กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 927.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เจ็ด)
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “จอกแหนจะรวมตัวหรือแยกสลาย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชะตาวาสนา”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ตอนที่ตื่นจากฝัน ข้าวหวงเหลียงยังไม่ทันสุก จริงหรือเท็จ ดีหรือร้าย บอกได้ไม่ชัดเจน อย่างที่นี่เวลานี้ เจ้าชิงถงแน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองยังอยู่ในฟ้าดินภาพมายาที่โจวจื่อสร้างให้เจ้าอีกหรือไม่?”
ชิงถงหัวเราะ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่านี่เป็นคำพูดที่น่าขันอย่างถึงที่สุด ก็มอบให้พวกคนที่ชอบกังวลว่าฟ้าจะถล่มลงมาเป็นกังวลกันไปเองก็แล้วกัน
เฉินผิงอันปัดใบไม้ร่วงสีเหลืองทองนั้นออกไป มันก็กลับไปรวมตัวอยู่กับกลุ่มใบไม้ร่วงที่ห่างไปไกลเช่นกัน
ใบไม้อีกสองใบต่อจากนั้นคือการบอกเป็นนัยหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นการเอาใบไม้ร่วงมารวมกันก่อนและหลัง อันที่จริงก็คือปฏิทินเหลืองเก่าแก่หน้าหนึ่ง
ภัยแล้งบวกกับอุทกภัย
การช่วงชิงแห่งน้ำและไฟในยุคบรรพกาลที่ชักนำให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย สรรพชีวิตบนโลกมนุษย์มอดม้วย ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หอบม้วนเอาขุนเขาสายน้ำของทวีปหนึ่งผ่านไป ภูเขาแม่น้ำจมดิ่ง จารีตประเพณีพังทลาย ไม่เหลือกฎระเบียบใดๆ อีกต่อไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลใด เจ้าเฉินผิงอันก็มาถึงสายไปแล้ว ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะช่วยไม่ทัน เป็นตายถูกชะตากำหนดไว้แล้ว
อย่างมากสุดก็ได้แค่เลียนแบบขุนนางขอฝนที่ชดเชยแก้ไขหลังจบเรื่อง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้สำเร็จ
อีกทั้งชิงถงยังพูด ‘นอกเรื่อง’ อยู่ครั้งหนึ่ง ก็เพราะฝนที่ตกลงมาครั้งนี้ถึงเป็นสาเหตุให้ ‘พื้นที่แถบหนึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ ที่พักอาศัยจมอยู่ใต้น้ำ’
สรวงสวรรค์ถล่มลงมา วิถีฟ้าพังทลาย เพราะเจ้าที่เป็น ‘หนึ่งนี้’ เลือกที่จะนิ่งดูดาย หรือว่าตอนนี้เจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรต้องมาเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่ตัวเองสร้างไว้กับมืออย่างนั้นหรือ?!
คงไม่ใช่เพราะว่าการที่โจวมี่มหาสมุทรความรู้เดินขึ้นฟ้าจากไป บรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคา ล้วนอยู่ในแผนการของเจ้าทั้งหมด?
เวรกรรมทั้งหมดที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ห่างมานานหมื่นปี แต่แท้จริงแล้วกลับถูกโจวจื่อที่ ‘พูดเรื่องฟ้าจนหมดสิ้น’ พูดถึงไว้นานแล้ว พูดได้ถูกแล้ว?
ไม่อย่างนั้นศึกแห่งน้ำและไฟคราวนั้น เจ้าจะห้ามไม่ได้เชียวหรือ? ต่อให้ห้ามไม่ได้ แต่ทำไมแม้แต่จะออกหน้าห้ามปรามก็ยังไม่ทำ กลับกลายเป็นว่าไม่โผล่หัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ?
