กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 926.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (หก)
การที่ผู้ฝึกลมปราณไม่ยินดีไปมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด ก็เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่คือสิ่งที่ยุ่งยากที่สุด ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคมซึ่งไร้เหตุผลป่าเถื่อน ยิ่งเป็นเพราะว่าหลังจากที่กระบี่บินทำร้ายคนไปแล้วยังทิ้งปราณกระบี่เอาไว้ ซึ่งมันจะก่อกวนสร้างคลื่นลมมรสุมอยู่อีกนาน ทำให้เกิดความเสียหายและทำลายฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์อย่างยาวนาน
‘ดอกราตรี’ กระบวนท่าหมัดของเฉาสือเป็นเช่นนี้ ‘เศษจันทร์’ ของเฉินผิงอันก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ หากหมัดนี้ต่อยลงบนร่างของคู่ต่อสู้ ปณิธานหมัดจะแผ่ลามไปอย่างรวดเร็วทั้งยังลึกลับอำพรางยิ่ง ก็เหมือนกับว่าในขุนเขาสายน้ำฟ้าดินเล็กของศัตรูได้มีตัวอักษรใหญ่ที่แกะสลักบนหน้าผาเหมือนยันต์ผีปรากฎขึ้นมานับไม่ถ้วน แทบจะมิอาจย้อนกลับไปแก้ไข หากถูกทิ้งไว้ก็คือภัยแฝงบนมหามรรคา คนที่ได้รับบาดเจ็บคิดจะซ่อมแซมบำรุงให้ดีก็ได้แต่ขัดเกลารอยแกะสลักบนหินเหล่านั้นให้ราบเรียบ เหมือนช่างที่ได้แต่เอามีดปาดให้เรียบ หรือไม่ก็เอาค้อนมาทุบให้แตกไป
เสี่ยวโม่เหลือบมองใบอู๋ถงที่ชิงถงทิ้งไป
หนึ่งใบก็คือหนึ่งโลก คือม้วนภาพที่คล้ายคลึงกับภาพม้าวิ่ง เพียงแต่ไม่ได้เกี่ยวพันไปถึงแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นหากชิงถงสามารถดึงเอาน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลามาได้มากมายขนาดนั้น ป่านนี้ก็คงเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ไปนานแล้ว
ผู้นำบนภูเขาของใบถงทวีป คือสำนักใบถงกับสำนักกุยหยกที่ตั้งคุมเชิงกันอยู่ใต้และเหนือ
นี่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งของเมื่อหลายปีก่อน สำนักอักษรจงสองแห่งที่โชคชะตาทอดยาวนี้ ไม่ได้อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า แต่ถือกำเนิดขึ้นตามโชคชะตา
ตามคำกล่าวของคุณชายคือจอมปราชญ์น้อยในอดีต หรือก็คือหลี่เซิ่งในทุกวันนี้ เคยได้ทำการทดลองบางอย่าง
แรกเริ่มสุดคือได้ไปพบเจอกับเฟิงอี๋ในศาลเทพอัคคีของเมืองหลวงต้าหลี เนื่องจากเฉินผิงอันมองความลี้ลับของเหล้าหมักร้อยบุปผาที่ปิดผนึกด้วยดินหมื่นปีออกในปราดเดียว เดาออกว่าสุรานี้คือของบรรณาการอย่างหนึ่ง เฟิงอี๋ ‘รับคำต่อ’ จึงได้พูดถึงเบาะแสเส้นหนึ่งขึ้นมาก่อน นั่นคือสามฝ่ายที่ต้องส่งมอบบรรณาการ หลักๆ แล้วพูดไปถึงหกตำแหน่งของเมืองผีนครเฟิงตูที่หยินหยางมีความต่าง และยังมีชิงจวินแห่งภูเขาฟางจู้ที่กุมอำนาจใหญ่ ได้ครอบครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลบนพื้นดินและทำเนียบเซียนดินทั้งหมด…สรุปก็คือสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมารยาทพิธีการ ‘ใหม่เอี่ยม’ ที่ถือว่าหลี่เซิ่งเป็นผู้กำหนดออกมา ภายหลังเฉินผิงอันสืบสาวเบาะแสไป จึงได้สอบถามเรื่องวงในมากมายจากอาจารย์
