กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 927.6 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เจ็ด)
แต่ไหนแต่ไรมาเมืองหงจู๋ก็มีผังเมืองที่ถนนแนวตั้งตรอกแนวนอน ระหว่างถนนชมน้ำกับถนนชมภูเขามีตรอกเล็กไร้ชื่ออยู่แห่งหนึ่ง มีร้านหนังสือขนาดเล็กที่ไม่มีกรอบป้ายหน้าร้านตั้งอยู่ที่นี่ กิจการตลอดทั้งปีเงียบเหงาซบเซา เพียงแต่ว่าราคาหนังสือสูงมากผิดปกติ ทั้งยังไม่ให้ต่อราคา ปีหนึ่งไม่เปิดร้าน เปิดร้านทีหนึ่งกินได้นานสามปี
เถ้าแก่หนุ่มคนนั้นก็คือหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้น เวลานี้กำลังนอนเอนกายงีบหลับอยู่บนเก้าอี้หวาย มือหนึ่งถือเตาอุ่นมือ
บางบ้านที่กินอาหารส่งท้ายปีกันเร็วหน่อยก็จุดประทัดกันเสียงดังเป็นระลอกแล้ว
คนที่เป็นขุนนาง ในสายตาของคนนอกก็หนีไม่พ้นแบ่งออกเป็นขุนนางดีกับขุนนางเลว สำหรับคนในวงการขุนนางแล้วก็ง่ายเหมือนกัน อยากปีนขึ้นสู่ที่สูงหรือไม่
ที่ว่าการของโลกมนุษย์กับวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกัน ถ้าอย่างนั้นเทพวารีแห่งแม่น้ำชงตั้นอย่างหลี่จิ่นผู้นี้ก็เห็นได้ชัดว่าถือเป็นคนจำพวกที่ไม่อยากป่ายปีนสู่ที่สูง
พูดถึงแค่ฝนห่าใหญ่สีทองสามครั้งเมื่อหลายปีก่อน เว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นท่านนั้นได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ประเด็นสำคัญคือในอาณาเขตของเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำกลุ่มใหญ่ต่างก็มองว่าซานจวินใหญ่เว่ยขี้เหนียวมาก แม้แต่ภูเขาทายาทที่อยู่ในอาณาเขตของภูเขาพีอวิ๋นเองก็ยังไม่ได้รับไอฝนสักเศษเสี้ยว
หลี่จิ่นหรี่ตาลง เส้นเอ็นหัวใจขึงตึง เพียงแต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าขุนเขาเฉิน ช่างมีวิชาอภินิหารที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
รอกระทั่งได้ยินคำเชื้อเชิญของ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ ท่านนั้น หลี่จิ่นก็ถามอย่างกังขาว่า “คล้ายคลึงกับร่มหมื่นประชาหรือ?”
เฉินผิงอันได้ยินคำเปรียบเทียบนี้ก็หลุดหัวเราะพรืด คิดแล้วก็เอ่ยว่า “พอจะพูดว่าเป็นแบบนี้ได้อยู่กระมัง”
หลี่จิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ขอรับคุณความชอบส่วนที่ท่านจะมอบให้ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การค้าขายยังคงเดิม แต่หากเทพวารีหลี่มีเรื่องอยากจะขอร้อง ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้าก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
หลี่จิ่นถามหยั่งเชิง “รอให้คราวหน้าเจ้าขุนเขากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว จะช่วยรบกวนให้เจ้าขุนเขา ‘ลงสี’ บนภาพลายเส้นขาวดำให้สักภาพได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ใช่หนึ่งในสองภาพที่จูเหลี่ยนมอบให้พี่หลี่หลังกลับจากนครลมเย็นมาพร้อมกับเพ่ยเซียงแล้วบังเอิญผ่านที่แห่งนี้พอดีหรือไม่?”
