กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 926.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (หก)
เสี่ยวโม่ไม่โกรธเคืองอารมณ์ความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงของชิงถงแม้แต่น้อย
หากจะบอกว่าการถามหมัดที่อยู่ระหว่างฟ้าดินว่างเปล่าก่อนหน้านี้ สองฝ่ายต่างก็กำลังฝึกปรือฝีมือ กำลังอุ่นเครื่อง ประลองวิชาขอความรู้ต่อกันเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นในนครเวลานี้ สองฝ่ายที่คุมเชิงกันก็ได้เริ่มเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาใช้แล้ว
ตอนที่ผู้เฒ่าร่างกำยำปล่อยหมัดออกไป ระหว่างนั้นได้เผยท่อนแขนส่วนหนึ่งให้เห็นโดยบังเอิญ ด้านบนมีอักขระยันต์สีทองแน่นขนัดลอยขึ้นมา ถึงกับเป็นตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนกระดูกขาวใต้กล้ามเนื้อ
เนื้อหาของตัวอักษรมีทั้งคาถาตระกูลเซียนบทแล้วบทเล่า แล้วก็มีคัมภีร์ของลัทธิพุทธ ยิ่งมีภาพยันต์บรรพกาลที่หายสาบสูญไปนานอีกหลายชนิด
แขนทั้งแขนของชิงถงเหมือนถูกหล่อหลอมให้เป็นเทือกเขากระดูกขาว ส่วนบนผนังหินผาก็ได้แกะสลักตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้จำนวนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งยันต์ของเซียนเหรินที่ใช้สร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับตัวภูเขา สร้างความหนักแน่นให้กับยอดเขาที่ทอดยาวเป็นสาย สุดท้ายจึงเป็นเหตุให้แขนข้างหนึ่งเหมือนเส้นชีพจรมังกรเส้นหนึ่ง นอกจากนี้ผิวหนัง เลือดเนื้อและเส้นเอ็นเส้นชีพจรกลับเป็นเหมือนส่วนประกอบเสริมที่จะมีหรือไม่มีก็ได้มากกว่า
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดถูกต่อยเข้าไปฝังในกำแพงสูงใหญ่แห่งหนึ่ง ใช้ข้อศอกดันหินจนปริแตกแล้วงัดตัวเองออกมาจากในกำแพง
ทว่าชิงถงที่เมื่อครู่นี้อัดกระแทกหน้าผากและหน้าอกของเฉินผิงอันติดๆ กันกลับไม่ได้ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน เนื่องจากชิงถงที่ใช้สองหมัดแลกหนึ่งหมัดจึงชิงความได้เปรียบไปอย่างสิ้นเชิงสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของหมัดนี้ของเฉินผิงอัน
หมัดนี้ไม่ถือว่าหนักมากหนัก เพียงแต่ว่าพายุหมัดกลับตามพัวพันไม่เลิก ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายแห่งในร่างกายของชิงถงเกิดความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก ส่วนบนแขนข้างที่มีอักขระแกะสลักเอาไว้ ตัวอักษรสีทองหลายร้อยตัวและภาพยันต์หลายภาพก็หม่นหมองไร้สีแทบจะในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ประหนึ่งเถ้าถ่านที่ร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
หลังจากนั้นชิงถงก็ยิ่งระวังมากกว่าเดิม
สีแดงสดสายหนึ่งล่องลอยอยู่บนถนน แสงรุ้งขาวเส้นหนึ่งก็ยิ่งว่องไวรวดเร็วมากกว่า กลายเป็นเส้นแนวตรงเส้นหนึ่งที่พุ่งดิ่งเข้าหาชุดคลุมอาคมสีแดงสดซึ่งคล้ายปลาแหวกว่ายอยู่บนถนนเส้นนั้น สิ่งปลูกสร้างตลอดเส้นทางระเบิดแตกเป็นแนวยาว เมื่อใดที่ชิงถงทำสำเร็จ ส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะต้องถูกกระแทกชนจนลอยลิ่วไปหลายร้อยลี้ คล้ายเจาะทะลุประตูใหญ่บานแล้วบานเล่าให้กับในเมือง ย้อนกลับมามองชิงถง ต่อให้โดนหมัดเข้าไปหนึ่งหมัด อย่างมากก็แค่เรือนกายส่ายไหวไม่กี่ที เพียงไม่นานก็สามารถเอาคืนเฉินผิงอันได้