ขณะเดียวกันหลี่เซิ่งยังเคยเชื้อเชิญให้อาจารย์ซานซานจิ่วโหวออกจากภูเขาด้วยตัวเอง ตามความลับสวรรค์ที่ลู่เฉินแพร่งพรายมา เฉินผิงอันเชื่อว่ายุคสมัยที่อาจารย์ซานซานจิ่วโหวตั้งป้ายศิลา ‘สะบั้นความโง่เขลาและความดึงดันออกจากจักรวาลที่สงบสุข’ ก็เพื่อร่วมมือกับหลี่เซิ่ง ถึงได้ยินดีออกจากภูเขามาอีกครั้ง มาช่วยหลี่เซิ่งตั้งกฎสวรรค์ เดิมทีก็เพื่อใช้จัดการกับภูตผีในใต้หล้าอยู่แล้ว เฉินผิงอันเดาเอาว่าหากการกระทำนี้ของหลี่เซิ่งสำเร็จจะใช้ได้ครอบคลุมจักรวาล คาดว่าภายหลังก็คงไม่มีศึกสังหารมังกรอะไรแล้ว
แต่นี่ยังไม่ใช่จุดที่เกินจริงที่สุด อีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์เล่าให้ฟังต่างหากที่ถึงจะน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง
บนโลกมนุษย์ถึงกับเคยมีโอกาสที่จะให้กำเนิดเจ้าแห่งมวลมนุษยชาติ!
นี่คือการกระทำที่เสี่ยงอันตรายอย่างถึงที่สุด เท่ากับว่าหลี่เซิ่งดึงเอามหามรรคาส่วนหนึ่งของตัวเองทิ้งไปแล้ว
อีกทั้งหากทำสำเร็จ พิสูจน์ได้ว่าการกระทำนี้มีผลดี ถ้าอย่างนั้นสถานะของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อก็มีโอกาสที่จะไม่ได้ยกระดับขึ้นสูง กลับกันยังลดต่ำลง เหมือนการเดินลงบันไดไปหนึ่งขั้น ก็เหมือนกับว่าขุนนางในราชสำนักของโลกยุคหลัง ให้การช่วยเหลือจักรพรรดิอย่างชาญฉลาด สร้างโลกแห่งความผาสุกซึ่งหมื่นปีไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...
ภายหลังเฉินผิงอันยังได้เปิดอ่านเอกสารลับในสวนกงเต๋อของศาลบุ๋นเพิ่มเติม แล้วก็จริงดังคาด ได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันมา ก็คือระหว่างช่วงเวลานั้นเคยมีจักรพรรดิผู้ปรีชาฌานท่านหนึ่งเคยเอาใบถงใบหนึ่งมาตัดเป็นรูปกุย (เครื่องหยกที่บรรดาจักรพรรดิหรือเจ้าครองนครรัฐต่างๆ ใช้ในการประกอบพิธีอันสำคัญยิ่งในสมัยโบราณ ส่วนบนแหลมส่วนล่างเป็นเหลี่ยม) มอบให้กับน้องชายของตัวเอง นี่ก็คือคำว่า ‘ใบถงแต่งตั้งน้องชาย’ และ ‘หนึ่งใบแต่งตั้งโหว’ ที่ถูกบันทึกไว้ในเอกสารลับของสวนกงเต๋อศาลบุ๋น สร้างแคว้นขึ้นมาที่ริมลำน้ำใหญ่ซึ่งมีชื่อว่าเฝินตู๋ของใบถงทวีป ตอนนั้นสาขาหลักของลำน้ำก็มีลำคลองฮุ่ยเหอ แม่น้ำซู่เจียง ลำคลองม่ายเหอของราชวงศ์ต้าเฉวียนในทุกวันนี้ และยังมีลำคลองหลินเหอต่างก็เป็นแค่หนึ่งในกระแสรอง เป็นแค่ช่วงหนึ่งของแม่น้ำที่ไม่สะดุดตาในปีนั้นเท่านั้น
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สุดท้ายแล้วหลี่เซิ่งก็ไม่อาจทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ
การต่อสู้ในเมืองแทบจะทำลายนครไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ทุกครั้งที่คมดาบปะทะกันจะต้องมีฝนห่าใหญ่ที่เป็นสะเก็ดเพลิงสาดกระจายออกมา สิ่งปลูกสร้างรอบกายคนทั้งสองเหมือนใบไม้ร่วงที่ถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัดกวาด
สีหน้าจิตหยินของชิงถงเคร่งเครียด โชคดีที่ดาบอาคมที่ตนหล่อหลอมอย่างตั้งใจเล่มนั้นมีระดับขั้นสูงมาก ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เจอกับลงทัณฑ์เลย ต่อให้เจอแค่พิฆาตก็คงต้องเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแล้ว
เสี่ยวโม่ยืดแขนบิดขี้เกียจ ถามว่า “นักพรตที่ถูกคุณชายบ้านข้าเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่า ‘หลวี่จู่’ ผู้นั้น มีความเป็นมาอย่างไร?”
ชิงถงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงตอบอย่างขอไปทีว่า “ฉุนหยางเจินเหริน คือผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาที่แท้จริงคนหนึ่ง บ้านเกิดอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล แต่สถานที่ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงกลับอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ถูกขนานนามว่าโอสถทองอันดับหนึ่ง เคยเดินทางไปเที่ยวเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว แค่พบเจอกับเจ้าอารามผู้เฒ่าก็เหมือนรู้จักกันมานาน หนีหยวนจานคนถ่อเรือเฒ่าแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา และยังมีอวี๋เจินอี้ในภายหลัง หากว่ากันในบางระดับแล้วก็ล้วนเลียนแบบฉุนหยางเจินเหริน”
มีตำราหมากล้อมโบราณที่มีชื่อเสียงของนักพรตฉุนหยางเล่มหนึ่งที่ตำราไร้ชื่อ ทว่ากลับแพร่หลายอย่างมาก นักพรตที่เดินทางท่องเที่ยวพเนจรผู้นั้นเคยเขียนบทกวีไว้บนคำนำของตำราหมากล้อมว่า ออกจากถ้ำไร้ศัตรูทัดเทียม จุดที่ยอมให้ผู้อื่นได้ก็จงยอมให้ผู้อื่น
นี่จึงเป็นเหตุให้มีปัญญาชนที่อิงตามความเคยชินในการตั้งชื่อของเทียบอักษรหลายแผ่นที่สืบทอดต่อกันมา ขนานนามให้ว่า ‘ตำราล่านเคอ’ (กาลเวลาผันผ่าน คนและเรื่องราวจึงแปรเปลี่ยน) มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ตำราออกจากถ้ำ’ ทั้งเล่มมีสัจธรรมแห่งหมากล้อมเก้าบท มีสถานการณ์การเล่นหมากล้อมรวมแล้วสามสิบหกสถานการณ์
ก็คือตำราหมากล้อมบทหนึ่งที่ฉุนหยางเจินเหรินผู้นั้นเรียบเรียงขึ้นหลังได้มาเที่ยวเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนที่นักพรตออกไปจากพื้นที่มงคล เจ้าอารามผู้เฒ่าเหมือนจะชื่นชมคนต่างถิ่นที่ปีนั้นขอบเขตไม่สูงผู้นี้อย่างมาก ส่งอีกฝ่ายออกจากดินแดนอย่างมีมารยาทด้วยตัวเอง อาณาเขตภาคกลางของใบถงทวีป หรือก็คือนครฉีเฮ้อ (ขี่นกกระสา) ของราชวงศ์ต้าเฉวียนในภายหลังถึงได้มีซากปรักเซียนเหรินขี่นกกระสาบินทะยานแห่งนั้น
ก็เหมือนอย่างร่องน้ำและใบไม้แดงที่มักจะมีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อบทกวีอยู่เสมอ บทกวีจำนวนไม่น้อยของไพศาล ทุกครั้งที่พูดถึงต้นอู๋ถงก็มักจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับบ่อน้ำ
ยกตัวอย่างเช่นเขาประตูยวนยางม่วง บ่อทองอู๋ถงคู่ หรืออย่างเช่นว่า เดินทางไกลไปต่างแดน หวนคืนภูเขาใบไม้โรยฝันยาวนาน อู๋ถงร่วงหล่นลงบ่อ ใบหนึ่งปลิวสู่ธารสีเงิน
ประตูใหญ่ของพื้นที่มงคลดอกบัว อันที่จริงก็คือบ่อน้ำบ่อหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันที่เวลานี้อยู่ในสนามรบเคยได้สัมผัสกับตัวเองมาก่อนแล้ว
ในนคร บนสนามรบมีแต่ฝุ่นกระจายคลุ้งตลบ
