กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 928.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด)
ก็เหมือนอย่างในเวลานี้ เด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนราวระเบียงที่ใกล้ที่สุด กำลังศึกษายันต์ม้าแบกน้ำแผ่นหนึ่ง คือกระดาษยันต์สีทองที่วาดด้วยมือ กระดาษยันต์คือกระดาษเงินกระดาษทองวาดเป็นภาพของเทพสวมเสื้อเกราะขี่ม้า คล้ายคลึงกับวิธีการหดย่อพื้นที่ เดินทางอย่างว่องไวของเทพเซียนบนภูเขา เพียงแต่ใช้เวทลับของจวนน้ำเดินไปบนเส้นทางของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และควันธูป เนื่องจากมีขั้นตอนของการเรียกยันต์ออกมาจุดไฟเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นตอนหนึ่ง จึงจะถือว่าสร้างยันต์ได้สำเร็จอย่างแท้จริง ดังนั้นผู้ฝึกตนสายยันต์ทั่วไปจึงวาดยันต์นี้ไม่ได้ ยันต์นี้มีคำกล่าวขานที่ไพเราะว่า ‘เงินกระดาษม้าเสื้อเกราะลี้ลับจริงดังคาด ระยะทางหมื่นลี้อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า’
การฝึกตนไม่รับรู้การมาถึงของฤดูกาล เวลาหนึ่งชุ่นทองหนึ่งชุ่น
“เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือ?”
ขุนนางหญิงที่เคยรับหน้าที่อยู่ในหน่วยเอกสารของตำหนักวารีหนันซวินหัวเราะหึหนึ่งที “ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปพวกเราจับมือกันเดินทางข้ามมหาสมุทรด้วยขบวนที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ขึ้นฝั่งที่ธวัลทวีป หมายจะซักไซ้เอาโทษผู้ฝึกตนของทวีปนั้น แต่อาจารย์เหวินเซิ่งช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ถึงได้ไม่ได้ตีกัน แต่พวกเราก็ไม่ได้ไปเสียเที่ยว หลังจากนั้นธวัลทวีปก็ไม่มีอักษร ‘อุตร’ อีก นี่คือเรื่องที่ทางศาลบุ๋นให้การยอมรับนะ หมื่นปีที่ผ่านมา เก้าทวีปของไพศาล ในเรื่องของการเปลี่ยนชื่อก็มีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น จะเป็นเรื่องเล็กได้หรือ?”
พูดมาถึงตรงนี้ ขุนนางหญิงก็มีสีหน้าสดใส “ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเหวินเซิ่งเอนเอียงมาทางพวกเราอย่างชัดเจน คือคนกันเองของอุตรกุรุทวีปครึ่งตัว”
“อีกอย่างลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวินเซิ่งอย่างจั่วโย่ว อาจารย์จั่ว เซียนกระบี่ใหญ่จั่วมีเวทกระบี่สูงเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่อะไรนั่นล้วนต้องไปยืนชิดซ้าย ปีนั้นเซียนกระบี่ใหญ่จั่วออกมหาสมุทรเดินทางไกลเคยแวะมาที่ทวีปของพวกเขา พวกเซียนกระบี่จีเยว่แห่งภูเขาวานรครวญพากันขี่กระบี่ไปถึงริมฝั่งมหาสมุทร ต่างก็เคยสัมผัสกับเวทกระบี่ของอาจารย์จั่วมาก่อน แน่นอนว่าต้องแพ้ แต่ถึงจะแพ้ก็แพ้อย่างมีเกียรติ พวกเจ้าคิดดูสิ ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปที่ไม่ประสบความสำเร็จมากพอ ขอบเขตไม่สูงพอ ต่อให้ไปถามกระบี่กับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วด้วยความฮึกเหิม คนเขายินดีจะสนใจหรือ ถ้าถามข้านะ อย่าว่าแต่ยกมือเลย แม้แต่จะเลิกเปลือกตาขึ้นมองก็ยังไม่ยินดีกระมัง?”