หลี่จิ่นพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ รู้ว่าคราวก่อนที่จูเหลี่ยนเดินทางผ่านร้านแห่งนี้ได้มอบม้วนภาพให้หลี่จิ่นสองภาพ ล้วนเป็นภาพลายเส้นขาวดำ ภาพแรกที่วาดคือภาพปลาหลีกับปัญญาชน ปัญญาชนมีรูปโฉมเป็นหลี่จิ่นที่ขี่ปลาหลีตัวใหญ่ เผยให้เห็นแค่หัวกับหาง ร่างของปลาหลีถูกบดบังอยู่ในทะเลเมฆ บนม้วนภาพนี้จูเหลี่ยนใช้ตราประทับตัวอักษรสีชาดแกะสลักเป็นคำแปดคำ ‘จิตใจข้าลึกล้ำ ขอบเขตยิ่งใหญ่แจ่มกระจ่าง’ ส่วนอีกภาพหนึ่งคือปัญญาชนที่อยู่ในภาพแรกคล้ายกับได้กระโดดข้ามประตูมังกรไปเรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่บนประตูมังกรหลุบตาลงมองกระแสน้ำเชี่ยวกราก เนื่องจากในมือของปัญญาชนได้จับเสาใหญ่ของประตูมังกรเอาไว้ จูเหลี่ยนจึงประทับตราด้วยอักษรสีขาวเป็นคำแปดคำว่า ‘ปลามังกรเปลี่ยนร่าง เชี่ยวชาญยอดเยี่ยม’
แต่เพียงแค่เพราะภาพทั้งสองเป็นภาพลายเส้นขาวดำ ดังนั้น ‘คำขอร้อง’ ของหลี่จิ่นที่บอกว่าลงสีก็เหมือนการวาดลายเส้นทองให้กับ…เทวรูปที่อยู่ในวัดวาอารามอย่างหนึ่ง
เรื่องของการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าต้องดูที่วัตถุประสงค์ของฮ่องเต้ของราชสำนักในท้องถิ่น หรือไม่ก็อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นจึงจะมี ‘ปากอมกฎสวรรค์’ ได้
แต่หากเป็นการวาดลายเส้นทองในระดับรองลงมา พวกผู้ฝึกตนที่บุญกุศลเปี่ยมล้นสมบูรณ์ หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่ขอบเขตมากเพียงพอก็สามารถมีประสิทธิผลได้เช่นกัน
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ต้องรอคราวหน้า วันนี้ก็ทำเรื่องนี้ให้ได้เลย”
หลี่จิ่นเอ่ยอย่างจนใจ “อยู่ใน…ความฝันเช่นนี้ ม้วนภาพทั้งสองของข้าล้วนเป็นของปลอม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เทพวารีหลี่แค่เพ่งสมาธินิมิตถึง แค่ลองก็จะรู้ได้เอง”
หลี่จิ่นจึงรวบรวมสมาธินึกถึงม้วนภาพทั้งสอง แน่นอนว่าเป็นภาพที่ปัญญาชนขี่ปลาหลีกลายเป็นเซียน ส่วนเรื่องปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรนั้น ตอนนี้ยังไม่กล้าคิดถึง
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็ถึงกับมีเหล็กหมาดหิมะที่ปีนั้นมอบให้กับวิญญูชนจงขุยปรากฏขึ้นมา เขารับม้วนภาพมา คลี่กางกลางอากาศ ช่วยลงลายเส้นสีทองอย่างละเอียดให้กับปลาหลีตัวนั้น สุดท้ายจึงแต้มนัยน์ตาให้กับมัน
หลี่จิ่นประหลาดใจอย่างหนัก อยู่ในนิมิตเช่นนี้ก็ถึงกับเปลี่ยนจากภาพมายาให้กลายเป็นของจริงได้ด้วยหรือ?
หรือว่าข้ากำลังฝันไป?
