กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 928.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด)
เสิ่นหลินพลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง นางรีบยื่นมือมากดหว่างคิ้วทันใด หลับตาลงตามจิตใต้สำนึก หว่างคิ้วก็เหมือนมีเนตรสวรรค์สีทองอ่อนจางเปิดขึ้นมา เพียงแต่ว่าเส้นเอ็นหัวใจที่เดิมทีขึงตึงของเสิ่นหลินกลับคลายตัวลงได้หลายส่วนทันที เก็บวิชาอภินิหารที่ใช้โจมตีนั้นมาเงียบๆ
เสิ่นหลินคลี่ยิ้มหวาน ไม่คิดว่าจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่ใจกล้ามุทะลุอย่างถึงที่สุด นางยอบกายคารวะอย่างสุภาพเรียบร้อย เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เสิ่นหลินอดีตคนของตำหนักวารีหนันซวินคารวะอาจารย์เฉิน”
คนชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนต่างถิ่นที่ปีนั้นถูก ‘หลี่หลิ่ว’ เรียกว่า ‘อาจารย์เฉิน’
เสิ่นหลินรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวอีกฝ่ายจริงๆ นางติดค้างอีกฝ่ายเยอะมาก
มองย้อนกลับไป หากตนไม่ได้พบเจอกับ ‘หลี่หลิ่ว’ ถ้าอย่างนั้นสองตำแหน่งโดดเด่นอย่างกงและโหวของลำน้ำใหญ่เช่นนี้ สำนักมังกรน้ำต้องสนับสนุนหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งที่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านให้ได้ครอบครองตำแหน่งหนึ่งแน่นอน ถ้าอย่างนั้นต่อให้ตนได้รับการสนับสนุนจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและผู้ฝึกกระบี่ลี่ไฉ่ แต่ด้วยรากฐานของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน ในเรื่องแบบนี้ต้องสนับสนุนซือถูจีตั้งที่เป็นสุ่ยเจิ้งของศาลตอนบนอย่างเต็มที่ ตนไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย
ทว่าหากไม่เป็นเพราะอาจารย์เฉินท่านนี้ไปเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกร หลี่หลิ่วก็ไม่มีทางหวนกลับมายังถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนหลายแห่งของนาง ยิ่งไม่มีทางช่วยให้เสิ่นหลินได้ร่างทองกลับคืนมา
ดังนั้นถึงได้บอกว่าอาจารย์เฉินท่านนี้คือผู้มีพระคุณของนางเสิ่นหลินอย่างจริงแท้แน่นอน
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ “มาโดยไม่ได้รับเชิญ ล่วงเกินแล้ว”
เสิ่นหลินยิ้มบางๆ “มีแต่จะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบ”
ไม่เหมือนสุ่ยเจิ้งอย่างหลี่หยวน เสิ่นหลินที่หลายปีมานั้นคอยดูแลการไหลเวียนของลมฝนในถ้ำสวรรค์วังมังกรในนาม อันที่จริงตำหนักวารีหนันซวินก็คือน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด ร่างทองของเสิ่นหลินก็คือไม้ที่ไร้ราก
เนื่องจากด่านที่หน่วยฉงเสวียนตำหนักนภากาศราชวงศ์สกุลหยวนของต้าหยวนสร้างเอาไว้ได้ขัดขวางโชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่ ปริมาณที่ไหลเข้าหาถ้ำสวรรค์วังมังกรสามารถประคับประคองอยู่ในระดับน้ำที่พอดิบพอดี เป็นเหตุให้ร่างทองของเสิ่นหลินไม่ถึงขั้นแตกสลายเพราะโชคชะตาน้ำแห้งขอด แต่กลับยากที่จะใช้โชคชะตาน้ำมาหล่อหลอมและสร้างความมั่นคงให้กับร่างทอง ชดเชยช่องโหวทั้งหลายบนร่างทอง นี่ก็เหมือนการอยู่เฉย..รอความตายอย่างหนึ่ง