จุดเดียวที่ผิดปกติก็คือ ชิงถงค้นพบว่ากระบวนท่าหมัดที่เฉินผิงอันใช้ซึ่งรวมถึงท่าที่ต่อยให้ยันต์สีทองสลายไปก่อนหน้านี้ มีแค่ห้ากระบวนท่าที่ถูกใช้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด ราวกับว่าเขาทำการฝึกซ้อมซึ่งถือเป็นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว จากแรกเริ่มสุดที่ค่อนข้างติดขัด จนกระทั่งค่อยๆ ชำนาญ ปณิธานหมัดทอดยาว ไม่อาจพูดได้ว่าพัฒนารุดหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่ด้วยสายตาของชิงถงกลับสามารถพูดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากหมัดแรกจนถึงหมัดสุดท้ายของอีกฝ่าย พูดถึงแค่การพัฒนาในด้านทักษะฝีมือก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ชิงถงเตะเจ้าหมอนั่นให้กระเด็นออกไปร้อยจั้งกว่า แผ่นหลังของผู้ฝึกยุทธหนุ่มกระแทกทะลุจวนของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งไปโดยตรง กระทั่งไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่บนถนนนอกกำแพงบ้าน ชุดคลุมอาคมสีแดงสดถึงใช้ข้อมือยันต์ลำต้นของต้นไว้เบาๆ จึงหยุดร่างเอาไว้ได้
เดินเลียบเส้นทางใหม่เอี่ยมเส้นนั้นไป ชิงถงเดินออกมาจากช่องโพรงบนกำแพงช้าๆ ยิ้มถามว่า “คิดค้นขึ้นเอง?”
หากไม่เป็นเพราะจิตวิญญาณของกระบวนท่าหมัดพวกนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ก็ถือว่าเป็นหมัดดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนอื่นคิดค้น”
คือวิชาหมัดห้าชนิดของเฉาสือ
การถามหมัดในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ เฉาสือบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองได้คิดค้นกระบวนท่าหมัดสามสิบกว่าชนิด ตอนนั้นเขาเอามาใช้ไม่ถึงครึ่ง
วันนี้เฉินผิงอันจึงเลียนแบบหมัดห้าชนิดของอีกฝ่ายอย่าง ดอกราตรี น้ำไหล มังกรลงน้ำ ภูเขาหลิงจิ้ว เสินเซียว
เฉาสือไม่ถือสาแม้แต่น้อยที่คนอื่นเรียนวิชาหมัดไปจากเขา
เพราะคนส่วนใหญ่เรียนไม่เป็น
ผู้ฝึกยุทธกลุ่มน้อยที่พอจะถือได้ว่าไล่ตามมาทันเห็นแผ่นหลังของเฉาสือก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
ผู้ที่เรียนรู้ข้ารอด ผู้ที่เลียนแบบข้าตาย
คำพูดประเภทนี้บางทีหากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่พูดก็คือความสามหาว ย่อมตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดสั่งสอนผู้อื่นโดยยกตนข่มท่านอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เฉาสือเป็นคนพูด บางทีอาจเป็นแค่หลักการเหตุผลที่เอ่ยด้วยใจที่สงบเป็นกลางอย่างถึงที่สุด
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดจะเรียนหมัดพวกนี้จริงๆ ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวก็คือเอามา ‘ดัดแปลงวิธี’ ในการขัดเกลาเรือนกาย
กระบวนท่าหมัด แนวทางและสัจธรรมแห่งหมัดที่แตกต่างกันสามารถขัดเกลาภูมิศาสตร์ภูเขาแม่น้ำที่ไม่เหมือนกันของเรือนกายร่างมนุษย์ได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นความหมายในการประลองฝีมือขอความรู้ของผู้ฝึกยุทธ คือการยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเอง
ชิงถงหัวเราะเสียงดัง “หรือว่าขโมยเรียนมาเหมือนกัน?”
เฉินผิงอันแก้ไขให้ถูกต้อง “เรียนหมัด”
ชิงถงถามอย่างกังขา “ต่างกันตรงไหน?”