“ต่อให้ไม่พูดถึงปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ผ่านมาค่อนข้างนานพวกนี้ พูดถึงแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อิ่นกวานหนุ่มที่เหมือนว่าจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนโลก มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยและทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ทุกวันนี้ใครไม่รู้บ้าง? เฉินหลี่ เกาโย่วชิงแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่อิ่นกวานหนุ่มนำมามอบให้กับเจ้าทะเลสาบลี่กับมือตัวเองหรอกหรือ? เฉินหลี่ผู้นั้นยังมีฉายาว่าอิ่นกวานน้อยด้วยนะ ข้าได้ยินหลิวหมัวมัวเล่าด้วยว่าเฉินหลี่ผู้นี้เขียนบนป้ายสงบสุขปลอดภัย เรียกตัวเองว่าเซียนกระบี่อายุร้อยปี เฮอะ คุยโวหรือ? ผิดแล้ว คนเขาถ่อมตัวต่างหากเล่า เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนภายในหกสิบปีก็ยังมีความเป็นไปได้”
เด็กสาวที่มาจากตระกูลชั้นสูงล่างภูเขาพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “รู้สิๆ ก่อนจะมาอยู่จวนวารี ข้าเคยได้ยินท่านปู่เล่าว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นคือสหายร่วมโต๊ะสุราที่สนิทกับเจ้าสำนักหลิวแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่สุด แต่ขนาดอยู่บนโต๊ะสุราก็ยังดื่มเหล้าสู้เจ้าสำนักหลิวไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าอุตรกุรุทวีปของพวกเรา เวทกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ต้องแพ้ให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่แน่นอน แต่หากจะวัดความสูงต่ำบนโต๊ะสุรากันล่ะก็ นั่นก็ไม่ยอมแพ้ให้กับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของพวกเขาเลย ผู้คุมกฎหวงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็บอกว่าปีนั้นตอนที่ตัวเองออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าแห่งนั้นจนทำให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งซานเกิงที่มาส่งแขกอาเจียนเลยไม่ใช่หรือ”
ดูเหมือนนางจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูเหมือนจะมีข่าวลือเล็กๆ ว่าหลงถิงโหวบอกว่าตัวเองคือพี่น้องที่ตัดหัวไก่เผากระดาษร่วมสาบานของใต้เท้าอิ่นกวานด้วยนะ จริงหรือเปล่า?”
หากว่าเป็นจริงก็ร้ายกาจมากจริงๆ แม้ท่านโหวแห่งลำน้ำใหญ่ผู้นี้จะด้อยกว่าหลิงหยวนกงบ้านตนอยู่ระดับหนึ่ง แต่ในเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจวนโหวจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้แล้ว?
ขุนนางหญิงคนเก่าของตำหนักวารีหนันซวินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คุยโวน่ะสิ ใครคิดเป็นจริงคนนั้นก็โง่แล้ว หลงถิงโหวผู้นั้นมีพฤติกรรมอย่างไร คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่เพื่อนบ้านเก่าของถ้ำสวรรค์วังมังกรอย่างพวกเรา…”
หมัวมัวผู้สอนมารยาทท่านหนึ่งบังเอิญเดินผ่านระเบียงมาพอดี ได้ยินประโยคนี้อยู่ไกลๆ ก็รีบปรี่ขึ้นหน้ามาตวาดสีหน้าดุดัน “บังอาจ! ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดจาไม่รู้จักละอาย”
หมัวมัวท่านนี้ทุกวันนี้ดูแลกองมรรยาทหนึ่งในสิบหกกองของจวนวารี นางเคยเป็นขุนนางของซากปรักวังมังกรลำคลองใหญ่สายหนึ่งในอุตรกุรุทวีป พิถีพิถันในเรื่องมารยาทพิธีการที่สุด เป็นสตรีโตเต็มวัยที่มีลักษณะแก่เฒ่าจนเดินเหินไม่สะดวก นางเดินเนิบช้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาวพวกนี้ เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ถึงกับกล้าพูดจาเหลวไหล นินทาคนอื่นลับหลัง ไร้กฎไร้ระเบียบกันจริงๆ หากแพร่ออกไปให้คนนอกได้ยินเข้าก็ต้องเข้าใจผิดคิดว่าจวนกงของพวกเราไร้กฎระเบียบแล้ว พวกเจ้าใครก็ตามที่เปิดปากพูดจะถูกจดลงบัญชีของกองการบันทึก หากยังกล้าพูดจาแบบนี้แล้วถูกจับได้อีกจะถูกขับออกจากจวน!”