นี่ก็คือการเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้าอย่างหนึ่งของชิงถงแล้ว
ส่วนขุนนางขอฝนท่ามกลางภัยแล้งกันดาร บทขอฝนที่ถือไว้ในมือซึ่งได้มาจากเฉินผิงอัน ประโยคเปิดบทคือ ‘เทพพิรุณพ่อปู่วาโย เทพสายฟ้าเจ้าแม่ฟ้าแลบ จงมาฟังคำสั่งจากข้า ใครที่ขัดคำสั่งต้องถูกประหาร’
อันที่จริงตอนนั้นที่ชิงถงเห็นภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ บอกตามตรงว่าเวลานั้นชิงถงแค่จิตแห่งมรรคาสั่นสะเทือนเสียที่ไหน เขาตกใจจนเกือบขวัญกระเจิงแล้ว
หวนนึกถึงวันเวลาอันยาวนานเมื่อหมื่นปีก่อน หนึ่งนั้น เป็นถึงบุคคลสูงสุดในกลุ่มบุคคลสูงสุดอีกที
เพียงแต่ไม่มีใครสักคนในโลกมนุษย์ หรือบางทีก็อาจไม่มีเทพองค์ใดสักองค์ที่รู้ว่าบุคคลที่ว่านี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
คนที่เข้าใกล้ความจริงบางอย่างมากที่สุด บางทีอาจมีเพียงมรรคาจารย์เต๋าท่านนั้น?
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองภาพเหตุการณ์ทั้งหลายในใบไม้ร่วงสองใบ พลันยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชิงถง ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญเรื่องการหยอกล้อคนมากเลยนะ?”
ชิงถงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
ในม้วนภาพก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองที่รับผิดชอบจัดการน้ำ มีชาติกำเนิดยากจน อายุน้อยๆ ก็มีรายชื่อติดกระดานทองคำ ยังไม่ได้แต่งภรรยา
ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกับประสบการณ์และสภาพการณ์ของเฉินผิงอันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรม สุดท้ายอยู่ในตำแหน่งสูง กลายเป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย นั่งบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร้อน กองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีนครประดุจน้ำไหลบ่าท่วมโถมสูงเทียมฟ้า
จำต้องวิ่งไปขอการบริจาคจากทั่วทุกแห่ง ก็เหมือนอย่างเรือข้ามทวีปห้าสิบสี่ลำ เรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว
แม้จะเป็นคนรักกับหนิงเหยาซึ่งใต้หล้าล้วนรับรู้ แต่กลับยังไม่ได้แต่งภรรยาอย่างเป็นทางการ ฯลฯ
ไม่ได้เหมือนไปทั้งหมด แต่ขอแค่มีใจอยากจะสืบเสาะ กลับจะพบว่ามีจุดที่เหมือนกันแทบทุกจุด
นอกจากนี้ปัญญาชนผู้มีพรสวรรค์ที่ว่างงานอยู่ในบ้านซึ่งเฉินผิงอันได้ไปพบเจอก็พูดจาน่าเชื่อว่า หากเขียนบทความในการสอบเคอจวี่ได้ดี ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นแส้หนึ่งเส้นรอยโบยหนึ่งรอย หนึ่งตบหนึ่งฝ่ามือ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นพวกนอกรีตไป…
อาชีพทั้งหลายล้วนต่ำต้อยมีเพียงบัณฑิตที่สูงส่ง เรียนหนังสือไปเพื่ออะไร เพื่อเป็นขุนนางหรือ? เพื่อให้ภรรยาได้บรรดาศักดิ์บุตรหลานได้อาศัยร่มเงา?
เวทคาถาบนภูเขามีนับพันนับหมื่น มีเพียงวิถีแห่งกระบี่ที่ประหนึ่งบัณฑิตในบรรดาร้อยอาชีพของโลก สามารถหลุบตาลงต่ำมองใต้หล้า ดูแคลนคนข้างกาย
ไยจะไม่ใช่การที่ชิงถงอาศัยโอกาสนี้มาเย้ยหยันผู้ฝึกกระบี่ที่ถือตนว่า ‘หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม’ สายตาจึงไม่เคยเห็นหัวใคร?