ดังนั้นเฉินผิงอันที่มาเที่ยวเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกรเป็นครั้งแรก ครั้งแรกที่ได้พบเสิ่นหลิน บวกกับตอนนั้นเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็ไม่ได้จงใจร่ายเวทอำพรางตาบดบังใบหน้าที่แท้จริง เป็นเหตุให้ในสายตาของเฉินผิงอันเวลานั้น ความรู้สึกแรกก็คือใบหน้าปริแตกเหมือนสีเคลือบบนเครื่องกระเบื้องร้าว รอยแตกเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทำให้สภาพของนางอเนจอนาถไม่แทบมิอาจทนมอง นั่นก็คือการที่ร่างทองใกล้ปริแตกและกำลังจะแหลกสลาย บอกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนรับหน้าที่เป็นหลงถิงโหวของลำน้ำใหญ่ ถือว่าได้เลื่อนขั้น เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
แต่สำหรับเหนียงเนียงเทพวารีตำหนักวารีหนันซวินแล้วกลับเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ คือการช่วยชีวิต
อาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นมานานหลายปี ก็เหมือนภรรยาตัวน้อยที่ทนรับการถูกรังแกกดขี่ ในที่สุดก็อดทนกับความยากลำบากจนกลายมาเป็นแม่สามีได้สำเร็จ
เฉินผิงอันไม่ได้มองสถานประกอบพิธีกรรมแห่งนี้มากเกินความจำเป็น ถามว่า “สามารถเปลี่ยนสถานที่ได้หรือไม่ มีธุระจะปรึกษาหลิงหยวนกงสักหน่อย”
เสิ่นหลินเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
อาจารย์เฉินท่านอย่าลืมล่ะว่า อยู่ใน…ความฝันนี้ของท่าน ท่านได้เปลี่ยนสถานะจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านแล้ว จะให้ข้าเสิ่นหลินนำทางอย่างไร?
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยอธิบาย “หลิงหยวนกงแค่จินตนาการถึงสถานที่ที่คุ้นเคยสักแห่งหนึ่งก็พอ”
ความคิดของเสิ่นหลินบังเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็มาอยู่ในห้องหนังสือนอกหอยสังข์แล้ว
เพียงแต่ไม่นานเสิ่นหลินก็สังเกตเห็นความประหลาด หากเป็นของที่ตัวเองจำได้อย่างชัดเจนจะมีสีสัน แต่หากเป็นของที่นางไม่เคยให้ความสนใจจะเป็นสีขาวดำ
รอกระทั่งสายตาของเสิ่นหลินกวาดมองไปยังวัตถุที่เป็นสีขาวดำเหล่านั้น พวกมันกลับกลายเป็นสีสันในเสี้ยววินาที ราวกับว่าเป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้พวกมันส่วนหนึ่งในทันทีทันใด
เสิ่นหลินไม่ยินดีให้มีความต่างระหว่างเจ้าบ้านกับแขกจึงยกเก้าอี้มาสองตัว เฉินผิงอันขยับชุดกว้าตัวยาวสีเขียวเบาๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
เสิ่นหลินกล่าว “อาจารย์เฉิน ท่านเรียกชื่อข้าตรงๆ ก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยังคงเรียกหลิงหยวนกงว่าเสิ่นฮูหยินก็แล้วกัน”
ได้ยินเรื่องธูปหนึ่งก้าน แน่นอนว่าเสิ่นหลินต้องรู้เรื่องนี้ จุดที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่คนที่จุดธูปคารวะซึ่งต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจ ไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำได้แม้แต่น้อย
ไม่อย่างนั้นธูปหอมดอกนี้จุดติดไฟได้ง่าย ทว่าจิตแห่งธูปที่จะประคับประคองควันธูปกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจจุดได้ติด
เพียงแต่ว่ากับเสิ่นหลินนั้นไม่มีปัญหาใดๆ นางรังเกียจผู้ฝึกตนของใบถงทวีปก็จริง แต่ในเมื่อสำนักเบื้องล่างของอาจารย์เฉินสร้างขึ้นที่ใบถงทวีป เรื่องของความจริงใจจะมีอะไรยากตรงไหน
ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณผู้มีพระคุณอยู่ไกลๆ ก็แล้วกัน