สายตาของหญิงชราประดุจเหยี่ยวที่จับจ้องลูกเจี๊ยบตัวน้อย ไม่เพียงแต่ขุนนางเก่าของจวนวารีเท่านั้น สตรีคนอื่นๆ ที่เหลือทุกคนต่างก็ตกใจเงียบกริบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว สีหน้าซีดขาว
หญิงชราที่พูดจาด้วยสีหน้าดุดันโกรธเคืองจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่านางจงใจทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อยากจะหาเรื่องเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง อาศัยโอกาสนี้โอ้อวดบารมี คนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นนางไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว เพียงแต่คำพูดซี้ซั้วประเภทนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก หากแพร่ไปเข้าหูจวนหลงถิงโหวจริงๆ หากไม่ทันระวังก็จะกลายเป็นภัยร้าย ทำให้นายท่านกับหลงถิงโหวที่เดิมทีถือว่าความสัมพันธ์ของสองฝ่ายปรองดองกันดีเกิดรอยร้าวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อให้หลงถิงโหวใจกว้าง ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วไม่ถือสา แต่กลัวก็แต่พวกขุนนางในจวนโหวที่หัวรั้นบางคนจะยึดหลักว่าเจ้านายได้รับความอัปยศขุนนางต้องตาย จุดที่ภูเขาสายน้ำของสองจวนเชื่อมโยงถึงกันมีค่อนข้างมาก ง่ายที่จะเกิดปัญหาขัดแย้งไม่หยุดหย่อน ในนาของพวกชาวบ้าน เพียงแค่เรื่องของการแย่งน้ำก็เกิดการตะลุมบอนกันด้วยอาวุธอยู่บ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับสองจวนอย่างกงและโหวของลำน้ำใหญ่เล่า?
อีกอย่างนังหนูที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างพวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหลี่หยวนที่ตอนเป็นสุ่ยเจิ้ง แม้แต่สำนักมังกรน้ำก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาคือคนที่อยู่ร่วมด้วยง่าย?
พูดถึงแค่เรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของลำน้ำใหญ่ ปีนั้นกรอบป้ายหน้าประตูภูเขาถูกคนงัดออกไปสองตัว แต่ทำไมสุดท้ายกลับยังฝืนใจปล่อยคนไป? ก็ไม่ใช่เพราะหลี่หยวนป่าวประกาศไปแล้วว่าหากกล้าไม่ปล่อยคน หลงถิงโหวเช่นเขาก็จะทำให้น้ำท่วมทับเรือนเทพสายฟ้าหรอกหรือ! สุ่ยเจิ้งในอดีตที่เพิ่งจะเป็นหลงถิงโหวได้แค่ไม่กี่วันกลับกล้าไม่เห็นกฎเกณฑ์ของศาลบุ๋นและตำแหน่งขุนนางอยู่ในสายตาขนาดนี้ อาศัยอะไร? เขาหลงถิงโหวคือคนโง่หรือไร?