ผู้เฒ่าผมขาวมีเลือดซึมออกมาจากมุมปาก โดยเฉพาะแขนข้างที่กำดาบที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อแทบจะแหลกสลายหมดสิ้น จิตหยางกายนอกกายของชิงถงร่างนี้มองบุรุษชุดสีแดงสดที่ยืนอยู่กลางซากปรักแล้วก็อดพูดอย่างสะท้อนใจไม่ได้ว่า “ไม่ใช่คนจริงๆ”
หากไม่เป็นเพราะสาเหตุของการผสานมรรคา ทำให้ไอ้หมอนี่สูญเสียจิตหยินและจิตหยางกายนอกกายไป ไม่อย่างนั้นสามฝ่ายบวกกับดาบคู่ และกระบี่ยาวที่ลอยตัวอยู่นอกนคร นั่นต่างหากที่เรียกว่ารับมือได้ยาก
จิตหยินของชิงถงเหลือบมองธูปก้านนั้นคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ถือว่าเป็นลมและน้ำเปลี่ยนทิศหรือไม่?”
ชิงถงเปลี่ยนเรื่องคุย “ไม่เคยคิดจะไปหาสหายเก่าที่ใต้หล้ามืดสลัวบ้างเลยหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มตอบ “ไม่รีบร้อน”
ชิงถงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เสี่ยวโม่กล่าว “ข้ารู้ จนกระทั่งบัดนี้ เจ้าที่อยู่ในนครก็ยังออมฝีมือเอาไว้ เพราะต้องการรอวินาทีที่เวลาสองเค่อสิ้นสุดลง”
ชิงถงส่ายหน้า “หากไม่มีเวลาหนึ่งก้านธูปเป็นขีดจำกัด ก็จะต้องลากกันต่อไปเช่นนี้ ต่อให้เฉินผิงอันมีดาบสองเล่มนั้นก็ยังต้องแพ้อย่างมิต้องสงสัย”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างกังขา “เวลาสองเค่อหนึ่งก้านธูป เป็นฝีมือของใคร?”
ชิงถงรู้สึกจนใจยิ่งนัก
ในกฎที่ศาลบุ๋นอนุญาต ผลเก็บเกี่ยวบางอย่างที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำ หอสยบปีศาจของชิงถงกับอารามกวานเต๋าที่สถานะโดดเด่นเหนือใครแห่งนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือว่าเป็นการนั่งลงแบ่งทรัยพ์สินกัน
อารามกวานเต๋า ‘เลือกแต่ของดี’ ทางฝั่งของต้นอู๋ถงกลับได้กินแต่เศษซากน้ำแกงเย็นๆ
ความวุ่นวายของภูเขาไท่ผิงในปีนั้นส่งผลกระทบลึกล้ำยาวไกล วานรเฒ่าสะพายกระบี่ตัวหนึ่งสังหารวิญญูชนจงขุยแห่งสำนักศึกษาต้าฝู
เนื่องจากหากอิงตามผลการอนุมานของกระโจมทัพเปลี่ยวร้าง จงขุยจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนเหรินห้าคน
วานรขาวทำสำเร็จแล้ว มันก็ถูกเทียนจวินผู้เฒ่าที่เดือดดาลรีบหดย่อพื้นที่กลับคืนสู่ภูเขาไท่ผิง ในมือถือคันฉ่องแสงจันทร์ตามไล่ฆ่าไปไกลหมื่นลี้ วานรขาวได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายหนีไปอยู่ในตำหนักแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเส้นชีพจรมังกรที่ปริแตก ไปรวมตัวกับ ‘นักพรตหนุ่ม’ ของภูเขาไท่ผิงคนนั้น จากนั้นก็ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าตามหาร่องรอยเจออย่างง่ายดาย เจ้าอารามผู้เฒ่าเผยกายในสถานที่พักร้อนซึ่งในอดีตถูกเรียกขานว่าวังมังกรลำน้ำเฝินตู๋อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง เขายืนอยู่บนซากปรักของแท่นตรวนมังกร ซากปรักใต้ฝ่าเท้าคล้ายคลึงกับ ‘กฎแห่งตระกูล’ อย่างหนึ่ง คือสถานที่ที่ในอดีตวังมังกรของลำน้ำใหญ่ใช้ในการลงทัณฑ์กันเอง