ระหว่างที่พูด สองเท้าของชิงถงก็ถักทอสายฟ้าแลบปลาบขึ้นมา ประหนึ่งเท้าเหยียบอยู่บนบ่อสายฟ้าสองบ่อ ยังคงเป็นวิชาหมัด แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเหมือนวิชาหดย่อพื้นที่ของตระกูลเซียน
เพียงชั่วพริบตาชิงถงก็พลันยื่นมือไปกดหน้าผากของชุดคลุมอาคมสีแดงสด แล้ววิ่งตะบึงไปข้างหน้าตลอดทาง ขณะเดียวกันก็พลันปล่อยหมัดต่อยเข้าที่ลำคอของฝ่ายตรงข้าม
ขโมยเรียนวิชาหมัดก็ดี เรียนหมัดก็ช่าง ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ใครบ้างที่ทำไม่เป็น?
หมัดนี้ชิงถงได้เลียนแบบกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอันมาพอดี ห้านิ้วของมือขวากางเป็นตะขอ กดที่หน้าผากแน่น แม้จะบอกว่ามือขวาเหมือนกระแทกโดนแท่นโม่ที่หมุนบดอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้จะมีเลือดซึมออกมาจากนิ้วทั้งห้า ง่ามมือปริแตก มือซ้ายของชิงถงก็ยังออกหมัดไม่หยุด อยากจะรู้นักว่าปณิธานหมัดที่ต่อเนื่องรวดเดียวกันนี้ของตนจะสามารถประคับประคองไปได้ถึงยี่สิบกว่าหมัดหรือไม่ แล้วอีกฝ่ายจะต้านรับไว้ได้สักกี่หมัด สรุปแล้วปณิธานหมัดของตนจะขาดสะบั้นก่อน หรือร่างกายของอีกฝ่ายจะเกิดร่องรอยว่าปริแตกก่อนกันแน่
เพียงชั่วพริบตา ชิงถงก็ปล่อยหมัดไม่ทราบชื่อติดต่อกันถึงสิบเก้าหมัด เรือนกายของทั้งสองฝ่ายเหมือน ‘เดินออก’ ไปจากนครหลายลี้
ระหว่างนั้นเฉินผิงอันพลันเพิ่มความเร็วในการ ‘ถอยร่น’ อยู่สามครั้ง ชิงถงก็ทำตาม จึงรักษาระดับความเร็วได้เท่าเทียมกับเฉินผิงอันพอดี เหมือนแมวที่เล่นหยอกหนูอย่างไรอย่างนั้น
แต่ชิงถงก็จำต้องยอมรับว่า สิบเก้าหมัดนี้ของตน พละกำลังไม่ถือว่าน้อย แต่น่าเสียดายที่ความหมายไม่ค่อยจะพอ
การประลองฝีมือระหว่างปรมาจารย์ผู้ฝึกวรยุทธ การเรียนวิชาหมัดหากจะพูดว่าง่ายก็ง่าย เพราะง่ายมากที่จะเลียนแบบได้เหมือนเจ็ดแปดส่วน แต่หากจะพูดว่ายากก็ยาก การที่เรียนหมัดเป็นเรื่องยาก ก็ยากตรงที่การเข้าใจแก่นแท้ของมัน ยากที่จะมองทะลุไปถึงเส้นทางการไหลเวียนของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของอีกฝ่าย และทางสายนี้ก็เหมือนคาถาตระกูลเซียนบทยาวที่ตัวอักษรซับซ้อน เนื้อหายากจะทำความเข้าใจ สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตปลายทางแล้ว หากว่าได้แค่เรียนรู้กระบวนท่าหมัดเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกจะไปมีความหมายอะไร ไม่ได้แก่นแท้ของมันมาก็เป็นได้แค่ซี่โครงไก่เท่านั้น
ทว่าเวลานี้ชิงถงกลับไม่รู้สึกทดท้อ อย่างมากสุดวันหน้าตนก็แค่ฝึกหมัดนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ แสนครั้ง หลายแสนครั้งไม่พอก็หลายล้านครั้ง
ถึงอย่างไรกระบวนท่าหมัดในใต้หล้าก็เป็นสิ่งตายตัว มีเพียงคนที่ปล่อยหมัดออกไปเท่านั้นที่มีชีวิต
ชิงถงยืนนิ่ง ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก
ทั้งสองฝ่ายออกมาจากนครแล้ว เฉินผิงอันเหมือนว่าวสายป่านขาดที่ลอยไปกระแทกลงตรงทิศไกล
ชิงถงยิ้มกล่าว “อยู่ห่างจากเวลาหนึ่งก้านธูปอีกประมาณหนึ่งเค่อ เจ้าไหวหรือไม่?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วพ่นลมหายใจที่แห้งแล้งออกมา จู่ๆ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากก่อนหน้านี้ที่เป็นคนวัยชราดุจบ่อโบราณไร้คลื่นน้ำ กลายมาเป็นคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันฮึกเหิม ยื่นมือมากดด้ามดาบแคบเล่มหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอว ยิ้มเอ่ยว่า “หากพูดถึงแค่วิชาหมัดสูงต่ำ ยากมากที่เจ้าจะคู่ควรกับคำว่าเทพมาเยือนครึ่งตัว หรือควรจะพูดว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุดก็คือการใช้อาวุธ?”