น่าเสียดายที่ใต้เท้าหลงถิงโหวไม่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่อย่างนั้นคงอดไม่ไหวตอกกลับมาแล้วว่า เจ้าคิดผิดแล้ว ตอนนั้นข้าแค่อาศัยเลือดร้อนๆ กับคุณธรรมน้ำมิตรที่ท่วมท้นอยู่เต็มร่างเท่านั้นจริงๆ
นี่เรียกว่าเพื่อสหายแล้วเสียบมีดสองที เสียบเองก่อนหนึ่งที ถามอีกฝ่ายว่ากลัวหรือไม่ หากอีกฝ่ายไม่กลัวก็ค่อยเสียบอีกฝ่ายซ้ำอีกที ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ก็แค่ต้องดูว่าใครอำมหิตกว่ากัน ใครรับได้ไหวมากกว่ากัน
มีสตรีโตเต็มวัยผู้หนึ่งแต่งกายเหมือนจักรพรรดินีในวัง บุคลิกสุภาพเยือกเย็น งดงามจนมิอาจนำสิ่งใดมาบรรยายได้
บุคลิกท่าทางสดใสแช่มชื่นประดุจดอกฝูหรงที่เบ่งบานในภูเขาห่างไกล
สตรีก็คือเสิ่นหลินอดีตเจ้าของตำหนักวารีหนันซวิน หลิงหยวนกงแห่งลำน้ำใหญ่ในทุกวันนี้ ด้านหลังนางมีเทพหญิงของจวนวารีติดตามมาอีกสองคน คือขุนนางที่เป็นผู้นำของกองตรวจสอบและกองของตกแต่ง คนหนึ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่ อีกคนหนึ่งรับผิดชอบ…รับของขวัญ
เสิ่นหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ห้ามให้มีคราวหน้าอีก ครั้งนี้ทางกองการบันทึกจะยังไม่จดบัญชี”
หญิงชรารีบยอบกายคารวะหลิงหยวนกงทันที หลิงหยวนกงเปิดปากพูดให้ด้วยตัวเองก็คือความโชคดีอย่างใหญ่หลวงของเด็กสาวพวกนี้
พวกขุนนางหญิงพากันคารวะเสิ่นหลิน
เสิ่นหลินบอกให้พวกนางลุกขึ้น จากนั้นก็ลูบศีรษะพวกแม่นางน้อยสองสามคนที่คุยกันเต็มอารมณ์ที่สุด พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยน “วันหน้าไปอยู่ข้างนอก จะพูดจาอะไรต้องระวังให้มาก หลิวมรรยาททั้งหวังดีแล้วก็ทำตามกฎด้วย แต่กลับไปถึงที่พักของตัวเอง ปิดประตูลงพูดคุยกันกลับไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ไม่ต้องระมัดระวังมากเกินไป อืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังว่าอย่าให้ ‘หลิวคร่ำครึ’ ของพวกเจ้าได้ยินเข้าล่ะ แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว”
หญิงชราย่อมรู้ว่าตัวเองถูกขุนนางในจวนวารีตั้งฉายาที่ไม่น่าฟังนี้ให้ เพียงแต่นางไม่สนใจ เวลานี้ได้ยินหลิงหยวนกงเอ่ยสัพยอก หญิงชราก็ยังอดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา
เสิ่นหลิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลิวมรรยาท ขอคุยธุระกับเจ้าสักหน่อย”
เดินออกมาจากระเบียงเส้นนั้นแล้ว หมัวมัวเฒ่าก็ถามว่า “นายท่านยังเป็นกังวลกับเรื่องชื่อของสถานประกอบพิธีกรรมหรือ?”
เสิ่นหลินพยักหน้า “หากถ่วงเวลาออกไปเรื่อยๆ ก็ไม่สมควร ทางฝั่งของหลงถิงโหวได้ตั้งชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากแจ้งให้ทางศาลบุ๋นทราบ ดูเหมือนว่าจะผ่านแล้วเหมือนกัน”
อย่างแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ หยางฮวาฉางชุนโหวแห่งลำน้ำใหญ่ก็มีกรอบป้ายแขวนหน้าจวนถึงสองกรอบ จวนฉางชุนโหว ตำหนักปี้เซียว
หนึ่งคือสถานที่ราชการที่ทางศาลบุ๋นแต่งตั้งให้อย่างเป็นทางการ หนึ่งคือสถานที่ประกอบพิธีกรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หลินหลีโหวแห่งลำน้ำฉีตู้ที่มีชาติกำเนิดจากเจียวเฒ่าแห่งถ้ำเฟิงสุ่ย เฉียนถังฉางผู้นั้น หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโหวก็แขวนกรอบป้ายให้จวนตัวเองว่า ตำหนักอวิ๋นเหวิน
คือลายมือของเจ้าขุนเขาสองท่านจากสำนักศึกษาหลินลู่และสำนักศึกษากวานหู
มีเพียงจวนของหลิงหยวนกงแห่งนี้ที่ยังไม่เห็นเค้าว่าจะทำสำเร็จ แรกเริ่มเสิ่นหลินยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี อยากจะขอให้บุคคลท่านนั้นประทานชื่อให้ แต่ตอนแรกที่ก่อตั้งจวน เสิ่นหลินก็เคยส่งกระบี่บินไปทางยอดเขาสิงโตอย่างลับๆ จากนั้นก็เป็นเหมือนวัวปั้นดินที่จมลงสู่ทะเล ไม่มีเรื่องราวต่อมาอีก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีจะสนใจตน เสิ่นหลินจึงไม่กล้าไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของอีกฝ่าย
และยังมีอีกวิธีหนึ่งก็คือทำเหมือนพวกฉางชุนโหวและหลินหลีโหว นั่นคือขอชื่อจากเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาในท้องถิ่น หากว่ามีมิตรภาพส่วนตัวกับทางศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง มีช่องทางขอให้ผู้อำนวยการหรือรองผู้อำนวยการมาช่วยก็ยิ่งดี เพียงแต่อย่าว่าแต่ศาลบุ๋นเลย ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขารองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอวี๋ฝูแห่งอุตรกุรุทวีป นางก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรด้วย เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการช่วยตั้งชื่อก็ไม่ได้เป็นเรื่องเล็กที่แค่มอบสองชื่อมาให้ง่ายๆ เท่านั้น
คิดเอาเอง?