วานรเฒ่าถูกนักพรตเฒ่าโยนทิ้งเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างง่ายดาย สูญเสียสติปัญญา จำต้องหันมาฝึกตนใหม่อีกครั้ง
ส่วนนักพรตหนุ่มนั้นเพียงแค่เพราะ ‘พูดไม่เข้าหูกันคำเดียว’ จิตวิญญาณที่เดิมทีก็ไม่ครบถ้วนอยู่แล้วจึงหลุดลอยออกจากร่าง เนื้อหนังมังสานอนตัวอ่อนยวบอยู่กับพื้น
จิตวิญญาณล่องลอยออกมาจากร่างแล้วก็ถูกนักพรตเฒ่าบีบคอเอาไว้ ส่วนเนื้อหนังมังสานั้นมีจุดจบเดียวกับวานรขาวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แค่เพราะคำพูดเดียวเท่านั้นจริงๆ แค่คำเรียกขานที่ตามหลักแล้วถือว่าพูดได้เหมาะสม
เรียกเจ้าอารามผู้เฒ่าว่าผู้อาวุโส
ผลคือพอเจ้าอารามผู้เฒ่าได้ยินกลับกลายเป็นว่า ‘เจ้าเป็นเผ่าปีศาจคนหนึ่ง เรียกขานข้าว่าผู้อาวุโส เรียกตัวเองว่าผู้เยาว์เสียคล่องปาก? ด่าว่าข้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเฒ่าหรืออย่างไร?’
เพียงแต่ว่าเศษซากจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเผ่าปีศาจตนนี้ประมาณหนึ่งจิตสี่วิญญาณ เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้โบกชายแขนเสื้อซัดให้กลายเป็นเถ้าถ่าน กลับยังมีเมตตาต่ออีกฝ่าย จงใจเก็บไว้ในกวานเต๋าดอกพุดตาน แล้วทิ้งไว้บนแท่นตรวนมังกรแห่งนั้น
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายเตร็ดเตร่ไปทั่ว เป็นเหตุให้จิตวิญญาณของปีศาจใหญ่ตนนี้ถูกกักอยู่ในกวานเต๋าชิ้นนั้น ถูกตรึงอยู่ในจุดลึกของรากภูเขาในซากปรักคุกของภูเขาไท่ผิงอย่างแน่นหนา
จนถึงตอนนี้ก็ยังหลุดออกมาไม่ได้
เจ้าอารามผู้เฒ่ายังแอบลงมือ ใช้วิธีการเหนือเมฆปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทร เท่ากับว่า ‘กัก’ โชคชะตาขุนเขาสายน้ำไว้ให้กับภูเขาไท่ผิงล่วงหน้าส่วนหนึ่ง ไม่ให้มันถึงขั้นสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่อย่างนั้นสงครามที่เกิดขึ้นในภายหลัง ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงล้วนตายสิ้น ภูเขาทั้งลูก ทุกหนทุกแห่งล้วนปริแตกพังทลาย เหมือนตะแกรงร่อนที่ผุพังตะกร้าไม้ไผ่ที่ว่างเปล่า ไหนเลยจะรั้งน้ำที่ไหลผ่านไว้ได้สักเศษเสี้ยว
ใบถงทวีปมิอาจต้านทานการโจมตี เพียงครู่เดียวขุนเขาสายน้ำก็จมดิ่ง ไม่นานก็ถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจยึดครอง อาจเป็นเพราะคือแสดงความเป็นมิตรอย่างหนึ่งที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่มีต่อเจ้าอารามผู้เฒ่า จึงไม่ได้ไปแตะต้องกวานเต๋าชิ้นนั้น แล้วก็ไม่ได้บุกเบิกท่าเรือใดๆ ไว้ที่ซากปรักของภูเขาไท่ผิง เพียงแต่ว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องมอบรางวัลให้กับผู้มีคุณูปการ ก็ได้มอบการชดเชยเป็นพิเศษให้กับร่างจริงซึ่งยังมีจิตวิญญาณหลงเหลือของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในใต้หล้าไพศาลมานานหลายปีผู้นั้น ถือว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ทุกวันนี้จึงกลายเป็นปีศาจใหญ่ที่ปกครองพื้นที่แห่งหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