ชิงถงยกสองแขนกอดอก ยิ้มกล่าว “ต่อให้ข้ามีแต่มือเปล่าเท้าเปล่า คิดจะอัดเจ้าก็ยังมากพอเหลือแหล่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ชิงถงยังไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มแรงเลยด้วยซ้ำ
เกรงว่าหากไม่ทันระวัง ต่อสู้กันอย่างเต็มคราบแล้วจะยั้งมือไม่อยู่ ทำให้อีกฝ่ายขอบเขตถดถอย หรือไม่ก็ฆ่าอีกฝ่ายตายไปได้เลย
ชิงถงเหลือบมองดาบที่ทับซ้อนกันตรงเอวของอีกฝ่าย ผายมือข้างหนึ่งออกมา “หากเจ้าจะใช้ดาบก็ตามสบายได้เลย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูเหมือนเจ้าจะลืมพูดไปว่า หลังจากเวลาสองเค่อสิ้นสุดลงแล้ว ต้องใช้หลักเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่าพวกเราสองคนใครแพ้ใครชนะ?”
ชิงถงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อสู้กันจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ถึงจะรู้ผล?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ย่อมได้”
ค่อยๆ ชักดาบพิฆาตออกมาจากฝักช้าๆ ดาบแคบมีขนาดยาวมาก ประกายสว่างใสดุจสายน้ำ
จากนั้นเฉินผิงอันก็แบมือออกแล้วกำด้ามดาบแน่น ยื่นมือออกไปปาดหนึ่งครั้ง บนคมดาบคล้ายได้รับการอภัยโทษจึงเปล่งประกายห้าสีที่ประหลาดอย่างถึงที่สุด
ชิงถงประหลาดใจเล็กน้อย แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ? หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ อีกฝ่ายไม่ถือว่าโกง
เฉินผิงอันไม่ได้ใช้วิธีการใดๆ ของผู้ฝึกตน แต่เหมือนกับใช้การหล่อหลอม การสร้างซึ่งเป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหันมากกว่า?
ชิงถงพลันถามว่า “เป็นดาบพิฆาตเล่มนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันที่ถือดาบด้วยมือขวาไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง มือซ้ายชักดาบอีกเล่มออกจากฝัก ยิ้มเอ่ย “ลองเดาดูอีกทีสิ”
ในใจชิงถงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
จ้องเจ้าคนที่ถือดาบด้วยสองมือเขม็ง
ชิงถงได้กลิ่นอันตรายขุมหนึ่ง
เขาไม่กล้าเกิดใจดูแคลนอีกแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่ายังเริ่มตั้งกระบวนท่าหมัดโบราณเพื่อรับมือด้วย
ปณิธานหมัดที่ยิ่งใหญ่ไพศาลถึงกับกลายมาเป็นเหมือนกายธรรมของผู้ฝึกตน รอบกายของชิงถงจึงมีภาพเหตุการณ์ประหลาดจำแลงขึ้นมา
มีคนดีดผีผา มีแค่หัวและแขนขาทั้งสี่ ไม่มีลำตัว
คนผู้หนึ่งไร้หัว สองมือทำท่าเป่าขลุ่ย
สตรีที่เหลือแต่ร่างกายท่อนบนกำลังดีดพิณ เหมือนถูกพิณโบราณสะบั้นร่างขาดครึ่งท่อน
มีคนที่ไร้แขน ข้างกายมีกลองเจี๋ยกู่ (กลองชนิดหนึ่งในสมัยโบราณของจีน ทั้งสองด้านจะหุ้มด้วยหนัง ตรงกลางเล็ก กล่าวกันว่าเป็นกลองของชนชาติแจ๋จู๋) ลอยอยู่ โคลงศีรษะไปมาทำท่าตีกลอง