ใช่ ข้ากำลังฝันอยู่นี่นา…
ถ้าอย่างนั้นเมื่อตื่นจากฝันแล้วคงไม่ใช่เป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำครั้งหนึ่งหรอกกระมัง? แต่คิดแล้วก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เฉินผิงอันไม่มีทางล้อเล่นกับตนในเรื่องแบบนี้แน่นอน
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อมาก็มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องดีก็มาเป็นคู่”
หลี่จิ่นลังเลเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้เหนื่อยยากอะไร”
วาดลายเส้นสีทองลงบนชุดคลุมอาคมตัวยาวที่อยู่บนร่างของปัญญาชนในม้วนภาพที่สอง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบตราประทับชื่อสองชิ้นออกมา เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว เฉินสืออี
บนเป็นอักษรลายนูน ล่างเป็นอักษรลายเว้า มีทั้งสีแดงและสีขาว มีความหมายร้อยเรียงต่อเนื่องกัน
เนื่องจากมีข้อพิถีพิถันในการใช้จำนวนตราประทับ สมัยโบราณชอบใช้ตราประทับคี่ เพราะมีความหมายว่า ‘ใช้หนึ่งไม่ใช้สอง ใช้สามไม่ใช้สี่ ใช้เลขคี่เพื่อประคองหยาง’
ดังนั้นสุดท้ายเฉินผิงอันจึงหยิบตราประทับอีกชิ้นหนึ่งออกมา คือตราประทับอักษรน้ำที่อยู่เคียงข้างเขามานานหลายปี
หลี่จิ่นเก็บม้วนภาพทั้งสองมา ประสานมือโน้มกายคารวะเฉินผิงอัน แสดงการขอบคุณจากใจจริง พอยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “อีกเดี๋ยวธูปก้านนั้นจะต้องแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง เทพวารีแห่งแม่น้ำชงตั้น หลี่จิ่นยินดีช่วยขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปตามที่กำลังอันน้อยนิดจะอำนวย”
คนชุดเขียวหายวับไปแล้ว
หลี่จิ่นลืมตาขึ้น รีบหยิบม้วนภาพทั้งสองออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
ลงลายเส้นสีทองแล้วจริงดังคาด
โชคชะตาน้ำเปี่ยมล้น เหนือเกินกว่าที่จินตนาการไว้
หลี่จิ่นรีบทะยานลมกลับไปยังจวนวารีแม่น้ำชงตั้น อีกทั้งยังอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าอย่างเคร่งขรึมจริงจัง สุดท้ายสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้าไปทางทิศใต้ สองนิ้วทำท่าคีบธูป รวบรวมโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งในอาณาเขต สุดท้ายจุดธูปดอกนั้นขึ้นมา
ขณะเดียวกันนั้น
ในบริเวณใกล้เคียงกับแม่น้ำชงตั้น เทพวารีแห่งสายน้ำที่บนแขนมีงูเขียวตัวหนึ่งรัดพันก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
เหนียงเนียงเทพวารีบางคนก็ยิ่งทำเช่นนี้ มีความจริงใจอย่างถึงที่สุด ไม่แพ้ให้กับสหายร่วมงานสองคนเลย
พื้นที่มงคลรากบัวของภูเขาลั่วพั่ว เจียวน้ำหงเซี่ยนำพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำใต้อาณัติมากมาย พากันจุดธูปหอมหนึ่งดอก
ลำน้ำฉีตู๋ที่อุตรกุรุทวีป
ในจวนโหวใหม่เอี่ยมที่โอ่อ่าโอฬาร เด็กหนุ่มชุดดำดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ประธานในห้องโถงหลัก ยิ้มร่ามองสุ่ยเจิ้งของศาลลำน้ำตอนบนซึ่งมาเป็นแขกที่จวน “ซือถูจีตั้ง เจ้าลองว่ามาสิว่านี่ว่าเป็นครอบครัวคนยากจนต่อให้อยู่ในตลาดจอแจก็ไร้คนถามไถ่ ครอบครัวคนร่ำรวยต่อให้อยู่ในป่าลึกก็มีญาติห่างไกลไปเยี่ยมหาหรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสหายร่วมงานในอดีต ลูกน้องในทุกวันนี้กระอักกระอ่วนอย่างยากจะปกปิดได้