อันที่จริงหลังจากที่คันฉ่องแสงจันทร์บานนั้นแตกละเอียดไปอย่างสิ้นเชิง เหตุใดอาณาเขตซากปรักของภูเขาไท่ผิงถึงยังได้ครอบครองท่วงทำนองที่เหลืออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งยังป้วนเปี้ยนวนเวียนไม่ไปไหน
นี่ถึงได้ทำให้กองกำลังในพื้นที่หลายกลุ่มซึ่งมีเสี่ยวหลงชิวเป็นหนึ่งในนั้นละโมบอยากครอบครองซี่โครงไก่อย่างภูเขาไท่ผิงแห่งนี้
คำพูดบางอย่างที่เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยออกมาตอนอยู่บนแท่นตรวนมังกรก็ยิ่ง ‘เนรคุณ’ ทำเอาชิงถงที่ได้ยินจิตแห่งมรรคาสะท้านไหว แต่จะไม่ฟังก็ไม่ได้ อยากจะทำตัวเป็นคนหูหนวกก็ไม่ได้
ชัดเจนว่าถูกนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นบังคับดึงให้ลงเรือโจรไปด้วยกัน
ระหว่างนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยถ้อยคำที่คล้ายการตอกปิดฝาโลงกับผู้เยาว์คนนั้นว่า
ไม่ฆ่าเฉินผิงอัน ก็เท่ากับพลาดโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าไป
เพราะหากสังหารคนผู้นี้ก็จะได้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าอารามผู้เฒ่าก็สามารถถือโอกาสนี้รับตัว ‘เฉินผิงอัน’ เข้าไปอยู่ในอาราม ยกระดับตำแหน่งของเบาะรองนั่งให้สูงขึ้นได้เยอะมาก
เบาะรองนั่งที่นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นี้กล่าวถึง แน่นอนว่าต้องเป็นอารามกวานเต๋าทั้งแห่ง หรือก็คือพื้นที่มงคลดอกบัวที่เชื่อมโยงอยู่กับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา
ส่วนกระบี่เล่มที่เฉินชิงตูให้เฉินผิงอันยืม ตอนนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าก็ได้บอกความจริงมาส่วนหนึ่ง
‘นี่ก็คือย้ายผลกรรมบางอย่างไปไว้บนบ่าของเฉินผิงอัน’
ตอนเป็นเด็กหนุ่มก็สะพายเจี้ยนชี่ฉางเล่มหนึ่ง เดินทางจากภูเขาห้อยหัวกลับมายังใต้หล้าไพศาล สะพายกระบี่มาเที่ยวเยือนใบถงทวีป
ใบถงทวีปมีหอสยบปีศาจ เข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว
อิ่นกวานหนุ่มแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจ
ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง
คนผู้หนึ่งเฝ้าพิทักษ์นครก็ยังโชคดีไม่ตายไป ได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง
โอกาสและโชคชะตา? โอกาสและโชคชะตา หนึ่งดื่มหนึ่งกิน (เดิมหมายถึงนกที่ใช้ชีวิตอิสระกินดื่มตามที่พวกมันต้องการ ภายหลังถูกนำมาเปรียบเปรยกับผู้คน มีความหมายว่า ต่างคนต่างอยู่ ใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ข้องเกี่ยวซึ่งกันและกัน ) หรือนี่จะเป็นบัญชาจากสวรรค์?
