กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 927.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เจ็ด)
ก่อนจะรับหมัดนั้น บนร่างจิตหยางกายนอกกายของชิงถงพลันมีเสื้อเกราะเก่าแก่โบราณตัวหนึ่งเพิ่มมา
หมัดนี้แปลกประหลาดเกินไป ทั้งมิอาจต้านทานศัตรูได้ ขณะเดียวกันก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะหลบเลี่ยงไม่พ้น ชิงถงจึงได้แต่เลือกฝืนรับเอาไว้ นอกชุดคลุมอาคมสีขาวตัวนั้นจึงมีเสื้อเกราะที่เอาไว้ใช้ปกป้องเรือนกายเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่ง
นี่แสดงให้เห็นว่าชิงถงไม่คิดว่าร่างกายของผู้ฝึกยุทธที่เป็นเทพมาเยือนครึ่งขั้นของตัวเอง หากไม่พึ่งพาของนอกกายแล้วจะสามารถรับหมัดนี้ไว้ได้อย่างเต็มที่
หนึ่งหมัดผ่านไป เสื้อเกราะวิเศษบนร่างของผู้เฒ่าผมขาวเหมือนกระจกที่แตกร้าว ประหนึ่งดาวตกนับไม่ถ้วนที่สาดยิงออกไป
อีกทั้งร่างกำยำของผู้ฝึกยุทธเฒ่ายังเริ่มร่วงดิ่งลงพื้น แต่กลับไม่ได้ทิ้งตัวเป็นเส้นตรง เพียงแต่เพราะฟ้าดินแห่งนี้คล้ายกระดาษก้อนหนึ่งที่ถูกเด็กน้อยขยำพับตามใจชอบ ระหว่างนี้ทิศทางการไหลไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของวิถีทางโลกไปแล้ว คำว่าทิศทางล้วนเป็นภาพลวงตา ตะวันออก ใต้ ตะวันตก เหนือ บนล่างซ้ายขวา ล้วนบิดเบี้ยว ทับซ้อนกันไปหมด เป็นเหตุให้อาณาเขตหลายแห่งที่มองดูเหมือนอยู่ใกล้เคียงกัน อยู่ห่างกันในระยะประชิด แต่แท้จริงแล้วกลับห่างไกลกันเป็นพันลี้ ระยะทางของสถานที่หลายแห่งที่มองดูเหมือนอยู่ห่างกันนับร้อยนับพันลี้ กลับกลายเป็นว่าห่างกันเพียงเสี้ยว ห่างกันเพียงก้าวเดียว
นี่เป็นเหตุให้เรือนกายของผู้เฒ่าผมขาวคล้ายไข่มุกหลากสีเม็ดหนึ่งที่หล่นกระแทกลงในกระบอกไม้ไผ่ ส่ายโงนเงน พุ่งชนสะเปะสะปะไปตลอดทาง
ในสถานการณ์ทั่วไป ฟ้าดินที่มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตปลายทางนั่งบัญชาการณ์ประเภทนี้ ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่ด้านในซึ่งต้องรับมือกับศัตรูก็แทบไม่ต่างจากการเผชิญหน้ากับฝันร้ายตื่นหนึ่ง
รอกระทั่งร่างของผู้เฒ่ากำยำหยุดลงได้ในที่สุด พยายามสร้างความมั่นคงให้กับภาพบรรยากาศวุ่นวายที่ภูเขาสายน้ำในร่างกายสั่นสะเทือน ก้มหน้าลงมองก็เห็นเสื้อเกราะบนร่างปริแตกยับเยิน ผู้เฒ่าพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำ ดึงเอาเสื้อเกราะวิเศษที่แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ออกมาทั้งหมด จากนั้นกวักมือเรียกหนึ่งครั้ง รวบรวมเศษชิ้นส่วนเสื้อเกราะที่กระจายไปตามแห่งต่างๆ ของฟ้าดิน สุดท้ายเศษชิ้นส่วนทั้งหมดซึ่งรวมถึงส่วนที่อยู่ข้างกายก็กลับคืนมาเป็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่หม่นหมองไร้แสงเม็ดหนึ่ง
ชิงถงรู้สึกเสียดายยิ่งนัก กว่าจะซ่อมแซมเกราะเทพบรรพกาลชิ้นนี้ให้กลับคืนมาอยู่ในระดับขั้นที่สามารถสวมไว้บนร่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากคิดจะซ่อมมันให้กลับคืนมาในสภาพเดิมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวันใดเวลาใดอีก
เพียงแต่จำต้องยอมรับว่าหมัดนี้ของเฉินผิงอันค่อนข้างหนัก
ชิงถงยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนเต็มใบหน้า สะบัดข้อมือให้เลือดพวกนั้นหล่นลงพื้น ผสานรวมกับฟ้าดิน ก่อนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “หมัดนี้มาจากไหน?”
ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเป็นวิชาหมัดที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นมาเอง
เฉินผิงอันกางมือสองข้าง ห่างไปไกลด้านหลัง ดาบแคบสองเล่มที่ก่อนหน้านี้ถูกปลดทิ้งประหนึ่งได้รับคำสั่ง เพียงแต่ว่าชิงถงไม่ได้เก็บซ่อนวิถีโคจรแห่งมรรคกถาในฟ้าดินเล็กไป ทำให้เส้นทางการโคจรของดาบพิฆาตเหมือนกับเรือนกายที่ถอยร่นไปของชิงถงก่อนหน้านี้ วกวนอ้อมค้อม ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ทว่าลงทัณฑ์กลับพุ่งดิ่งเป็นเส้นตรง มองข้ามตราผนึกของฟ้าดินไปอย่างสิ้นเชิง ตรงกลับเข้ามาอยู่ในมือของเฉินผิงอัน
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดถือดาบไว้ด้วยสองมือ ดาบแคบสั่นไหวเล็กน้อย แสงดาบสองชนิดเปล่งประกายวิถีโคจรที่แตกต่างกัน
ผู้เฒ่าผมขาวเห็นว่าเจ้าหมอนั่นคล้ายจะกระตุกมุมปาก มีนัยแห่งการเย้ยหยันที่เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางนั้นจริง แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว
เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ค่อยๆ ฝึกฝนมาทีละนิด ได้แต่อาศัยกาลเวลาอันยาวนานขัดเกลาเรือนกายมาเท่านั้นจริงๆ
หลังจากหมัดนี้ของเฉินผิงอันผ่านไป เวลาสองเค่อก็สิ้นสุดลงพอดี ธูปหนึ่งก้านเผาไหม้จนหมดสิ้น
ห่างไปไกล เสี่ยวโม่หันหน้าไปมองจิตหยินของชิงถงที่อยู่ข้างกาย ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “สหายชิงถง เจ้าน่าจะยังพอมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่บ้าง”
มีชีวิตอยู่มานานก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือความรู้กว้างขวาง เนื่องจากเดิมทีก็เป็นนักพรตบรรพกาลที่อยู่ในปฏิทินเหลืองเก่าแก่หน้าแรกๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องเปิดเอกสารลับที่กินฝุ่นมานานนับหมื่นปีพวกนั้นก็สามารถรู้ความจริงได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่นเสื้อเกราะที่ผู้เฒ่าร่างกำยำสวมไว้บนร่าง แค่เสี่ยวโม่มองปราดเดียวก็มองออกถึงรากฐานมหามรรคา ความเป็นมาไม่ธรรมดา ระดับขั้นไม่เป็นรองดาบแคบพิฆาตที่เป็นอาวุธซึ่งใช้ลงทัณฑ์บนแท่นสังหารมังกรยุคบรรพกาลเลย
จิตหยินของชิงถงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มเผยยิ้มจืดเจื่อนบนใบหน้า
เสื้อเกราะวิเศษตัวนี้คือหนึ่งในวิธีการก้นกรุของเขาแล้ว ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเคยให้หอสยบปีศาจยืมมาใช้ ทุกวันนี้ชิงถงก็ถือว่าอาศัยคุณความชอบส่วนหนึ่งจึงเก็บมันมาไว้ในกระเป๋าของตัวเองได้
น่าเสียดายที่ซ่อมแซมมานานหลายปี เนื่องจากชิงถงไม่เชี่ยวชาญการหล่อหลอม จึงพัฒนาไปได้อย่างเชื่องช้า ผลคือการถามหมัดผายลมสุนัขในวันนี้กลับทำให้มันกลับคืนไปอยู่สภาพเดิมอีกครั้ง
ในอดีตเคยมีเสื้อเกราะเทพสามชิ้นที่ถูกมองว่าเป็นผลงานจริงระดับรองซึ่งมีต้นแบบมาจากเสื้อเกราะบนร่างของผู้สวมเสื้อเกราะหนึ่งในห้าเทพสูงสุดของสรวงสวรรค์บรรพกาล ก็เป็นผู้หล่อหลอมหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงที่หลังจากได้รับคำอนุญาตจากเทพอัคคีและเทพวารีก็ได้ไปดึงเอาแก่นตะวันมา จากนั้นใช้ดาวอังคารหนึ่งในพระราชวังสำหรับแปรพระราชฐานของเทพอัคคีมาเป็นเตาหลอม ใช้แม่น้ำแห่งกาลเวลามาเป็นน้ำ เสียเวลาไปมากกว่าจะหล่อหลอมอย่างประณีติ สร้างจำลองเสื้อเกราะต้นแบบขึ้นมาได้สำเร็จ