ความแปลกประหลาดทั้งหลายเหล่านี้ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ชิงถงหงุดหงิดเป็นที่สุดยังคงเป็น ‘ลงทัณฑ์’ ที่ในตำนานบอกไว้ว่าหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงเป็นผู้ถือครอง เกี่ยวกับอาวุธเทพเล่มนี้ ลำพังแค่ประโยคที่ว่า ‘ผู้ที่โชคดีได้พบเจอคมดาบนี้ก็คือผู้ที่โชคไม่ดี’ ก็ทำให้ชิงถงรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ และยังหวาดกลัวอีกด้วย
หากจะบอกว่าพิฆาตสามารถสยบกำราบเผ่าพันธุ์เจียวหลงได้มากที่สุด
ถ้าอย่างนั้น ‘ลงทัณฑ์’ ที่หายสาบสูญไปนานนับหมื่นปีเล่มนี้ หลังจากเผยกายบนโลกอีกครั้ง เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือผู้ฝึกตน ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีได้เห็นดาบนี้กับตาตัวเอง
เฉินผิงอันก้าวเดินไปข้างหน้า สองมือถือดาบ ดาบพิฆาตเปล่งประกายห้าสี ส่วนดาบลงทัณฑ์ ด้านหนึ่งของคมดาบกลับเป็นสีดำทมิฬ ราวกับได้บุกเบิกเส้นเขตของดินแดนไท่ซวีขึ้นมา โดยเฉพาะตรงปลายดาบที่ลากเอาเส้นแสงแก้วใสที่เล็กบางอย่างมากเส้นหนึ่ง ถึงกับเป็นภาพอันน่ากลัวที่ว่าคมดาบสามารถกรีดทำลายแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ ส่วนคนที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดก็ก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่ไม่รีบไม่ร้อน ยังพูดกลั้วหัวเราะว่า “แทนที่จะโดนดาบแทงหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แล้วคราบร่างเซียนปริแตก ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เผาผลาญเวลาหลายร้อยปีก็ยังมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้ ถึงเวลานั้นผู้อาวุโสชิงถงค่อยหยิบเอาอาวุธเหมาะมือมาต้านทาน จะสายเกินไปหรือไม่ จะไม่ยิ่งขายหน้ามากกว่าเดิมหรอกหรือ? ลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรนี่อีกแล้ว เอาให้มีประโยชน์ที่แท้จริงสักหน่อย เอาชนะการประลองครั้งนี้ไปได้ต่างหากจึงจะเป็นภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญ”
พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรง ส่วนลึกของพื้นดินมีเสียงฟ้าคำรณดังขึ้นเป็นระลอก มองไม่เห็นเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว ใต้ฝ่าเท้าตรงจุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่
คนดีดผีผาที่เหลือแต่หัวและแขนขาถูกดาบฟันทีเดียวก็แหลกสลาย
คนเป่าขลุ่ยไร้หัว ทั้งร่างและขลุ่ยยาวก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงภายใต้แสงดาบที่เปล่งวาบทีเดียว
สตรีดีดพิณที่เหลือเพียงร่างกายท่อนบนถูกพิฆาตแทงทะลุหน้าอก ชุดคลุมอาคมสีแดงสดเผยกาย ยื่นมือออกมา มือข้างนั้นถือดาบแคบแทงร่างของฝ่ายแรกยกลอยขึ้นสูงกลางอากาศ
ความเร็วในการขยับร่างและการออกดาบ เร็วมากเกินไปจริงๆ
เฉินผิงอันคล้ายได้เลื่อนไปสู่ขอบเขตที่เรียกว่า คนเดินไปตามหมัด?