เสี่ยวโม่เหลือบตามองธูปก้านนั้น ยื่นมือไปคว้าจับไม้เท้าเดินป่า ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ธูปกำลังจะเผาไหม้หมดก้าน
ชิงถงถาม “เจ้าคงจะไม่?”
เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอก เนื่องจากผลแพ้ชนะกำหนดได้แน่นอนแล้ว เพียงแต่รอจนเสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืน เส้นเอ็นหัวใจในจิตหยินของชิงถงก็ขึงตึงขึ้นมาอีก
คงไม่ใช่ว่าคิดจะทำลายกฎจึงเลือกจะลงมือหรอกกระมัง?
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “เจ้าคิดไปไกลแล้ว”
สนามรบถูกย้ายออกมานอกเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์คนละเฮือก
พอดีกับที่มีมหาบรรพตตั้งตระหง่านอย่างเดียวดายกางกั้นอยู่พอดี ทั้งสองฝ่ายจึงแยกกันอยู่หน้าภูเขากับหลังภูเขา
เคยเดินทางไปเที่ยวเยือนสถานที่หลายแห่งมาพร้อมกับเสี่ยวโม่ นอกจากเฉินผิงอันจะฝึกซ้อมใช้เวทหลบหนีแสงกระบี่ซ้ำไปซ้ำมาแล้ว นอกเหนือจากนี้ ตอนที่ปิดด่านอยู่ในสถานประกอบพิธีกรรมถ้ำสวรรค์ของภูเขาเซียนตูก็ยิ่งคล้ายกับผู้บำเพ็ญตนที่จริงแท้แน่นอนมากกว่า เป็นการตั้งใจฝึกตนอย่างจริงจัง
ส่วนเรื่องของการเรียนวรยุทธฝึกหมัด ก็ฝึกอยู่เหมือนกัน อีกทั้งคนนอกฟังดูแล้วจะรู้สึกว่าง่ายมาก แต่พอทำขึ้นมาจริงๆ กลับยากไม่ต่างจากการเดินขึ้นฟ้า
ครึ่งหมัด
ซ้ำไปซ้ำมา ฝึกแค่ครึ่งหมัดเท่านั้น
แต่กลับยังมิอาจบรรลุถึงแก่นแท้ของมัน ถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่ายังไม่เข้าขั้น ในเมื่อแม้แต่ภาพลักษณ์ก็ยังไม่เหมือน แล้วจะพูดถึงความเหมือนทางจิตวิญญาณได้อย่างไร?
และครึ่งหมัดนี้ก็ฝังเลื่อมอยู่ในขุนเขาสายน้ำร่างกายมนุษย์ของเฉินผิงอันพอดี
คือครึ่งหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดสอดดาบใส่ฝัก เริ่มถอยร่นไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง รอกระทั่งอยู่ห่างจากภูเขาสูงลูกนั้นหลายร้อยลี้ถึงได้เริ่มวิ่งตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง
ทันใดนั้นร่างของเฉินผิงอันก็หายวับไป
เพื่อปล่อยหมัดนี้ ระหว่างที่วิ่งตะบึงไปเบื้องหน้า ก่อนที่ร่างจะหายไป เฉินผิงอันถึงขั้นจำต้องปลดดาบแคบสองเล่มออกมาอย่างรวดเร็ว โยนพวกมันทิ้งไปง่ายๆ
เสี่ยวโม่กำไม้เท้าเดินป่าสีเขียวที่อยู่ในมือแน่น หรี่ตายืนนิ่ง
เส้นผมตรงจอนหูของจิตหยินชิงถงปลิวไสวไปตามลม สีหน้าตื่นตระหนก พึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงยุงเสียงแมลงวัน
ใบไม้ร่วงสีทองเต็มพื้นที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเริ่มปลิวกระจายไปด้านหนึ่ง
ด้านหลังภูเขาใหญ่ ผู้เฒ่าผมขาวที่ปณิธานหมัดไต่ทะยานถึงยอดสูงสุดเช่นเดียวกันพลันลืมตาโพลง เพราะเบื้องหน้าไม่เหลือภูเขาอยู่อีกแล้ว
——