ตัวแทนเถ้าแก่ที่เสี่ยวโม่เจอในร้านเหล้าของนครบินทะยาน เจิ้งต้าเฟิงในอดีตชาติก็เคยได้สวมเสื้อเกราะ ‘ต้าซวง’ สีเงินยวงไว้บนร่าง นั่นก็คือหนึ่งในสามเสื้อเกราะเทพ
น่าเสียดายก็แต่ในศึกเดินขึ้นฟ้าที่นักพรตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนตายดับกันไปนับไม่ถ้วนครั้งนั้น ‘เจิ้งต้าเฟิง’ แม่ทัพเทพผู้เฝ้าประตูที่ไม่ยอมเปิดทางให้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ซึ่งความหวังแล้ว สุดท้ายก็ยังถูกคนบางคนใช้กระบี่ปักตรึงให้ตายอยู่บนประตูใหญ่ เสื้อเกราะวิเศษต้าซวงจึงแตกสลายแล้วหล่นร่วงลงมาอยู่ในโลกมนุษย์นับแต่นั้น
มีจุดจบเช่นเดียวกับปิ่นปักผมของนักพรตคนแรกบนโลกมนุษย์
ภายหลังบรรพบุรุษรุ่นแรกของสำนักการทหารได้ทำการอนุมานบนมหามรรคาโดยอิงจากเสื้อเกราะทั้งสามตัวนี้ สร้างเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารสามชนิดขึ้นมาในโลกยุคหลัง เป็น ‘ของเลียนแบบ’ ที่ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็คือผลงานเปิดภูเขาของเสื้อเกราะจิงเหว่ย เสื้อเกราะจินอูและเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของโลกยุคหลัง คือบรรพบุรุษของเสื้อเกราะวิเศษสามชนิดของสำนักการทหาร ‘บรรพบุรุษ’ ของเสื้อเกราะจินเหว่ยมีสองชิ้น โดยแยกกันสร้างตามเส้นแวงและเส้นรุ้ง (จิงกับเหว่ย) ผู้ฝึกลมปราณสวมใส่ไว้บนร่าง อย่างแรกประหนึ่งได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวิชาอภินิหารอย่างไร้ที่สิ้นสุดจากลัทธิพุทธ ไม่ว่าจะยืนเคียงข้างอยู่กับใคร ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินหรือเวทคาถาก็จะกลายมาเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวที่พยายามตามหาศัตรูซึ่ง ‘อยู่ใกล้เพียงตรงหน้าอยู่ห่างสุดขอบฟ้า’ อย่างไร้ประโยชน์
อย่างหลังจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่กลับมีความลี้ลับมหัศจรรย์ไม่ต่างกัน ผู้ฝึกลมปราณสามารถค่อยๆ สะสมปราณวิญญาณบนร่างไว้ทีละนิดแล้วกรอกเทเข้าไปข้างใน ต่อให้จะเป็นปราณวิญญาณที่มีมากมายดุจเม็ดทรายในแม่น้ำ แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจถมหลุมไร้ก้นนี้ให้เต็มได้ ถ้าอย่างนั้นระดับความแข็งแกร่งทนทานของเสื้อเกราะวิเศษตัวนี้ก็ย่อมต้องอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน
และผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้า เดิมทีการสะสมปราณวิญญาณในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ขอบเขตที่ต่างกันก็จะมีคอขวดดำรงอยู่ เหมือนการที่พื้นที่มงคลได้เลื่อนขั้นเป็นระดับบน สักวันหนึ่งปราณวิญญาณฟ้าดินก็ย่อมต้องเอ่อล้นออกมา
แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าหากมีผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่งโชคดีได้เสื้อเกราะวิเศษนี้ไปครองนานพันปีหรือถึงขั้นหมื่นปี ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ เป็นแค่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง แต่ขอแค่สวมเสื้อเกราะวิเศษตัวนี้ไว้บนร่าง เกรงว่าต่อให้ยืนนิ่งไม่ขยับก็ยังสามารถปล่อยให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งฟันได้นานเป็นครึ่งๆ วันเลยทีเดียว
และเสี่ยวโม่ก็บังเอิญรู้ที่อยู่ของ ‘เสื้อเกราะจิง’ ชิ้นนั้นพอดี เจ้าของเสื้อเกราะวิเศษตัวนี้ก็เหมือนกับตนที่นอนหลับสนิทอยู่ใต้ดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานเป็นหมื่นปี
