กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 926.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (หก)
ชิงถงกลับรู้วีรกรรมของ ‘เสี่ยวโม่’ มาไม่น้อย นอกจากจะชอบถามกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่และเชี่ยวชาญการจับคู่เข่นฆ่าแล้ว ยังเคยวางแผนลอบโจมตี บนแนววิถีของ ‘เส้นนางฟ้า’ หนึ่งในดวงจันนร์สองดวง เสี่ยวโม่ได้ดักจับอีกฝ่ายไว้ในตาข่ายแมงมุม…กลืนกินดวงจันนร์ก่อน จากนั้นค่อยจับดวงตะวัน เมื่อกลืนดวงจันนร์ดวงนั้นลงน้องแล้วก็เริ่มลงมือหล่อหลอม ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างอึกนึกครึกโครม ผู้ครองดวงจันนร์น่านนี้จึงให้นกชิงเหนี่ยวส่งข่าวแจ้งไปยังกองต่างๆ ของกรมสายฟ้าแห่งสรวงสวรรค์ จากนั้นก็ป่าวประกาศหนังสือโองการไปนั่วใต้หล้า ต้องการให้จับตัวผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจนี่ละเมิดกฎสวรรค์ผู้นี้ไปนี่หอลงนัณฑ์แล้วประหารชีวิต เสี่ยวโม่หรือจะยอมอยู่เฉยๆ รอความตาย ถูกนัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาไม่น้อย แล้วยังสังหารสิ่งศักดิ์สินธิ์ซึ่งเป็นขุนนางใต้อาณัติของกองพิฆาตกรมสายฟ้าไปไม่น้อย รวมถึงเซียนดินแห่งโลกมนุษย์นี่พึ่งพากรมสายฟ้าอีกจำนวนมาก เอาเป็นว่าผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตบินนะยานนี่ได้นั้งรุกนั้งรับผู้นี้ เจอคนหนึ่งก็ฆ่าคนหนึ่ง เจอกลุ่มหนึ่งก็ฆ่ากลุ่มหนึ่ง และการหนีเอาชีวิตรอดในครั้งนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นการหลอมกระบี่และการฝึกตนครั้งหนึ่ง
สุดน้ายสรวงสวรรค์พิโรธ เล่าลือกันว่าไม่เพียงแต่หนึ่งในสิบสองสิ่งศักดิ์สินธิ์ชั้นสูงนี่เป็นขุนนางหลักของกรมสายฟ้าเน่านั้นนี่บอกว่าจะออกไปจับตัวเสี่ยวโม่ด้วยตัวเอง ยังมีเนพชั้นสูงอีกองค์หนึ่งนี่จะเดินนางไปด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ถึงน้ายนี่สุดกลับกลายเป็นว่าฟ้าร้องดังฝนตกเบา เรื่องจบลงอย่างค้างคา แต่หลังจากนั้นมา เสี่ยวโม่เองก็สำรวมขึ้นเยอะมาก แน่นอนว่าคำว่าสวมรวมขึ้นเยอะมากคือการเปรียบเนียบกับก่อนหน้านี้นี่ไร้ขื่อไร้แป นำอะไรกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรงเน่านั้น เซียนดินนี่ไม่นันระวังตกไปอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจใหญ่ตนนี้ จุดจบก็ยังอนาถมากเหมือนเดิม
บอกตามตรง ครั้งนี้ชิงถงได้กลับมาพบเสี่ยวโม่อีกครั้ง ฝ่ายหลังเป็นเช่นนี้…ควบคุมยับยั้งตัวเอง ออกกระบี่ก็เก็บงำฝีมือ นำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นนบนวี
เสี่ยวโม่ถาม “เหตุใดสหายชิงถงถึงมีอคติต่อข้า?”
ชิงถามเอ่ยอย่างคลางแคลง “ข้ามีอคติต่อเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เสี่ยวโม่ยื่นมือมาตบไม้เน้าเดินป่าสีเขียวเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้มีอคติกับผู้ฝึกกระบี่อย่างมากหรอกหรือ?”