หลี่หยวนเพียงแค่หัวเราะหึหึ ไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยอกแสลงใจ ทั้งสองฝ่ายรู้ไส้รู้พุงกันดี เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี อีกฝ่ายคือคนประเภทที่ว่าไร้ผลประโยชน์ก็ไม่ยอมตื่นเช้า มีเพียงเงินถึงเท่านั้น ทุกเรื่องล้วนคุยกันได้
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นสุ่ยเจิ้งเหมือนกัน เป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกันมานานหลายปี
ในอดีตศาลสามแห่งของลำน้ำฉีตู๋ ก่อนหน้านี้เหลือแค่สองแห่ง ศาลตอนบนตั้งอยู่ที่หน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน หลี่หยวนรับหน้าที่อยู่ในศาลตอนกลาง ตั้งอยู่ที่สำนักมังกรน้ำ เพียงแต่ว่าถูกหลอมให้กลายเป็นศาลบรรพจารย์ไป
ในถ้ำสวรรค์วังมังกร เกาะเป็ดน้ำที่เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของหลี่หยวนก็เคยได้ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ช่วยให้เฉินผิงอันซื้อไว้ได้ด้วยราคาที่ต่ำมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว ก่อนที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นหลงถิงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ผู้ทรงเกียรติ ยังคงเป็นเจ้าคนที่ชื่อว่าซือถูจีตั้งที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ที่ฟุ่มเฟือยมือเติบ
หลายปีก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยเห็นเจ้าคนผู้นี้มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของตนที่ถ้ำวังมังกรแม้แต่ครึ่งคำ เย่อหยิ่งยิ่งนัก ก็มีที่พึ่งนี่นะ ย่อมดูแคลนคนอย่างตนที่มีชีวิตรอดอยู่รอความตายไปวันๆ อยู่แล้ว
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ซือถูจีตั้งวิ่งมาตีสนิทกับตนทุกๆ สามวันห้าวันเลยทีเดียว
ในฐานะสุ่ยเจิ้งแห่งศาลตอนบนของลำน้ำฉีตู๋ ซือถูจีตั้งเคยมีรูปโฉมแก่ชรา ทุกวันนี้ไม่ถึงขั้นเปลี่ยนจากแก่มาเป็นเด็ก แต่ใบหน้าก็เปล่งปลั่งอิ่มเอิบ ประหนึ่งต้นไม้แห้งเหี่ยวได้เจอกับฤดูใบไม้ผลิ เหมือนอย่างมนุษย์ธรรมดาที่เปลี่ยนจากวัยไม้ใกล้ฝั่งกลับมาเป็นวัยหกสิบปีอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ศาลบุ๋นจงใจมองข้ามเรื่องการแต่งตั้งลำน้ำใหญ่ให้ถูกต้องมาโดยตลอด ในฐานะบุคคลที่ต้องดูแลควันธูปของศาลลำน้ำใหญ่ หลายพันปีที่ผ่านมาจึงอยู่ในสภาพการณ์น่าสงสารที่ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม สวมตำแหน่งขุนนางเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่กลับเหมือนแมลงน่าสงสารในวงการขุนนางที่ไม่เคยได้รับเงินเดือน เทียบกับคนที่ทำงานในที่ว่าการน้ำใสของราชวงศ์ล่างภูเขาแล้วยังน่าสงสารยิ่งกว่า ฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นที่ตั้งอยู่เลียบลำน้ำใหญ่ ราชวงศ์น้อยใหญ่ทั้งหลายพวกนั้นอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ และก่อนหน้านี้สี่มหาสมุทรก็ไม่มีหลงจวิน แน่นอนว่าน้ำไกลยิ่งมิอาจดับไฟใกล้ เป็นเหตุให้สุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่ทั้งหมดในใต้หล้าไพศาล ทุกครั้งที่ร่างทองเกิดรอยแตกร้าวก็แทบจะเป็นสถานการณ์แน่นอนที่มิอาจแก้ไข ไร้ทางให้ถอยหลังกลับ ร่างทองทุกร่างที่ล้มคว่ำ ใต้หล้าก็จะมีสุ่ยเจิ้งน้อยลงไปหนึ่งคน