การใส่ร้ายป้ายสีในทุกจุดทุกมุม ล้วนมีวัตถุประสงค์แฝงอยู่
ยกตัวอย่างเช่นจวนประตูสูงแห่งนั้นก็เป็นตัวแทนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือสตรีที่น่าเสียดายที่ไม่ใช่บุรุษ ดังนั้นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของสตรี การที่ ‘ฐานะคู่ควรกัน แล้วก็มีความสามารถ’ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะสถานะของคนผู้นี้คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องของพวกชุยฉาน จั่วโย่ว ดังนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงให้ความสำคัญกับคนผู้นี้อย่างมาก และคำว่า ‘ดันไม่ยอมสอบเคอจวี่’ ก็คือการบอกเป็นนัยว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่…
ชิงถงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
ทำไม เรื่องนี้เจ้าก็เดาความคิดและวัตถุประสงค์ของข้าออกด้วยหรือ?
คราวนี้เป็นเสี่ยวโม่ที่ต้องมึนงงเหมือนอยู่ท่ามกลางดงหมอกบ้างแล้ว
ความคิดสามารถวกวนอ้อมค้อมได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่สตรีที่จิตใจดุจเข็มใต้มหาสมุทรก็ต้องเป็น…บัณฑิตอย่างเราๆ แล้ว
เฉินผิงอันเหลือบมองชิงถงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้อันที่จริงคือสตรีคนหนึ่ง?
ส่วนภาพสุดท้ายที่ใต้เท้าเจ้าเมืองผลักประตูเดินเข้าไป ดึงไส้ตะเกียงอันหนึ่งออกมาจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะตัวนั้น
คงเป็นเพราะชิงถงรู้สึกไม่พอใจผู้ฝึกกระบี่อย่างมาก จึงยังคงพูดกระทบถึงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับตนอย่างอ้อมค้อมอีกครั้ง
จะบอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไร้ศักดิ์ศรีในชีวิตบั้นปลาย จึงทำได้เพียงฝากความหวังก่อนตายไว้ให้คนต่างถิ่นที่เพิ่งมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่ไม่กี่วัน?
ผลคือถึงท้ายที่สุด ผู้เฒ่าที่นอนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่บนเตียง ก็เหมือนเฉินชิงตูที่ไม่เคยส่งกระบี่ออกไปบนสนามรบแม้แต่ครั้งเดียว
สุดท้ายก็รักษากำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ได้แค่ครึ่งเดียว?
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ด่าข้าเสียหน่อย ก็แค่ด่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่กลายเป็นอดีตไปแล้วอยู่ที่นี่ ข้าไม่โกรธหรอก จะโกรธได้อย่างไร ไม่มีความจำเป็นเลย”
“ก็เหมือนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนใดที่มีชีวิตอยู่ก็สามารถเอ่ยหยอกล้อได้ว่าจงหยวนสู้ตนไม่ได้นั่นแหละ”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสชิงถง เจ้าไม่ได้ด่าข้าหรอกใช่ไหม?”
ชิงถงเงียบไม่ตอบ ไม่กล้ายอมรับแล้วก็ไม่กล้าปฏิเสธ
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ควรจะฟังคำแนะนำของคุณชาย อย่าได้หาเรื่องให้มีปัญหาแทรกซ้อน ให้คุณชายได้กลับไปภูเขาเซียนตูแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว
ชิงถงพอจะโล่งใจได้บ้างเล็กน้อย เพราะเฉินผิงอันเป็นฝ่ายผลักใบไม้ร่วงสองใบออกไป เปลี่ยนม้วนภาพม้วนใหม่แล้ว
เฉินผิงอันถาม “คือคำเตือนด้วยความหวังดี? ยังคงเป็นการจัดการของโจวจื่อ หรือว่าเป็นเจตนาของตัวเจ้าเอง?”