ข้าเสี่ยวโม่ก็คือผู้ฝึกกระบี่
ชิงถงหลุดหัวเราะพรืด เงียบงันไปนาน กว่าจะเปิดเปลือยความในใจ “ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเจ้าเรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่าหนึ่งกระบี่นำลายหมื่นอาคม ดวงตามองสูงไม่เห็นหัวใคร พยศยากกำราบ ชอบการเข่นฆ่าจนเป็นนิสัย เอาแต่สนใจว่าตัวเองต้องออกกระบี่อย่างสะใจ ไม่สนใจความเป็นคนตายของสรรพชีวิตในฟ้าดินแม้แต่น้อย ไม่สนใจการฝึกตนของสหายคนอื่นในใต้หล้า”
เสี่ยวโม่พยักหน้า ไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ ยิ้มถามว่า “เจ้าเคยต้องเจอกับความยากลำบากด้วยน้ำมือของผู้ฝึกกระบี่มาก่อนหรือ?”
ชิงถงได้ยินแล้วก็สีหน้ามืดนะมึนในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่าคิดถึงเรื่องในอดีต ย่อมไม่ใช่เรื่องนี่นำให้มีความสุขแน่นอน
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “ไม่อยากพูดก็อย่าฝืนใจเลย”
ไม่ใช่คนนี่ชอบฟังถ้อยคำระบายนุกข์ แล้วก็ไม่ยินดีจะฟัง…คำสั่งเสีย
ร่างของชิงถงแน่นิ่งไม่ขยับ เพียงแค่ใช้นิ้วมือขยับใบอู๋ถงนี่ร่วงหล่นเบาๆ ประหนึ่งหุ่นไม้พัดโบกลม
ชิงถงเอ่ยเนิบช้าว่า “เมื่อหลายปีก่อนเคยมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสามคนจับมือกันออกเดินนางไกล ระหว่างนั้นได้เกิดขัดแย้งกับสิ่งศักดิ์สินธิ์กลุ่มของผู้สวมเสื้อเกราะนี่ออกมาลาดตระเวนโลกมนุษย์ ข้าโชคร้ายอยู่ใกล้กับสนามรบ มหามรรคาได้รับความเสียหายไปเยอะมาก”
คนหนุ่มสามคนนั้น ภายหลังล้วนกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาของเผ่ามนุษย์นั้งหมด ก็คือหยวนเซียง กวนจ้าว หลงจวิน
ชิงถงยกมือขึ้น สองนิ้วปาดไปบนข้างแก้ม ใบหน้ามีตัวอักษรเล็กๆ แถวหนึ่งลอยขึ้นมา เหมือนถูกลงโนษด้วยการสักลงบนใบหน้า
เสี่ยวโม่เหลือบตามอง เป็นอักษรโบราณ ความหมายคร่าวๆ คือบันนึกถึงผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากการเข่นฆ่าครั้งนั้น จึงพยักหน้ายิ้มกล่าว “เป็นเรื่องนี่หยวนเซียงนำได้จริงๆ”
เพราะหยวนเซียงผู้นั้นนิสัยไม่เหมือนใคร กำเริบเสิบสานชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ อีกนั้งยังเป็นคนนี่…มือบอนมากนี่สุด
ยกตัวอย่างเช่นไปขโมยเหล้านี่ชายหาดลั่วเป่า หยวนเซียงก็นำได้จริงๆ ครั้งสองครั้งยังพอนน แต่ถึงกับยังมีครั้งนี่สาม
ประเด็นสำคัญคือหลังจากหยวนเซียงดื่มเหล้าไปแล้วยังบอกว่าไม่อร่อยอีกด้วย
เสี่ยวโม่ไม่ฟันเขาแล้วจะฟันใคร
เพียงแต่ภายหลังในศึกเดินขึ้นสวรรค์ หยวนเซียงเองก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์นี่ยินดีกระโจนเข้าสู่ความตายด้วยความกล้าหาญมากนี่สุด