เดิมทีนี่ก็เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงของการเรียนวรยุทธ
ชิงถงถอยไปอยู่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว หลุบตาลงต่ำมองคนถือดาบที่อยู่นอกเมืองผู้นั้น
ร่างทั้งร่างของอีกฝ่ายคล้ายกำลัง…หัวเราะอย่างไร้เสียง
ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เป็นของกึ่งจริงกึ่งเท็จซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานหมัดไม่ได้ทำร้ายไปถึงเรือนกายและจิตวิญญาณของชิงถงได้สักเศษเสี้ยว ทว่าเจ้าคนที่เขาเห็นอยู่ในสายตากลับทำให้ชิงถงเกิดใจกริ่งเกรงเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรก เพียงแค่เพราะของนอกกายอย่างลงทัณฑ์เล่มนี้เท่านั้น
ครั้งนี้ กลับเป็นเพราะคนผู้นั้น
พลังอำนาจบนร่างที่แผ่ออกมาประหลาดเกินไปแล้วจริงๆ
ไม่ใช่ความโอหัง โหดเหี้ยม ไร้ปราณี แต่หากจะพูดว่าเป็นความเย็นชา เงียบสงัดดุจความตาย ไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง ก็ไม่ถูกอีกเหมือนกัน
ราวกับว่าความเป็นคนได้เดินไปสู่ปลายสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
ชิงถงไม่กล้าประมาทอีกแม้แต่น้อย ยื่นมือออกมากวักหนึ่งครั้งก็รวบรวมดาบยักษ์ลักษณะคล้ายดาบฟันม้าขึ้นมาได้เล่มหนึ่ง เป็นสีเขียวมรกต แกะสลักอักขระยันต์ไว้หลายชั้น ส่องประกายแสงเรื่อเรือง
ชิงถงที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง สองมือถือดาบอ้อมไปด้านหลัง หลังดาบแนบติดแผ่นหลัง หัวเราะหยันเอ่ยว่า “อาวุธไร้ตา หากโชคร้ายแขนขาดขาขาดไปบ้าง ก็อย่าได้โทษคนบ่นฟ้า นี่เป็นสิ่งที่เจ้ารนหาที่เอง”
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือเบาๆ ปั่นคว้านให้เรือนกายอรชรของสตรีดีดพิณแหลกสลายไปในพริบตา เงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าผมขาว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะบอกหลักการข้อหนึ่งให้เจ้าฟัง พูดมากตอนตีกันไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมือ”
จิตหยินของชิงถงที่ชมศึกอยู่ห่างไปไกล เดิมทีมีสีหน้าผ่อนคลายอยู่ตลอดเวลา แต่รอกระทั่งเฉินผิงอันชักดาบลงทัณฑ์ออกมากลับเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว และพอเฉินผิงอันลงมือ เพียงแค่ใช้พิฆาตก็สามารถบีบให้จิตหยางกายนอกกายถอยไปอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้ จิตหยินก็ถึงกับโยนใบไม้ร่วงสีทองที่อยู่ในมือทิ้งไป หันหน้ามาถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
เสี่ยวโม่วางสองมือกดไว้บนไม้เท้า “ถามเอาเองสิ”
เดิมทีความคิดจิตใจของจิตหยินกับจิตหยางก็เชื่อมโยงถึงกันอยู่แล้ว สามารถมองเป็นคนคนเดียวกันได้เลย
จิตหยินของชิงถงถอนหายใจ “หากยังสู้กันอย่างนี้ต่อไป ก็ยากที่จะยุติได้แล้ว”
เสี่ยวโม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมถึงได้รู้สึกว่าจิตหยินร่างนี้มีความผิดปกติอยู่บ้างนะ
แต่ก็ไม่เป็นไร ความสนใจของเสี่ยวโม่ยังคงอยู่บนสนามรบที่ทั้งสองฝ่ายกลับเข้าไปในเมืองอีกครั้งหนึ่งแล้ว
จะรีบร้อนไปไย ละครดีเพิ่งจะเปิดฉากเท่านั้นเอง
อันที่จริงเสี่ยวโม่เองก็ไม่เข้าใจว่าคุณชายคิดอย่างไรกับการถามหมัดครั้งนี้ และวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมเช่นไร
เสี่ยวโม่รู้แค่เรื่องเดียวว่า คุณชายยังไม่ได้แสดงท่าไม้ตายที่แท้จริงออกมา นี่ก็หมายความว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังสู้กันได้อีก
เพราะเฉินผิงอันเคยเปิดเผยรากฐานของตัวเองให้เสี่ยวโม่ฟัง บอกว่าวิชาหมัดที่เขาคิดค้นขึ้นเองมีแค่สองกระบวนท่าเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับเวทกระบี่
หมัดหนึ่งนั้นถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่า ‘เศษจันทร์’ คือความสุดขั้วสองทาง หนึ่งเรียบง่ายหนึ่งซับซ้อน
ครั้งแรกที่ร่ายใช้หมัดนี้คือในเมืองหลวงต้าหลี ตอนที่จัดการกับลูกรักแห่งสวรรค์ที่เกือบจะสร้างหายนะใหญ่กลุ่มนั้น
——