ชิงถงเอ่ยเสียงเบาอย่างคลุมเครือว่า “แนวโน้มของสถานการณ์มุ่งหน้าไป เป็นความต้องการของใครก็ไม่สำคัญ”
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “ยังคิดได้ไม่กระจ่างอีกหรือ นี่คือคำเตือนที่โจวจื่อมีต่อเจ้า”
บนม้วนภาพ ในฐานะผู้นำของพื้นที่หนึ่งซึ่งเป็นแม่ทัพหลักในสงคราม การข้ามแม่น้ำโจมตีที่มีความเกี่ยวข้องว่ามี ‘เมตตาคุณธรรม’ หรือไม่
ชิงถงเพิ่งจะรู้สึกตัวอย่างเชื่องช้า จิตแห่งมรรคาพลันสั่นสะเทือน
เดิมทีชิงถงคิดว่าใบไม้ร่วงใบนี้กล่าวถึงว่า หากบรรพจารย์ของสามลัทธิสลายมรรคาก็คือสถานการณ์ใหม่เอี่ยมที่หมื่นปีก็ไม่เคยมีมาก่อน เหล่าผู้กล้ามารวมกลุ่มช่วงชิงกันข้ามฝั่ง
จะต้องมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานและขอบเขตสิบสี่ที่ทำเรื่องขัดขวางอย่างการฮุบลำน้ำหรือแม้กระทั่งข้ามแม่น้ำรื้อสะพานแน่นอน บนมหามรรคาของตัวเอง จะต้องสังหารผู้ฝึกตนทุกคนที่อาจจะมาช่วงชิงบนมหามรรคากับตนได้
เพียงแต่พอคิดถึงกระบี่บินส่งข่าวของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ ชิงถงก็อดเสียวสันหลังวูบไม่ได้
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็นชา “หรือเจ้าคบค้ากับโจวจื่อก็คือการนอนอยู่บนพื้นแกล้งตาย รอฟังคำบัญชาจากสวรรค์อย่างเดียวเท่านั้น?”
ม้วนภาพต่อมามีบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญคู่หนึ่งที่ความคิดถึงความทุกข์รุมเร้าระกำใจ คงเป็นเพราะบนโลกก็มีบุปผางามจันทร์กระจ่างคนอายุยืนยาว มีคนมีรักได้อยู่เคียงคู่กันจนแก่เฒ่า แต่กลับต้องเดินไปบนเส้นทางแห่งความคิดถึงคนละเส้นอยู่เหมือนกัน
อันที่จริงตอนที่เฉินผิงอันเป็นเจ้าเมืองผู้จัดการปัญหาน้ำ ได้วิ่งวุ่นไปขอบริจาคจากคนนับไม่ถ้วน บ้างก็แต่งกายนอกเครื่องแบบไปเยี่ยมเยียน ถือเป็นการ ‘สัมผัสกับความทุกข์ยากในหมู่ชาวบ้านด้วยตัวเอง’ เคยได้เห็นบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง ตอนที่กลับมาบ้านเขาเดินผ่านหน้าตรอกท่ามกลางแสงสายัณห์ เห็นร้านขายอาหารปรุงสุกอยู่ข้างทาง อาจารย์ผู้เฒ่าเดินจากไปไกลมากแล้วก็ยังพึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ข้าเป็นบัณฑิตจะซื้อของข้างทางมากินด้วยตัวเองได้อย่างไร รอกระทั่งกลับไปถึงหน้าบ้าน เป็นเพราะน้ำลายสออยากกินมากจริงๆ มองสีท้องฟ้า รอให้ฟ้ามืด เห็นหน้าคนไม่ชัดแล้ว…เพียงแต่พอคิดอีกที หากดวงจันทร์ลอยขึ้นมาก็ต้องเห็นหน้าค่าตากันชัด ไม่สู้รอให้ตอนที่แสงตะวันดับแสงจันทร์ยังไม่ลอยขึ้นมา ฟ้าน่าจะมืดกว่าหน่อย…สุดท้ายอาจารย์ผู้เฒ่าก็ไปหิ้วตะกร้าใบหนึ่งในบ้านออกมา ก้าวเดินเร็วๆ ไปยังแผงขายอาหารสุก แล้วก็ไม่กล้าต่อรองราคา ซื้อกลับมาหนึ่งตะกร้า ด่าพ่อค้าว่าใจดำจริงๆ ดำยิ่งกว่าสีท้องฟ้าเสียอีก...