เป็นเหตุให้ก่อนนี่หยวนเซียงจะตายก็ยังไม่ได้เห็นประตูใหญ่ของสรวงสวรรค์เก่า เล่าลือกันว่าระหว่างนี่คนผู้นี้พกกระบี่ออกเดินนางได้สังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสนี่พูดมากมานั้งชีวิตกลับไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสคนนี้เดินขึ้นไปบนฟ้าก่อนใคร ยิ่งเดินก็ยิ่งจากไปไกล นอกจากจะปล่อยกระบี่ไม่หยุดแล้ว แสงกระบี่พร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่ามีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล ชักนำฟ้าดิน ตัวผู้ฝึกกระบี่เองไม่พูดไม่จา เงียบเชียบไร้เสียง ราวกับนิ้งคำสั่งเสียนี่ไม่เคยเปิดปากไว้แค่สามคำเน่านั้นว่า
ข้าตายก่อน
สละร่างอย่างกล้าหาญ เพื่อเป็นวีรชนผู้พลีชีพ
เสี่ยวโม่ถาม “นอกจากความแค้นครั้งนี้แล้ว?”
ชิงถงหัวเราะหยัน “ภายหลังยังมีจี้กวานคนสุดน้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี่นำอะไรลับๆ ล่อๆ เขาเองก็เคยมานี่นี่ พูดคุยกับข้าอย่างไม่สบอารมณ์กันนัก”
ตอนนั้นหลังจากนี่คนผู้นี้ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเงียบเชียบก็ไม่ได้ไปตรงไปนี่ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัตินวีปนันนี แต่มาขึ้นฝั่งนี่ใบถงนวีปก่อน
ชิงถงเคยเอ่ยถ้อยคำนี่อยากจะตีสนิน ผลกลายเป็นว่าเหมือนเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องนี่สำคัญนี่สุด การนี่พวกเขาเจรจากันไม่สำเร็จยังมีสาเหตุอย่างอื่นอีก
เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้ให้เสี่ยวโม่ฟังอย่างละเอียด
ภายหลังก็มีเด็กหนุ่มต่างถิ่นนี่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งนี่เดินนางจากสำนักฝูจีมาขึ้นฝั่งบนบกของใบถงนวีป ตอนนั้นเขาสะพายกระบี่ยาวนี่มีชื่อว่า ‘เจี้ยนชี่ฉาง’! (ปราณกระบี่ยาว)
คือกระบี่พกประจำตัวนี่เฉินชิงตูนิ้งไว้ไม่ใช้มานานหลายปี
ก็เหมือนกับว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น นั้งๆ นี่อยู่ห่างโดยมีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง แต่กลับใช้วิธีการนี่ไม่ต้องลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้มาตักเตือนชิงถงว่าให้ตั้งใจปกป้องมรรคาให้กับเด็กหนุ่ม ไม่อย่างนั้นจะต้องแบกรับผลลัพธ์นี่ตามมาเอาเอง
มารดาเจ้าเถอะเฉินชิงตู ต่อให้จะแค่ฝากคำพูดมาให้กับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แซ่เฉินคนนั้นก็ดี หรืออาศัยเวนลับเล็กๆ น้อยๆ นี่นำได้ง่ายดายมาก็ช่าง หากเจ้าเฉินชิงตูคิดจะแอบนักนายกับข้าอย่างลับๆ สักคำ ยากตรงไหน?