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าตาเฒ่าผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกันด้วย แถมเมื่อหมื่นปีก่อนนางก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านพลังพิฆาตที่เหี้ยมหาญรุนแรง
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชิงถง ข้าอยากรู้มากว่าใครเป็นคนมอบความกล้าและความมั่นใจให้กับเจ้า ถึงได้ทำให้สายตาของเจ้ามองไม่เห็นใครถึงเพียงนี้”
ตามหลักแล้วหมื่นปีที่ชิงถงฝึกตนอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ไม่ได้พิถีพิถันในเรื่องที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ผู้ที่มาเยือนล้วนถือว่าเป็นแขกเหมือนกับตน เรื่องราวบนโลกบางอย่าง ข้อห้ามกฎเกณฑ์ทั้งหลายบนภูเขา อีกฝ่ายน่าจะคุ้นเคยดีถึงจะถูก
เสี่ยวโม่พูดเนิบช้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณชายของข้า ในฐานะเจ้าของคฤหาสน์หลบร้อนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่คนสุดท้าย อิ่นกวานคนสุดท้ายที่เฉินชิงตูเลือกตัวมาด้วยตัวเอง คุณูปการมีมากหรือน้อย ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลอย่างพวกเจ้า แท้จริงแล้วล้วนกระจ่างชัดกันอยู่ในใจ ต่อให้จะพูดถึงแค่คุณความเหนื่อยยาก เขาที่ตัวคนเดียวก็สามารถเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งเอาไว้ได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่คุณชายยังเป็นผู้นำในศึกภูเขาทัวเยว่ พูดถึงแค่ผู้ฝึกกระบี่ที่ติดตามเขาไป ไม่ว่าจะเป็นฉีถิงจี้ สิงกวานหาวซู่ ลู่จือ หรือลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง หากพวกเขามาเยือนที่แห่งนี้ เจ้ากล้าไม่ออกมาพบหน้าหรือ? เจ้าเลือกจะไม่พบหน้าได้หรือ?”
“ต่อให้ไม่พูดถึงสถานะของอิ่นกวาน คุณชายก็ยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง คือลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องเล็กของชุยฉาน จั่วโย่ว หลิวสือลิ่ว ฉีจิ้งชุน”
“คุณชายยังเป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว คือเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่งในใต้หล้าไพศาล ทุกวันนี้ก็ยิ่งกำลังจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง รอแค่ให้ถึงวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิงานพิธีการผ่านพ้นไป คุณชายก็จะกลายเป็นบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนในสายตาของผู้ฝึกตนภูเขาเซียนตูในอนาคตแล้ว คนอื่นไม่รู้เรื่องวงใน แต่ด้วยการรับรู้ของเจ้าชิงถงไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าสำนักแห่งนี้จะกลายเป็นสำนักอักษรจงบนวิถีกระบี่ที่จริงแท้แน่นอน คือสำนักวิถีกระบี่แห่งแรกหลังจากที่ไม่เคยมีมาตลอดหลายพันปีนับตั้งแต่สำนักกระบี่ปี้ถงที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีปพวกเจ้าล่มสลายไป นี่จึงเป็นเหตุให้การกระทำนี้ถือเป็นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ให้กับใบถงทวีป ช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่เดิมทีเหมือนอยู่ในบ่อน้ำตายแห่งหนึ่ง คุณชายกับชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ของเขาก็คือคนที่เจาะคูน้ำซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำเป็นขุมนี้”
นอกจากนี้คุณชายยังเป็นผู้นำด้านการฝึกตนให้กับนักพรตบางคนในชาตินี้ ทั้งสองฝ่ายจะกลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่เดินขึ้นภูเขาไปพร้อมกัน