ส่วนคุณความชอบส่วนนั้น เสิ่นหลินปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปก่อน เห็นว่าอาจารย์เฉินยืนกรานก็อับอายจนพานเป็นความโกรธ เฉินผิงอันยังคงใช้เหตุผลอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ส่วนเสิ่นหลินก็ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง สีหน้าของนางรันทดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม รอกระทั่งเฉินผิงอันยังพยายามสรรหาถ้อยคำมาโน้มน้าว ไฟโทสะของเสิ่นหลินก็พวยพุ่ง กรอบตาแดงก่ำ มีน้ำตาเอ่อคลอ บอกว่าอาจารย์เฉินท่านจงใจบีบให้ข้าตกอยู่ในสภาวะที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรมอย่างนั้นหรือ? หรือว่าสำหรับในใจของอาจารย์เฉินผิงอันแล้ว ท่านรู้สึกมาโดยตลอดว่าข้าเสิ่นหลินคือพวกเนรคุณแล้งน้ำใจ? เฉินผิงอันจึงได้แต่เก็บคำพูดกลับคืนมา ยังเอ่ยขออภัยเสิ่นฮูหยินหนึ่งคำ ผลคือเสิ่นหลินพลันคลี่ยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งมาเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตา
เฉินผิงอันหยิบตำราต้นฉบับเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เสิ่นหลิน อธิบายว่า “พอจะถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีชดเชยให้กับการที่เสิ่นฮูหยินได้รับตำแหน่งเป็นหลิงหยวนกง แต่ข้าก็มีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน”
ผลคือพอเปิดตำราเล่มนั้นก็ต้องเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “คือกฎทองคำและข้อบัญญัติหยกของพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใบถงทวีปได้เจอกับเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่ง ได้ขอความรู้บางอย่างมาจากเขา เจินเหรินผู้เฒ่าให้ความรู้อย่างไม่ขี้เหนียว เสิ่นฮูหยินสามารถนำไปมอบให้กับเจ้าสำนักซุนในนามของจวนวารีหลิงหยวนกงได้”
คำว่า ‘กฎทองคำและข้อบัญญัติหยก’ ก็คือพิธีกรรมของลัทธิเต๋า คือข้อแนะนำอันประเสริฐอย่างแท้จริง คือ ‘กฎเกณฑ์เก่า’ ที่ต่อให้จ่ายเงินเทพเซียนก็หาซื้อมาไม่ได้
ตำราพิธีกรรมที่ใช้ในการเปิดพิธีของลัทธิเต๋า โดยภาพรวมแล้วสามารถแบ่งออกเป็นพิธีกรรมทางหยางได้แก่ขอพรกำจัดทุกข์ ขจัดภัยพิบัติ ขอบคุณเทพเจ้า กับพิธีกรรมทางหยินอันได้แก่โปรดวิญญาณผู้ล่วงลับ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล บริจาคทำทาน ซึ่งหนึ่งในนั้นตำราต้นฉบับถือว่าล้ำค่าหาได้ยากที่สุด คำกล่าวโบราณที่กล่าวไว้ว่าให้ทำตามตำรา ก็เป็นเช่นนี้เอง ทำไปตามระเบียบขั้นตอน ก็เหมือนฮ่องเต้แคว้นเป่ยจิ้นที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาของใบถงทวีปที่ลงแรงในเรื่องของตำราต้นฉบับ พยายามที่จะฟื้นคืนกฎระเบียบเดิมกลับมา
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอยู่ที่ริมตลิ่งแม่น้ำชื่อหลิน เดินเล่นกับเหลียงส่วงเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ริมน้ำ นอกจากจะขอความรู้ด้านพิธีการเฉพาะของภูเขามังกรพยัคฆ์จากเจินเหรินผู้เฒ่าแล้ว ยังพูดถึงเรื่องการกินเจบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์ของสำนักมังกรน้ำ ทุกๆ วันที่สิบเดือนสิบและวันที่สิบห้าเดือนสิบของทุกปี ในถ้ำสวรรค์วังมังกรจะมีพิธีบวงสรวงที่จัดตามประเพณีโบราณสองครั้งติดต่อกัน อิงตามปีที่แตกต่างก็จะมีการแบ่งเป็นลานประกอบพิธีกรรมยันต์ทอง ยันต์หยก และยันต์เหลือง
ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าถึงได้อดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า เจ้าหนูนี่เจ้าคิดจะถอนขนแกะให้เต็มที่เลยสินะ
เสิ่นหลินลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เหตุใดอาจารย์เฉินไม่เอาของสิ่งนี้ไปมอบให้กับหลงถิงโหว ให้เขาช่วยนำไปส่งต่อให้กับซุนเจี๋ยหรือไม่ก็เส้าจิ้งจือ?”