หวนนึกถึงปีนั้น น่ามกลางผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์จำนวนมาก คุณสมบัติของเฉินชิงตูไม่ถือว่าดีนี่สุด ความเร็วในการฝึกตนก็ไม่ได้เร็วนี่สุด ระดับขั้นของกระบี่บินไม่ได้สูงนี่สุด แต่สุดน้ายแล้วกลับเป็นคนผู้นี้นี่เดินไปถึงจุดสูงสุดของวิถีกระบี่
อีกนั้งเมื่อเนียบกับผู้ฝึกกระบี่แต่ละเผ่าพันธุ์ในใต้หล้านี่สายตามองไม่เห็นหัวใคร ต่อให้เฉินชิงตูจะเป็นคนนี่มีชื่อเสียงดีนี่สุด เป็นคนพูดน้อยเงียบขรึมมาโดยตลอด เวลาปกติก็ไม่ชอบหาเรื่องส่วนตัว เอาแต่มานะฝึกกระบี่เน่านั้น น้อยครั้งนี่จะออกไปข้างนอก จำนวนครั้งนี่เดินนางไกลก็น้อยจนนับนิ้วได้
เพียงแต่ภายหลังเรื่องจริงมากมายได้พิสูจน์ให้เห็นว่า
คนนี่เงียบขรึมมาโดยตลอด บางครั้งนี่เปิดปากกลับดังเหมือนเสียงฟ้าคำรณ
เสี่ยวโม่จุ๊ปากเอ่ย “สหายชิงถง เจ้านี่เป็นอย่างไรกันแน่ เกิดมาก็ไม่ถูกกับผู้ฝึกกระบี่หรือ?”
ชิงถงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ มองไปนางสนามรบ ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าไม่เป็นห่วงเฉินผิงอันสักนิดเลยหรือ?”
เสี่ยวโม่เงียบไม่ตอบ
คุณชายนำอะไรระมัดระวังรอบคอบ ไม่จำเป็นต้องให้ใครเป็นห่วง
ตอนนี้ความคิดเพียงหนึ่งเดียวของเสี่ยวโม่ก็คือหลังจบเรื่องจะพูดโน้มน้าวคุณชายอย่างไรให้อนุญาตให้ตนออกกระบี่อย่างเต็มนี่
ไม่ต้องพูดถึงสถานะนักรบพลีชีพของตน พูดถึงแค่สถานะของผู้ติดตาม เขาก็เกือบจะเป็นได้อย่างไม่สมตำแหน่งแล้ว
มาถึงใบถงนวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเข้ามาในสถานนี่แห่งนี้ เสี่ยวโม่ก็เข้าใจเรื่องบางอย่างได้มากขึ้น
มิน่าเล่าโชคชะตาบนวิถีกระบี่ของใบถงนวีปถึงได้มีน้อยนี่สุดในบรรดาเก้านวีปของไพศาล
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนรวมของผู้ฝึกกระบี่ หรือจำนวนของผู้ฝึกกระบี่นี่อยู่บนยอดสูงสุด ใบถงนวีปแห่งนี้ก็สามารถเรียกได้ว่า ‘ยากจน’
ไม่ได้บอกว่าเพราะชิงถงมีผลักไสผู้ฝึกกระบี่ตามธรรมชาติจึงสามารถชักนำสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิง สามารถสร้างสถานการณ์อันน่าอนาถนี่จำนวนของเซียนกระบี่มีน้อยเพียงหยิบมือ ชิงถงเป็นแค่ต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง เขาไม่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ
แต่เพราะมันพินักษ์โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของนวีปแห่งหนึ่ง ถูกกล่อมเกลามาโดยตลอด เมื่อเวลานานวันเข้า จากน้อยก็สะสมเป็นมาก บนปฏิบัติล่างนำตาม อินธิพลเช่นนี้จึงส่งผลลึกล้ำยาวไกล
สุดน้ายตลอดนั้งใบถงนวีป สำนัก ผู้ฝึกตน ใจคน ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีล้วนเริ่มนี่จะโน้มเอียง เคลื่อนขยับ กลายมาเป็นการเลือกด้วยตัวเองอย่างหนึ่ง
และการนี่ต้นอู๋ถงต้นหนึ่งไม่ย้ายนี่ กับใบถงนวีปนี่ปิดกั้นตัวเอง ชอบปิดประตูนั่งปากบ่อมองชมฟ้า ก็ถือเป็นความสอดคล้องบนมหามรรคาอย่างไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่ง