คนผู้นี้ทุกวันนี้มีชื่อว่าเหนียนจิ่ง นามเซียนเว่ย
คุณชายยังเป็นคนรักของหนิงเหยาบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี
เพียงแต่ว่าเรื่องส่วนตัวที่จะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่สองเรื่องนี้ เสี่ยวโม่ไม่ได้ยกมาพูดอย่างเปิดเผย
หากจะบอกว่าเจ้าชิงถงคือคนซื่อบื้อที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก ไม่สนใจสถานะเหล่านี้ของคุณชายแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นสามทวีปที่เหวินเซิ่งผสานมรรคาด้วย จ่ายราคาด้วยความเสียหายบนมหามรรคาของตัวเองมาเป็นค่าตอบแทน ทุ่มสุดชีวิตปกป้องขุนเขาสายน้ำของสามทวีปไม่ให้พังภินท์ไปอย่างสิ้นเชิง ทวีปหนึ่งในนั้นก็คือใบถงทวีป
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่เป็นเพราะชุยฉานแห่งแจกันสมบัติทวีปกับศิษย์น้องฉีจิ้งชุน รวมไปถึงหลิวสือลิ่วที่หวนกลับคืนมายังไพศาลอีกครั้ง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของสายเหวินเซิ่งทยอยกันลงมือ ประมือกันอย่างลับๆ ประหนึ่งคลื่นใต้น้ำกับมหาสมุทรความรู้โจวมี่อยู่ในใบถงทวีปแห่งนี้
ถ้าเช่นนั้นหอสยบปีศาจแห่งนี้จะคงอยู่หรือดับสูญ เกรงว่าคงต้องมีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ แล้ว
ชิงถงที่มหามรรคาใกล้ชิดกับใบถงทวีป ต่อให้ทรยศศาลบุ๋นหันไปสวามิภักดิ์กับโจวมี่มหาสมุทรความรู้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสะบั้นความเชื่อมโยงที่แนบแน่นระหว่างชิงถงกับหอสยบปีศาจทิ้งไป ต่อให้โจวมี่จะมีวิธีการเหนือเมฆที่สามารถช่วยให้เจ้าสะบั้นความสัมพันธ์ในชั้นนี้ได้ แต่อย่างน้อยเจ้าชิงถงก็น่าจะต้องขอบเขตถดถอยหนึ่งถึงสองขั้น ได้แต่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ถ้าอย่างนั้นรอให้สถานการณ์ของสองใต้หล้าสลับเปลี่ยนกัน ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าอย่างพวกหยวนโส่ว เฟยเฟยยังสามารถหนีกลับใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ แต่ชิงถงที่มหามรรคามีความเกี่ยวพันกับใบถงทวีป เว้นเสียจากว่าถูกโจวมี่พาเดินขึ้นฟ้าไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นแล้วจุดจบก็มีแต่จะเหมือนปีศาจใหญ่หย่างจื่อที่ถูกกักอยู่ในอาณาเขตเตาหลอมของเหล่าจวิน กลายมาเป็นนักโทษของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว หากชิงถงกล้าทำเช่นนี้ ต่อให้โจวมี่ยินดีปกป้องสุดชีวิตเพื่อพาชิงถงเดินขึ้นฟ้าจากไปด้วยกัน เกรงว่าก็มีแต่จะถูกซัดให้ร่วงกลับลงมายังโลกมนุษย์กลางทาง
นอกจากนี้จั่วโย่วศิษย์พี่ของเฉินผิงอันก็เคยใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาปกป้องประตูใหญ่บานที่เชื่อมโยงไปยังใต้หล้าใหม่เอี่ยมอยู่ในใบถงทวีปด้วยตัวเอง ช่วยให้ใบถงทวีปรักษาพลังชีวิตส่วนหนึ่งเอาไว้ได้ รอให้การเปิดประตูครั้งถัดไปมาถึง พวกชาวบ้านลี้ภัยจำนวนมากที่เดินขบวนกันไปหลบภัยที่ใต้หล้าห้าสี ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีกลับบ้านเกิดหรือไม่ก็จะสามารถนำพาโชคชะตาส่วนหนึ่งกลับมาหล่อเลี้ยงใบถงทวีปได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงบอกว่าสายของเหวินเซิ่ง ไม่ว่าจะเป็นซิ่วไฉเฒ่าผู้เป็นอาจารย์ สี่ท่านที่เป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน หรือตัวของเฉินผิงอันเอง ล้วนถือว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อใบถงทวีป ต่อหอสยบปีศาจแห่งนี้ และต่อต้นอู๋ถงต้นนี้