เป็นเหตุให้ในอดีตช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด ลำน้ำน้อยใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรมีสุ่ยเจิ้งมากถึงสองร้อยกว่าคน ทว่ากลับไม่เหลืออยู่เลยสักคน
ทว่านับตั้งแต่ที่แจกันสมบัติทวีปอาศัยกำลังคนสร้างลำน้ำใหญ่สายหนึ่งขึ้นมา เท่ากับว่า ‘บุกเบิกแม่น้ำก่อนใคร’ ในที่สุดศาลบุ๋นก็เริ่มแสดงท่าที สุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่บางส่วน ต่อให้ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นกงโหวของลำน้ำใหญ่เหมือนกับหลี่หยวน ทว่าต่อให้เป็นซือถูจีตั้งที่รักษาสถานะของสุ่ยเจิ้งไว้ไม่แปรเปลี่ยน แต่เพียงแค่เพราะได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากศาลบุ๋นก็เท่ากับว่าระบบสืบทอดบนมหามรรคาของไพศาลได้ยอมรับสายสุ่ยเจิ้งอีกครั้ง คราวนี้ขุนนางเก่าแห่งลำน้ำใหญ่อย่างพวกเขาไม่ใช่ไม้แก่ที่เจอฤดูใบไม้ผลิแล้วจะเรียกว่าอะไร
หลี่หยวนไม่ได้พูดจาหยอกล้อซือถูจีตั้งต่อ แต่เริ่มคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน
คุยเรื่องจริงจังกันไปแล้ว หลี่หยวนก็ไปส่งแขกถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง หนึ่งเพราะเป็นมารยาท สองเพราะทุกครั้งที่อยู่หน้าประตูใหญ่บ้านตน เงยหน้าเห็นกรอบป้ายอักษรทองคำว่า ‘จวนหลงถิงโหว’ แล้วในใจก็รู้สึกอุ่นซ่านเป็นสุขอยู่เสมอ
ชื่อของสุ่ยเจิ้งอย่างพวกเขาไม่มีข้อห้ามเรื่องการใช้แซ่ ต่อให้เป็นแซ่ที่มีอักษรฮว่อ (ไฟ) อยู่ข้างๆ ก็ไม่ขัดต่อมหามรรคา
แต่ชื่อจำเป็นต้องมีอักษรสุ่ย (น้ำ) อยู่ด้วย นี่คือกฎที่ตั้งมาแต่สมัยโบราณ
ยกตัวอย่างคำว่า ‘หยวน’ ของหลี่หยวน คำว่า ‘จีตั้ง’ ของซือถูจีตั้ง
ทว่าอักษรคำว่าเข่อ (กระหาย) หรือคำว่าซา (ทราย) ห้ามเอามาใช้แน่นอน ส่วนอักษรคำว่าหม่านก็ใหญ่เกินไป คำว่าวานก็เล็กเกินไป หากเกิดน้ำท่วมขึ้นมาจะอัปมงคลเกินไป ดังนั้นหากต้องเปลี่ยนชื่อตัวอักษรอย่างคำว่า จ่าง สยงหย่ง เวินก็ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
เมื่อก่อนหลี่หยวนรู้สึกมาโดยตลอดว่าซือถูจีตั้งใช้ชีวิตได้ดีกว่าตนต้องเป็นเพราะตั้งชื่อได้ดีแน่นอน ตอนนี้มานึกดูแล้ว หึหึ ธรรมดานัก
เดินอาดๆ กลับเข้าไปในจวน ไม่ยินดีจะไปหาเรื่องใส่ตัวในห้องทำงานของที่ว่าการจริงๆ จึงร่ายใช้คาถาน้ำตรงไปที่ลำน้ำใหญ่ พริบตาเดียวก็ขยับห่างไปนับร้อยนับพันลี้ สุดท้ายไปเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกรอย่างเงียบเชียบ หลี่หยวนไปนั่งอยู่บนทะเลเมฆ หลุบตาลงมองเกาะกลางทะเลสาบ ประหนึ่งหอยโข่งที่อยู่บนถาดสีเขียวมรกต
มองอยู่พักใหญ่ก็ไม่อาจมองจนมีดอกไม้งอกออกมาได้ หลี่หยวนอ้าปากหาว ทิ้งตัวนอนหงายหลัง นอนอยู่บนทะเลเมฆทั้งอย่างนั้น ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ไม่ถูกสิ นายท่านอย่างข้าแอบอู้งานต่างหาก ถ้าอย่างนั้นก็ของีบหลับสักตื่นเถอะ
เด็กหนุ่มชุดดำลืมดวงตาสีทองขึ้นช้าๆ หัวเราะเสียงหยัน “โจรน้อยจากที่ใด ดีสุนัขช่างใหญ่นัก ถึงกับกล้า…”
พูดไปได้แค่ครึ่งเดียว หลี่หยวนก็กระโดดผลุงลุกขึ้นยืน “เฉินผิงอัน?!”
คนผู้หนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวคลี่ยิ้มอบอุ่น “มีเรื่องอยากจะขอให้เจ้าช่วย”
หลี่หยวนยกสองมือขึ้นตบหน้าตัวเองแรงๆ เสียงดังสนั่น “ว่ามา!”