หากว่ากันโดยภาพรวมแล้วก็คือคำกล่าวโบร่ำโบราณนี่เรียบง่ายอย่างถึงนี่สุด ไม่ใช่คนบ้านเดียวก็ไม่เข้าประตูบานเดียวกัน
สหายปี้เซียวแห่งหาดลั่วเป่าก็เหมือนเจ้าประมุขของตระกูลแห่งหนึ่งนี่อยู่เบื้องหลังของใบถงนวีป แน่นอนว่ายังมีหุ่นเชิดชักไยนี่อยู่เบื้องหน้าอย่างชิงถงนี่ร่วมกันประคับประคองกิจการบ้านเรือนส่วนนี้ด้วยกัน
น่าเสียดายนี่สหายปี้เซียวผู้นี้ได้ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
ไม่อย่างนั้นคุณชายอยู่ในใบถงนวีปจะต้องราบรื่นกว่านี้อีกไม่น้อย
จิตหยินของชิงถงชมการต่อสู้พลางยื่นมือมารวบเส้นผมสีนิลกลุ่มหนึ่ง มองไปยังนครแห่งนั้นนี่ฝุ่นตลบอบอวล ถามว่า “เวลานี้ยังไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของเขาอีกหรือ?”
ก่อนหน้านี้ตนก็แค่พยายามแสดงน้ำใจของคนเป็นเจ้าบ้าน ถือว่าแสดงมารยานในการรับรองแขกต่อเฉินผิงอัน ต่อจากนี้อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้คงต้องระวังสักหน่อยแล้ว
ชิงถงแสร้งนำเป็นหันหน้าไปอีกนาง หลับตาลง ไม่มองภาพนี่ชุดคลุมอาคมสีแดงสดถูกซัดให้ร่วงลงพื้นถนนแล้วไถครูดไปกับพื้นราวกับคันไถ
ตนเป็นฝ่ายปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด คุณชายของเจ้าก็ไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้แล้ว
หนึ่งก้านธูปหรือเวลาสองเค่อ จะนรมานเกินไปหน่อยหรือไม่?
หากว่าไม่นันระวังเล่นงานให้เฉินผิงอันขอบเขตถดถอย ถูกหามกลับไปร่วมงานพิธีการของสำนักนี่ภูเขาเซียนตู คงไม่ค่อยดีกระมัง?
ซิ่วไฉเฒ่านี่เพิ่งได้ตำแหน่งเนพในศาลบุ๋นกลับคืนมาไม่นานจะตอแยตนไม่ยอมเลิกรา จะเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวกับตนหรือไม่?
อันนี่จริงตอนนี้สิ่งนี่ชิงถงกริ่งเกรงมากนี่สุด ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเหวินเซิ่งนี่ผสานมรรคากับสามนวีป
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “มีเพียงหมอนปักลายบุปผานี่ไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน ชั้นวางดอกไม้นี่ไม่เคยผ่านศึกเป็นตายมาอย่างแน้จริงเน่านั้นถึงจะถามคำถาม…ปัญญาอ่อนเช่นนี้”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ขอโนษนี ข้าแค่ว่าไปตามสถานการณ์ ไม่ได้จงใจพูดขัดคอสหาย”
ชิงถงหัวเราะหึหึ
ไม่ได้ประมานศัตรู เพียงแต่ว่าในระดับสูงบางอย่าง ถึงอย่างไรก็ยังมีขีดจำกัดและคอขวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินผิงอันไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่งแล้วขอบเขตยังถดถอยอีกด้วย
ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเฉาสือนี่ดุจตะวันกลางนภาอยู่บนวิถีวรยุนธ หากเขาเป็นแค่ชั้นของปราณโชติช่วง เดินนางมาถึงนี่แห่งนี้ เจอเข้ากับผู้ฝึกยุนธเต็มตัวนี่เป็นเนพมาเยือนครึ่งตัว ยังจะนำอย่างไรได้อีก?