เสิ่นหลินไม่คิดว่าในเรื่องของการตั้งชื่อ ตนจะทำได้ดีกว่าหลี่หยวนสักเท่าไร
เสิ่นหลินนวดคลึงหว่างคิ้ว ปวดหัวมากจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่จะรีบร้อนก็ไม่ได้ แต่จะไม่ให้นางกลุ้มใจก็ไม่ได้อีก จึงอดไม่ไหวถอนหายใจเอ่ยว่า “หลิวมรรยาท เจ้ากับรองเจ้าขุนเขาจ้าวแห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูถือว่ายังพอรู้จักกันอยู่บ้าง หาโอกาสไปพบเขาสักหน่อยเถอะ ดูสิว่าจะเชิญให้เขามาที่จวนวารีสักครั้งได้หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องตั้งชื่อให้ชัดเจน”
ความน่ากระอักกระอ่วนของเรื่องแบบนี้ก็คือ หากอีกฝ่ายตอบตกลง ช่วยตั้งชื่อให้อย่างตั้งใจ เอาผลงานน้ำหมึกออกมา แต่ถ้าฝ่ายตนไม่ชอบใจ รู้สึกว่าชื่อนั้นไม่สอดคล้องกับมหามรรคาของจวนน้ำ จะไม่เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าอีกฝ่ายหรอกหรือ?
หญิงชราพยักหน้า “ข้ารู้หนักเบาดี นายท่านโปรดวางใจ เชื่อว่าวันหน้าวาสนาลมน้ำของจวนวารีพวกเราจะต้องราบรื่นเป็นธรรมชาติดุจเรือเจอสะพานก็ต้องจอดแน่นอน”
เสิ่นหลินฝืนยิ้ม “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
หญิงชราเตรียมออกเดินทางทันที ในมือถือป้ายคำสั่งของจวนวารี เดินทางไปพบรองเจ้าขุนเขาจ้าวแห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝู
เสิ่นหลินเดินเข้าไปในอาณาเขตของตำหนักวารีหนันซวินเก่า ที่ว่าการน้อยใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นเทพหญิงที่มีเยอะ บุรุษก็มีเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนมีไม่มาก
ขุนนางจวนน้ำบางส่วนที่ขยันตั้งใจทำงานยังไม่ได้มาขานชื่อที่ห้องโถงกลางก็มานั่งลงอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง เริ่มก้มหน้าก้มตาจัดการงานในมือกันแล้ว
เสิ่นหลินกลับเข้ามาในห้องหนังสือของตน ด้านบนแขวนกรอบป้ายคำที่เขียนด้วยตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ ต้นกำเนิดน้ำไหลยาวไกล
เสิ่นหลินกล่าว “สั่งความออกไป ภายในหนึ่งเดือนนี้ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ส่วนงานพิธีต้นฤดูใบไม้ผลิของสกุลโจวต้าจ้วนก็ช่วยปฏิเสธให้ข้าอย่างละมุนละม่อมด้วย ให้ชุ่ยหว่านแห่งกองการบันทึกช่วยเขียนหนังสือตอบกลับไปให้แทน อีกเดี๋ยวเจ้าก็เอาตราประทับทางการของข้าไปส่งให้นาง หากไม่มีธุระสำคัญก็อย่ามารบกวนข้า”
เทพหญิงคนใกล้ชิดคนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกห้องหนังสือควบตำแหน่งขุนนางกองตราประทับของจวนวารีด้วย นางตอบรับด้วยสีหน้านอบน้อม “รับคำสั่ง”