เฉินผิงอันและภูเขาเซียนตูเลือกมาอยู่ในใบถงทวีปก็เพื่อช่วยซ่อมแซมบูรณะขุนเขาสายน้ำที่พังเสียหาย สำหรับชิงถงแล้วก็คือเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่แค่ต้องนอนรอเสวยสุขเท่านั้น
ผลประโยชน์บนมหามรรคาส่วนนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นรายรับที่มีเข้าบัญชีมาไม่ขาดสาย เทียบกับคนเก็บค่าเช่าบ้าน คนเก็บค่าเช่าที่ที่ได้กำไรมากมายแล้วยังสบายกว่าเสียอีก
เฉินผิงอันเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ใบถงทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักกระบี่ชิงผิงยังเป็นสำนักวิถีกระบี่ นี่ก็หมายความว่าโชคชะตาบนวิถีกระบี่บางส่วนที่เชื่อมโยงอยู่กับร่างของอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะถูกเฉินผิงอันพามาที่ใบถงทวีปด้วย ไม่ได้นำไปมอบให้กับแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิด โชคชะตาบนวิถีกระบี่เหล่านั้นจะหยั่งรากลง ณ ที่แห่งนี้ อาศัยภูเขาเซียนตูและสำนักกระบี่ชิงผิง รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบของภูเขาเซียนตูในอนาคต จะเป็นเหมือนจอกแหนจากสี่ทิศที่ไหลมารวมกันในภูเขาลูกหนึ่ง จากนั้นก็เหมือนดอกผู่กงอิง (หรือดอกแดนดิไลออน) ที่กระจัดกระจายไปสี่ทิศ เมื่อเวลาผันผ่านก็จะไปผลิดอกออกผลอยู่ตามสถานที่ต่างๆ
เสี่ยวโม่ไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่ส่ายหน้าเท่านั้น
เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวสหายเก่าผู้นั้นได้ไปจากใบถงทวีปแล้ว อารามกวานเต๋าที่มีฐานะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของตงไห่ก็ล้วนย้ายออกจากที่นี่ไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวพร้อมกันด้วย นี่หมายความว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่เจ้าอารามผู้เฒ่าจะหวนกลับมายังสถานที่เดิม ศาลบุ๋นก็แทบจะคลายพันธนาการที่มีต่อหอสยบปีศาจอย่างสิ้นเชิง เท่ากับว่าให้ชิงถงได้กลับคืนสู่อิสรภาพ
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ครั้งนี้คุณชายพาตนมาที่นี่ ต่อให้ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันแล้วเจรจาต่อรองราคากันไม่สำเร็จ การพูดคุยเรื่องการค้าไม่เป็นผล แต่ถึงอย่างไรต่อให้การค้าไม่สำเร็จก็ยังเหลือมิตรภาพคงอยู่ ด้วยนิสัยที่ทุกเรื่องล้วนพูดคุยปรึกษากันได้ของคุณชาย อย่างมากสุดก็แค่วิ่งมาเยือนหอสยบปีศาจหลายครั้งหน่อยเท่านั้น และจะยังคงยึดหลักผู้เยาว์ที่ต้องเคารพผู้อาวุโสเหมือนอย่างในวันนี้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือเหตุผลส่วนตัว จะตามเหตุหรือตามผล วันนี้ชิงถงก็ควรจะมาพบหน้าเฉินผิงอันที่ได้ครอบครองสถานะมากมายสักครั้ง
แต่สุดท้ายแล้วชิงถงกลับยึดมั่นในหลักการที่ว่า ‘ผลประโยชน์ข้าเอาหมด แต่อย่าหวังจะให้ข้าออกแรง’ จึงเลือกปิดประตูไม่ต้อนรับแขก
ถึงขั้นที่ว่าไม่แม้แต่จะอยากพบหน้าเฉินผิงอันด้วยซ้ำ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเจรจาเลย
การกระทำเช่นนี้แทบไม่ต่างจากฮว่อหลงเจินเหรินที่ไปเป็นแขกที่บ้านสกุลหลิวธวัลทวีป เดินไปถึงหน้าประตูภูเขาแล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่ามีเรื่องจะปรึกษา แต่หลิวจวี้เป่ากลับไม่ยอมออกมาพบหน้า
——