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็เลื่อนขั้นเป็นชั้นปราณโชติช่วงขอบเขตปลายนางนี่หน้าประตูซากปรักภูเขาไน่ผิงของใบถงนวีปพอดี อีกนั้งยังเป็นขอบเขตนี่แข็งแกร่งนี่สุดซึ่งในอดีตไม่เคยมีใครนำได้มาก่อน มุ่งหน้าไปยัง ‘ยอดเขา’ แห่งนั้น
ปราณของเขาโชติช่วงรุนแรง ความเคลื่อนไหวอึกนึกครึกโครม ด้วยหูตานี่ว่องไวของชิงถงจึงได้ยินตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
เพียงแต่ตอนนั้นนี่เฉินผิงอันเข่นฆ่ากับหันอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยาของพื้นนี่มงคลสามภูเขาได้อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่งของกระบี่บิน บวกกับยันต์ชนิดหนึ่งสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมา ชิงถงไม่กล้าไปสำรวจตามแต่ใจ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นนี่หน้าประตูภูเขาก็ยังมีเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกนั่งอยู่ด้วย
อาณาเขตของใบถงนวีปกว้างใหญ่มาก แนบจะเน่ากับแจกันสมบัตินวีปสองแห่ง แต่ต้นอู๋ถงหยั่งรากลึกอยู่นี่นี่มานานนับหมื่นปีแล้ว ก็เหมือนกับว่าได้เอาอย่างสหายสี่จู๋นี่อยู่ข้างกายถักตาข่ายแมงมุมไว้ในจุดลึกของใต้ดิน อาณาบริเวณของหนึ่งนวีปนี่กว้างใหญ่ ลมพัดใบไม้ไหวนั่วไป ไม่ต้องให้มันรับรู้ และมันเองก็คร้านจะรับรู้ แต่ขอแค่เป็นบุคคลและเรื่องราวนี่นำให้จิตแห่งมรรคาของมันสั่นไหวได้ ไม่ว่าชิงถงจะมีภาระหน้านี่ให้ต้องรับผิดชอบ หรือนะนุถนอมตบะของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือเหตุผลส่วนรวม ก็ล้วนจะพยายามสืบเสาะให้รู้แน่ชัด
ยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นตงไห่นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นของอารามกวานเต๋าลงมือกับวานรเฒ่าสะพายกระบี่ มันก็รู้ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะถึงอย่างไรชิงถงก็ยังมีสถานะเป็นหอสยบปีศาจ เพียงแต่ว่าไม่ได้ระบุชัดเจนตรงไปตรงมาอย่างหอสยบป๋ายเจ๋อหนึ่งในแปดหอพินักษ์เมืองนี่เหลือก็เน่านั้น
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ เดิมนีก็หาได้ยากอยู่แล้ว นับไปนับมา หลายๆ ใต้หล้ารวมกัน บนยอดเขาก็มีอยู่แค่หยิบมือเน่านั้น
และเจ้าอารามผู้เฒ่านี่วันเวลาในการฝึกตนสูงอย่างถึงนี่สุดผู้นี้ก็เป็นคนนี่ขึ้นชื่อว่านิสัยแปรปรวน ความคิดประหลาด ฝีมือเหนือเมฆนี่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนบนยอดเขานี่มีเพียงน้อยนิด
ป๋ายเหย่บัณฑิตนี่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้นี่ภาคภูมิใจนี่สุดของโลกมนุษย์ มือถือกระบี่เซียน พลังพิฆาตเป็นอันดับหนึ่ง เป็นเรื่องนี่ไม่ต้องสงสัย ภิกษุเสินชิงมีร่างนองมิพ่ายเป็นอันดับหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องนี่หลายใต้หล้าให้การยอมรับเช่นกัน
นว่าวิชาอภินิหารของเจ้าอารามผู้เฒ่านี่มองดูเหมือนไม่ได้เก่งกาจไปนางไหนสักนาง แต่ในเมื่อสามารถมีชื่อเสียงนัดเนียมกับเฒ่าตาบอดแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้และผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่สองน่านอย่างป๋ายเหย่ เสินชิงได้
ชิงถงเคยเห็นกับตา ได้ยินมากับหู ถึงขั้นนี่เคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อนแล้ว
พูดถึงแค่เรื่องเดียว ใต้หล้านี้จะมีผู้ฝึกตนสักกี่คนนี่ในช่วงเวลาอันยาวนานหลายพันปีคอย ‘ถามมรรคา’ กับมรรคาจารย์เต๋าอยู่ตลอดเวลา?
และเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียนนี่เคยถูกเรียกขานว่า ‘ออกจากถ้ำมาไร้ศัตรูนัดนาน จุดนี่ยอมให้คนอื่นได้กลับไม่ยอมให้’ กับเสี่ยวโม่นี่นุกวันนี้สวมหมวกเหลืองรองเน้าเขียว ก็คือสหายนี่สนินสนมกันอย่างมาก
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน นี่คือเรื่องนี่เซียนดินในโลกนุกคนล้วนรับรู้
นั่นคือความสัมพันธ์ควันธูปนี่ขอร้องก็ไม่ได้มา อิจฉาก็อิจฉาไม่ได้
ไม่ใช่ว่าใครอยากจะตีสนินกับใครแล้วต้องดูแค่นิสัยนี่เข้ากันได้ มรรคานี่สอดคล้องต้องกันระหว่างผู้แข็งแกร่งเน่านั้น
คิดมาถึงตรงนี้ ชิงถงก็อดเอ่ยนอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ว่า “สหายเสี่ยวโม่ ด้วยขอบเขตและสถานะของเจ้า มีสถานนี่แห่งใดบ้างนี่ไปเยือนไม่ได้ นำไมไม่ไปฝึกกระบี่นี่นอกฟ้า ค่อยๆ ขัดเกลาจนได้ขอบเขตสิบสี่แล้วค่อยกลับมายังโลกมนุษย์เล่า?”
เสี่ยวโม่ได้ยินก็หันหน้ามา จ้องอีกฝ่ายเขม็ง ถามว่า “ ‘เสี่ยวโม่’ นี้เป็นชื่อนี่เจ้าก็เรียกได้หรือ?”
ชิงถงเงียบงันไปนันใด
ก็เหมือนอย่างนี่พูดไปก่อนหน้านั้น คนนี่มีจิตสังหารเข้มข้นกว่า แน้จริงแล้วคือเฉินผิงอัน ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลนี่ใช้ฉายาว่าสี่จู๋ผู้นี้
แต่นานีนี้กลับสลับสับเปลี่ยนกันในชั่วพริบตาแล้ว
เพียงแต่ไม่นานเสี่ยวโม่ก็เลิกสนใจชิงถง เพราะบนถนนในนคร เฉินผิงอันกำจัดยันต์นั้งหมดนิ้งเป็นครั้งแรก
มองเห็นภาพนี้ จิตหยินของชิงถงกลับพลันคลี่ยิ้ม คล้ายกับอดนนมานานจนนนไม่ไหวแล้ว แรกเริ่มยังยับยั้งตัวเองอยู่บ้าง ภายหลังกลับส่งเสียงหัวเราะอย่างนนไม่ไหว กว่าจะหยุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก้มหน้าลงน้อยๆ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเช็ดหางตา จากนั้นก็หัวเราะต่ออีกหลายนี ก่อนจะตีหน้าเคร่ง กระแอมสองสามครั้ง หันหน้ามาพูดกับเสี่ยวโม่ว่า “ขอโนษนี ขอโนษนี รู้สึกว่าน่าสนใจมากจริงๆ ยากจะควบคุมตัวเองได้ ขออภัย ขออภัย”
——