เสิ่นหลินโบกชายแขนเสื้อปิดประตูลง สองนิ้วทำมุทราเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำหลายชั้นที่ถูกอำพรางเอาไว้ จากนั้นเรือนกายก็สลายหายไป กลายมาเป็นม้วนภาพที่ลี้ลับมหัศจรรย์ภาพหนึ่งคล้ายภาพน้ำ
สายน้ำหลักของลำน้ำใหญ่ครึ่งสายเป็นสีทอง แม่น้ำลำคลองขนาดใหญ่เป็นสีทองอ่อนจาง สายน้ำที่แยกตัวออกไปเป็นสีออกเงิน และยังมีลำธารจำนวนมากที่สุดที่เป็นสีเทา
เสิ่นหลินมาถึงพื้นที่ลับตำหนักหนันซวินอย่างเงียบเชียบ คือสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่แท้จริงของเสิ่นหลิน เมื่อเทียบกับศาลบรรพจารย์ของสำนักบนภูเขาแล้วก็คือที่วางร่างทองของเสิ่นหลิน และร่างจริงของสถานที่ประกอบพิธีกรรมนี้ก็จำแลงมาจากหอยขมสีเขียว เป็นการประกอบพิธีกรรมในเปลือกห้อยอย่างแท้จริง ‘หอยสังข์’ ชิ้นนี้มาจากสำนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ล่มสลายไปแล้ว คือหนึ่งในภาชนะที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้ ด้านในกำแพงแกะสลักคาถาน้ำที่สูงส่งบทหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะของชิ้นนี้ เกรงว่าเสิ่นหลินคงไม่อาจทนจนได้กลับไปพบเจอกับบุคคลผู้สูงสุดท่านนั้น
ขนาดของลานประกอบพิธีกรรมไม่ใหญ่ พอๆ กับห้องหนังสือด้านนอก แต่กลับเป็นการจำแลงของ ‘เรือนแห่งใจ’ ของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง แค่คิดก็รู้ได้ว่าเจ้าของเก่าของหอยสังข์ชิ้นนี้ มีมรรคกถาสูงส่งจนถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ
ในลานประกอบพิธีกรรม นอกจากจะมียันต์อักษรทองกระดาษสีม่วงแผ่นหนึ่งแล้วก็ไม่มีของอย่างอื่นอีก
กระดาษยันต์แผ่นนั้นมีไอสีม่วงล้อมวน ใหญ่เหมือนภาพขุนเขาสายน้ำที่อยู่ในแกนแนวตั้ง แขวนลอยอยู่กลางอากาศ ตัวอักษรสีทองเรียงเป็นแถวยาวเปล่งประกายระยิบระยับ คือ ‘ห้องที่แสงสว่างเจิดจ้า’
ควันธูปเป็นเส้นๆ ลอยจากจวนวารีน้อยใหญ่และศาลแห่งลำคลองแม่น้ำทั้งหลายมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ โชคชะตาบริสุทธิ์ของควันธูปในโลกมนุษย์เปล่งประกายระยิบระยับเหมือนแสงดาวอยู่ในห้อง ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง
เดิมทีเสิ่นหลินคิดจะแอบอู้ ใช้เวลาหนึ่งเดือนหล่อหลอมร่างทองให้ดี กิจธุระในจวนน้ำมีมากมาย นางเองก็ไม่เหมือนหลี่หยวนที่ชอบทำตัวเป็นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร้าน เสิ่นหลิงทำอะไรมีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่า เรียกได้ว่าลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เสิ่นหลินไม่ได้มีการเพิกเฉยละเลยต่อสถานะที่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขา ใช้ควันธูปมาหล่อหลอมร่างทอง ยกระดับฐานะเทพให้สูงขึ้น นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของมหามรรคา
——