ต่อให้ต้องตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนก็ต้องช่วยให้ได้
ต้องถามด้วยหรือว่าเรื่องอะไร ไม่จำเป็น พยักหน้าตอบตกลงไว้ก่อนจึงจะเรียกว่าเป็นพี่น้องกัน
สุดท้ายหลี่หยวนโบกมือเป็นวงกว้าง “ต้องการคุณความชอบอะไร ทำตัวห่างเหินกันไปแล้วนะ…”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายืนกราน “มีกฎอยู่ มิอาจละเมิด วันหน้าจะมาดื่มเหล้ากับเจ้าก็แล้วกัน”
หลี่หยวนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อจากนี้จะไปพบเสิ่นหลินหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เจอกับหลิงหยวนกงแล้วยังต้องออกเดินทางต่อ”
หลี่หยวนถามเสียงเบา “ต้องไปหลายสถานที่เลยหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า “หลายสถานที่เลยล่ะ”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ ‘ออกเดินทางไกลในความฝัน’ ต่ออีกครั้ง
ในหอสยบปีศาจ ‘แห่งหนึ่ง’ อาจารย์ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งยืนพิงราวรั้วมองไกลๆ ไปยังต้นอู๋ถงต้นนั้น
ข้างกายคือนักพรตวัยกลางคนคนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่สีม่วง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าลูกใหญ่และกระบวยตักเหล้า สวมเสื้อสีเหลืองรองเท้าป่าน สะพายกระบี่ถือแส้ปัดฝุ่น
อันที่จริงอาจารย์ผู้เฒ่ากับนักพรต ‘วัยกลางคน’ ผู้นี้ หากจะพูดถึงในเวลานี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นคนในอดีตที่กำลังมองเรื่องในอนาคตอยู่ตอนนี้
นักพรตยิ้มถาม “ออกเดินทางไกลอยู่ข้างนอก เป็นอย่างไรบ้าง?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ไม่อย่างไร ไม่อย่างไรเลย เด็กในหมู่บ้านรังแกคนแก่ไร้เรี่ยวแรงอย่างข้า”
อาจารย์ผู้เฒ่ามองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “สหายฉุนหยาง เจ้าช่วยทำนายชะตาให้หน่อยได้ไหม?”
นักพรตพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดแล้ว หลวี่เหยียนมีหรือจะกล้าไม่ทำตาม”
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “หลวี่เหยียนอะไรกัน ต้องเป็นหลวี่จู่ที่เลื่อมใสมานานถึงจะถูก”
หลวี่เหยียนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นับนิ้วคำนวณอยู่พักหนึ่งก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ลมโชยเหนือดิน มอง”
อาจารย์ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที คือแถวที่ห้าของการทำนาย พยักหน้ารับ จากนั้นโบกชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ทำนายอีก”
คำทำนายของหลวี่เหยียนก่อนหน้านี้พูดถึงฟ้าดินเคลื่อนโคจร หยินเติบโตหยางสลาย มหามรรคาเสื่อมถอยหมื่นสรรพสิ่งก้าวเดินลำบาก หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสารพัด ควรจะมองดูสถานการณ์ไปก่อน
วิญญูชนควรสงบนิ่งไม่ควรเคลื่อนไหว เลือกมองลมบนกำแพงไปก่อนชั่วคราว
ผ่านไปพักหนึ่งหลวี่เหยียนก็เอ่ยอีกว่า “เก้าห้า มองข้ารอด วิญญูชนไร้ภัย”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “นี่ก็ดีมากน่ะสิ ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองสวรรค์ย่อมช่วยเหลือ”
หลวี่เหยียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ช่างเถอะ ท่านคือปรมาจารย์มหาปราชญ์ ในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าท่านพูดอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น
อาจารย์ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าได้รู้สึกว่าข้าทำอะไรไปบ้าง จะเป็นไปได้อย่างไร”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พลันจุ๊ปาก เอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “โอ้ ที่แท้แสงจันทร์ก็ไม่ได้แนบติดกับแผ่นฟ้า แต่เดินท่องอยู่เพียงลำพังหรือนี่”
หลวี่เหยียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างสะท้อนใจตามมาอีกสองประโยคอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์แห่งใต้หล้าไพศาลท่านนี้พูดถึงชื่อสองสามชื่อ
อวี๋เค่อที่เป็นชื่อหนึ่งในนั้นคือชื่อของหลี่เซิ่ง ส่วนโค่วหมิงกลับเป็นชื่อจริงของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง
ประโยคท้าย
“ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในโลกนี้จะมีคนสักกี่คนที่ก่อลัทธิตั้งตนเป็นบรรพจารย์ แล้วจะมีสักกี่คนที่บอกว่าตัวเองไร้ศัตรูเทียมทาน”
ประโยคก่อนหน้านั้น
“หากไม่มีเฉินชิงตู อวี๋เค่อ โค่วหมิง เฉินผิงอัน”
——