แล้วก็เคยเห็นบุรุษคนหนึ่งที่ไม่ทันระวังทำเงินเดือนหายไป นั่งอยู่ข้างทางห่างจากบ้านมาอีกระยะทางหนึ่ง ตบบ้องหูตัวเองแรงๆ
ข้างกันห่างไปไม่ไกลก็มีพวกผีพนันที่มีทั้งคนหนุ่มคนแก่กำลังเล่นพนันกัน พวกที่ได้เงินซึ่งเหมือนสายน้ำไหลผ่านประตูบ้านมิอาจรั้งไว้ได้ก็ตะโกนโห่ร้องเสียงดัง ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงตบบ้องหู
ต่อมาก็เป็นภิกษุเฒ่าในตำหนักใหญ่ ผ่าเทวรูปไม้เอามาทำเป็นฟืนก่อไฟเพื่อความอบอุ่น
จิ้งจอกป่าฌานที่เรียกตัวเองอย่างกำเริบว่าผู้ตรัสรู้ อุปสรรคทางตัวอักษรในคัมภีรณ์พุทธศาสนาที่บัณฑิตศึกษา และยังมีการกำจัดเถาวัลย์รกเรื้อ รวมไปถึงฌานผู้บ้าคลั่งที่เอะอะก็ด่าพระพุทธเจ้าด่ามรรคาจารย์…
เฉินผิงอันกลับรู้ว่าหากรวมกับฝันหวงเหลียงตอนที่เจอหลวี่จู่ และเรื่องอีกมากมายอย่างขุนนางขอฝน เจ้าเมืองจัดการน้ำเข้าไปด้วย ล้วนเป็นการที่โจวจื่อใช้สืบเสาะความโน้มเอียงของจิตแห่งมรรคาของตน หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือความหนักเบาของสามลัทธิที่อยู่ในใจตน
เรื่องที่โจวจื่อให้ความสำคัญมากที่สุดยังคงเป็นการได้พบเจอหญิงชราบนเส้นทางหลังฝนตกโดยบังเอิญ หญิงชราเสื้อผ้าเก่าขาด แต่กลับขี่ม้างดงามเครื่องประดับหรูหรา
หากแค่เข้าใจว่าเป็นผีที่ยังมีญาติในโลกคนเป็นมาเซ่นไหว้ในเทศกาลจงหยวน ถ้าอย่างนั้นผู้คนที่ซัดเซพเนจรในโลกคนเป็นควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไร? ฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยวเหงา พืชหญ้าแห้งเหี่ยวโรยรา จัดวางของเซ่นไหว้ ราดสุราลงพื้นเพื่อแสดงความเคารพ เจอกับปีแห่งภัยร้าย ผู้คนพลัดพรากจากลา การเซ่นไหว้อย่างไร้สาเหตุ ดวงวิญญาณที่ตายไปย่อมไร้ที่พึ่ง…หากคิดแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา แต่เจตนาของโจวจื่อต้องไม่ใช่แค่ชั้นนี้แน่นอน แต่อาศัยหญิงชราคนนั้นมาอธิบายสภาพการณ์ในทุกวันนี้ของพวกกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล เจตนาที่แท้จริงยิ่งเป็นประโยคที่ว่า ‘คุณชายจะไปที่ใด’ รวมถึงประโยคท้ายที่ว่า ‘ระหว่างทางมีน้ำท่วม พักผ่อนสักครู่ ตะวันขึ้นค่อยออกเดินทางย่อมสบายกว่ามาก’
เพราะม้วนภาพถัดไป เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่ง เดินขึ้นสู่ที่สูง กลับคืนสู่สถานะเทพ?!
