถงกับเฉินผิงอันก็มีริ้วคลื่นขุมหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็นปรากฎขึ้นมา เหมือนมีกระจกบานหนึ่งที่มาขวางอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดที่อยู่ในกระจกออกหมัดเหมือนกับเฉินผิงอันที่อยู่นอกกระจกไม่มีผิดเพี้ยน
คนในกระจกคล้ายกำลังถามหมัดกับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันแทบจะไม่ต้องใคร่ครวญอย่างไร เพียงแค่หลับตาลง กระจกก็หายวับไปทันตา นาทีถัดมาก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง
แต่จุดที่ประหลาดก็คือหมัดของ ‘ตน’ ที่อยู่ในกระจกบานนั้นกลับไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นการปล่อยหมัดต่อมาอย่างจริงแท้แน่นอน เพียงแต่ว่าแนวทางยังคงเดิม ค่อนข้างจะตายตัว
เฉินผิงอันไม่ได้มีความลังเลใดๆ เพิ่มความเร็วในการโคจรปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ ปณิธานหมัดบนร่างจึงเพิ่มพรวดพราดขึ้นอีกหลายส่วน เรือนกายก็ว่องไวมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่ใช้มือซ้ายต่างมีดทำท่าปาดในแนวขวาง ตัดหัวของ ‘ตัวเอง’ ทิ้ง
ชิงถงที่ถอยห่างออกมาจากสนามรบไกลมากแล้วอดสบถด่าในใจไม่ได้ อายุน้อย แต่จิตใจกลับแข็งเป็นหิน
คิดดูแล้วก็ถูกนะ จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทีละก้าวเติบโตขึ้นมาบนสนามรบที่มีกองกระดูกทับถมอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น
เฉินผิงอันพลันหยุดชะงัก ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ร่างงองุ้ม สายตาเย็นชาสอดส่ายไปทั่ว ปณิธานหมัดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายังคงรักษาไว้ไม่ขาดสะบั้น ขณะเดียวกันก็กวาดมองไปรอบด้าน เห็นว่าชิงถงถอยออกไป พร้อมกับที่มีกระจกอีกบานตั้งขึ้นมา ในกระจกคือตนที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดสิบกว่าคน กระนั้นก็ยังคงอยู่ในท่าทางของการปล่อยหมัดเหมือนเดิม พุ่งจากสี่ด้านแปดทิศกรูเข้าหาเฉินผิงอันที่อยู่ใจกลาง คนเป็นของปลอม แต่หมัดกลับเป็นของจริง
เพียงแต่ไม่รู้ว่า ‘ตัวเอง’ ทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถประคับประคอง ‘ภาพสะท้อน’ ไว้ได้นานแค่ไหน
เฉินผิงอันพึมพำในใจหนึ่งเสียง เรือนกายสีแดงก็เหมือนบุปผลิบาน
ถึงกับเลือกใช้วิธีที่ชิงถงเห็นว่าต่ำช้าที่สุด ราวกับว่าจะเป็นศัตรูกับตัวเอง ใช้หมัดปะทะหมัดเช่นเดียวกัน
ภาพสะท้อนหลายสิบคนในกระจกแตกกระจายในเวลาเดียวกัน ปณิธานหมัดไหลซัดไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายกลางอากาศจึงคล้ายมีฝนห่าใหญ่สีแดงเพลิงตกลงมา
เฉินผิงอันเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก น้ำเสียงแหบพร่า ประหนึ่งเสียงมีดที่ลับกับหินลับมีด เอ่ยเสียงหนักว่า “สองฝ่ายถามหมัดกัน ใช้หมัดเรียนรู้จากหมัด นั่นคือความสามารถ แต่หากใช้สถานะของผู้ฝึกตนยกเอาวิธีการบนภูเขาออกมาใช้ อาศัยเวทคาถามาคัดลอกวิชาหมัด…ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำแบบนี้จะดีกว่า”
——