แต่ในใจของเฉินผิงอันกลับคิดว่าความอันตรายที่สุดของโจวจื่อยังคงอยู่ที่ม้วนภาพสุดท้าย ภาพเหตุการณ์ที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคย
บางทีอาจเป็นเพราะความสุขความทุกข์ทั้งหมดบนโลกสามารถสื่อถึงกัน ต่างก็มาจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
เชื่อว่าต่อให้ตัวเองเรียกนกในกรงออกมาปกคลุมดินแดนของต้นอู๋ถงต้นนี้เอาไว้ก็ยังไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ อยู่ดี
ราวกับว่ายิ่งรู้มากเท่าไรก็จะยิ่งนำพาความไม่รู้มามากยิ่งกว่าเดิม
อันที่จริงหลายๆ ครั้งก็นึกอิจฉาผู้ฝึกตนอย่างชิงถง ตาเฒ่าแค่นอนอยู่บนพื้นเฉยๆ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป พรุ่งนี้ลมจะพัดฝนจะตก หรือแดดจะส่องแรงจ้า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาจากชายแขนเสื้อ จิบเหล้าหนึ่งอึก สายตามองขยับขึ้นไปยังชิงถง “ว่ามาเถอะ เหตุผลที่แท้จริงน่ะ”
ชิงถงมีสีหน้าปั้นยาก ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้ารู้แล้วหรือว่าข้ามีความคล้ายคลึงในเรื่องนั้นกับลู่ไถ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ชิงถงมีรอยยิ้มที่มองดูแล้วค่อนข้างจริงใจ ไม่ใช้เสียงในใจพูดอีก แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสเย็น “ข้าคนหนึ่งเชื่อในการคาดเดาของโจวจื่อ ข้าอีกคนเชื่อในสายตาของตัวเอง เพียงแต่ว่ามักจะทะเลาะกันเป็นประจำ ข้าจึงอยากจะมองดูให้มากอีกหน่อย แต่อันที่จริงยิ่งมองก็ยิ่งสับสน แต่ก็ไม่ถือว่ามองแล้วสู้ไม่มองยังดีกว่า”
ชิงถงยกสองมือขึ้นตบเข่าเบาๆ สีหน้าผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก “บางทีอาจเป็นใบไม้บังตาเหมือนกัน แต่จะเป็นไรไปเล่า ก็ให้มันเป็นแบบนี้ไปนั่นแหละ”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ ชิงถงคนหนึ่งเชื่อว่าเฉินผิงอันในอนาคตที่โจวจื่อคาดเดาไว้ต้องมาเยือน แต่ชิงถงอีกคนหนึ่งกลับเลือกจะเชื่อเฉินผิงอันในอดีตว่าเขาจะเป็นเด็กหนุ่มอย่างที่เคยเป็นตลอดไป
เฉินผิงอันพยักหน้า แสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “การที่ผู้อาวุโสหยวนเซียงแกะสลักตัวอักษรลงบนต้นอู๋ถงก็เพราะผู้อาวุโสท่านนั้นรู้สึกว่า อันที่จริงชีวิตคนมีการเดินทางไกลอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งคือการกายดับมรรคาสลายของผู้ฝึกตน อีกครั้งหนึ่งคือการถูกโลกใบนี้หลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นผู้อาวุโสหยวนเซียงถึงได้แกะสลักตัวอักษรไปทั่ว เพราะเขาหวังว่าในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีจะมีคนรุ่นหลังรู้ว่าบนโลกมนุษย์ใบนี้ เคยมีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งนามว่าหยวนเซียงเคยมีชีวิตอยู่บนโลกมาก่อน”
ชิงถงลุกขึ้นตาม ถามว่า “มีบันทึกไว้ในคฤหาสน์หลบร้อนหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าเดาเอาเอง”
ขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะจากไป ชิงถงพลันเอ่ยว่า “เชิญนั่ง”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจ?”
ชิงถงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่มีเหตุผลอะไร แค่ลองเดิมพันดู หากไม่ขาดทุนป่นปี้ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเท่านั้นเอง”
เฉินผิงอันถาม “จะไม่เสียใจภายหลังหรือ?”
ชิงถงยิ้มอ่อน “รอให้เสียใจภายหลังแล้วค่อยเสียใจภายหลังก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ ช่วยปกป้องมรรคาให้พวกเราด้วย”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เหล่ตามองชิงถง
สีหน้าของชิงถงมองดูเหมือนเฉยชา แต่อันที่จริงกลับขัดใจอยู่บ้างเล็กน้อย ราวกับกำลังพูดว่า สหายเสี่ยวโม่ วันหน้าช่วยเกรงใจข้าหน่อยเถอะ
วันที่สามสิบเดือนสิบสองของปีนี้
ต้นอู๋ถงในใต้หล้าไพศาลพากันใบร่วงโรย
ขณะเดียวกันก็มีคนสร้างความฝัน เดินทางท่องเยือนสวรรค์คราหนึ่ง
ข้าเชิญให้ท่านเข้าสู่ความฝัน
ให้เวลาท่านหนึ่งก้านธูป
——