นี่คือน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้าเชียวนะ
สำนักบนภูเขาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาวเช่นนี้มากที่สุด
หากพูดถึงมิตรภาพส่วนตัว อาจารย์เฉินย่อมต้องสนิทกับหลี่หยวนมากกว่า ก่อนหน้าวันนี้ อาจารย์เฉินเพิ่งจะพูดคุยกับตนรวมแล้วแค่กี่ประโยคเอง? น้อยจนนับนิ้วได้
เสิ่นหลินไม่ได้สงสัยว่าเฉินผิงอันมีจุดประสงค์อะไรต่อจวนวารีหลิงหยวนบ้านตนหรือต่อตัวนางเอง
อาจารย์เฉินดุจแสงจันทร์ดุจลมเย็น เป็นวิญญูชนผู้ผึ่งผายเปิดเผย ใสกระจ่างดุจแสงสว่าง
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “หลี่หยวนเก็บความลับไม่อยู่ พอดื่มมากเข้าก็ง่ายที่จะบอกความในใจกับคนอื่น ไม่ว่าคำพูดจากใจจริงอะไรก็ล้วนควักออกมาพูดหมด เมื่อก่อนอาจไม่เป็นไร แต่ทุกวันนี้เขาเป็นหลงถิงโหวแล้ว ยังไงก็ต้องระวังไว้หน่อย ธรณีประตูในการคบหาสหายของหลี่หยวนสูง นับๆ ดูแล้วก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน อยู่ดีๆ เอาตำราต้นฉบับเล่มนี้ออกมา ง่ายที่จะทำให้สำนักมังกรน้ำเกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็คงจะสงสัยว่าในช่วงเวลาอันยาวนานที่หลี่หยวนรับหน้าที่เป็นสุ่ยเจิ้ง ทั้งๆ ที่มีตำราต้นฉบับพิธีกรรมเล่มนี้ แต่เหตุใดถึงไม่เคยเอาออกมา นี่คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ จะโทษว่าพวกเจ้าสำนักซุนคิดมากไม่ได้”
เสิ่นหลินพยักหน้า การกระทำนี้ของเฉินผิงอันสุขุมรอบคอบและมีประสบการณ์อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกครั้งว่า “แต่กับเสิ่นฮูหยินนั้นไม่ต้องระมัดระวังเช่นนี้ ทุกวันนี้จวนหลิงหยวนกงมีคนมหัศจรรย์ให้ใช้งานมากมาย สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นของเก่าเก็บที่คนบางคนได้มาจากสถานที่บางแห่ง จากนั้นก็ถูกเสิ่นฮูหยินที่สายตาเฉียบแหลมมองของออกมาพบเจอ เป็นเหตุให้จนถึงวันนี้มันถึงเพิ่งได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง นำมามอบให้กับสำนักมังกรน้ำ ย่อมต้องนำไปใช้ประโยชน์ได้ แล้วก็ถือเป็นการเริ่มต้นด้วยดีจากลากันด้วยดี ทั้งยังเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ใหม่ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีอีกครั้ง”
เสิ่นหลินเม้มปากยิ้ม อารมณ์ดีอย่างยิ่ง กว่าจะอดกลั้นไม่ส่งเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง หากข้าได้ตำราต้นฉบับพิธีกรรมของลัทธิเต๋าที่ล้ำค่าหายากเล่มนี้มาก่อน ด้วยสภาพการณ์ของเสิ่นหลินในปีนั้น เว้นเสียจากว่าตัวเองไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วถึงได้เก็บซ่อนเอาไว้”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “คำพูดที่เป็นความจริงประเภทนี้ ข้าเป็นแค่แขกคนหนึ่ง พูดแล้วก็ไม่เหมาะสม”
เสิ่นหลินคลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
หวนนึกถึงอดีตในปีนั้น พบเจอกันเป็นครั้งแรก ตอนนั้นในมือของคนหนุ่มถือร่มกระดาษน้ำมัน ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าคล้ายแสงตะเกียงท่ามกลางลมฝน
เฉินผิงอันกล่าว “ช่วยเหลือคนอื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเอง”
เสิ่นหลินพยักหน้า คำว่าใจเห็นแก่ตัวที่อาจารย์เฉินเอ่ยก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเสิ่นหลินย่อมรู้ชัดเจนดี เพราะทุกปีหลี่หยวนจะต้องช่วย ‘พี่น้องร่วมสาบาน’ คนนี้ทำเรื่องเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันใช้ราคาที่ต่ำที่สุดซื้อเกาะเป็ดน้ำแห่งนั้นมาจากถ้ำสวรรค์วังมังกร
ทุกวันนี้เป็นการมอบผลหลีตอบแทนผลท้อ ไยจะไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีจบลงที่ดีและเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีอีกครั้งเล่า?
เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นบอกลา
เสิ่นหลินพลันเอ่ยว่า “เมื่อกระทำอย่างมีเหตุผลและกระตือรือร้น ย่อมได้รับการสนับสนุนสืบทอดต่อชีวิตให้ยืนยาว”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ลุกขึ้นยืนกุมหมัดเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอให้สมพรปากเสิ่นฮูหยินแล้วกัน”
นี่คือคำพูดที่อาจารย์ของตนพูด คือถ้อยคำอริยะปราชญ์ที่พิมพ์ลงบนกระดาษขาวให้บัณฑิตจำนวนนับไม่ถ้วนได้ท่องจำและให้อรรถาธิบาย
เวลานี้เสิ่นฮูหยินเอ่ยประโยคนี้จึงถือว่าเหมาะที่สุด
เสิ่นหลินลุกขึ้นยืนตามไปด้วย เอ่ยรั้งเอาไว้ “อาจารย์เฉิน ไยต้องรีบร้อนเช่นนี้ด้วย อยู่ต่อสักพักก็คงไม่เป็นไรกระมัง? อย่างน้อยก็ให้ข้านำทาง เชิญให้อาจารย์เฉินได้เที่ยวชมซากปรักเก่าของตำหนักวารีหนันซวินสักหน่อย?”
เฉินผิงอันได้แต่บอกไปตามตรง “เรื่องของการเดินทางไกลในความฝัน เกี่ยวพันกับแม่น้ำแห่งกาลเวลา ต้องเผาผลาญคุณความชอบในระดับที่แน่นอน”
เสิ่นหลินมีสีหน้ากังขา “แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น คิดดูแล้วคงไม่เสียหายเท่าไร แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่กับข้า อาจารย์เฉินต้องเสียคุณความชอบด้วยหรือ? หรือจะบอกว่าอาจารย์เฉินมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะไม่รับคุณความชอบส่วนนั้น?”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเป็นทบทวี ได้แต่เอ่ยประโยคตามมารยาทว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่น้อมรับคำสั่งแล้ว”
เสิ่นฮูหยินกับจู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมา มองดูเหมือนจะมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่กลับร้ายกาจเหมือนกัน
แน่นอนว่าคนที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตเหมือนตะแกรงร่อนมากที่สุดยังคงเป็นเซียนกระบี่หญิงบางท่านของธวัลทวีป
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เดินตามเสิ่นหลินไป ทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางจวนวารีที่ยากจะแบ่งจริงเท็จ ปะปนกันจนแยกไม่ออก
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองสามารถให้คนผู้หนึ่งเดินได้พอดี
เสิ่นหลินรู้สึกว่าน่าสนใจ เมื่อก่อนนางได้ยินข่าวบางอย่างบนภูเขา บอกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ในช่วงเวลาที่เป็น ‘เถ้าแก่รอง’ เพราะเรื่องที่เขาไปดื่มเหล้าบ่อยๆ ทำให้หนิงเหยาปิดประตูไม่ให้เข้าบ้าน ต้องนั่งยองให้ผ่านพ้นคืนหนึ่งไป? อีกทั้งยังไม่กล้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย?
เซียนกระบี่หนิงท่านนั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
มิน่าเล่านางถึงสามารถกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสีได้ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลจริงๆ
ตามหลักมารยาทแห่งขุนเขาสายน้ำที่ศาลบุ๋นกำหนด ‘บ้านของกงโหว’ แห่งลำน้ำใหญ่และห้ามหาบรรพต สามารถใช้กระจกใสสีเขียวมรกตได้
เมื่อเทียบกับจวนหลงถิงโหวของหลี่หยวนแล้ว ทั้งสองต่างก็กินอาณาบริเวณกว้างขวางพอๆ กัน เพียงแต่ว่าทางฝ่ายนี้ค่อนข้างจะเรียบง่าย เรื่องของการก่อสร้าง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังดำเนินอยู่ ปีนั้นทางฝั่งของสำนักมังกรน้ำได้ให้เงินหลี่หยวนยืมไปก้อนหนึ่ง ควักเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ช่วยให้สร้างจวนโหว แน่นอนว่าหลี่หยวนไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
อีกทั้งในทางส่วนตัวสำนักมังกรน้ำก็ได้รับคำสั่งจากเสิ่นหลินว่าให้พิจารณาทางฝ่ายของหลงถิงโหวก่อน ส่วนทางฝั่งของตนไม่ต้องให้สำนักมังกรน้ำมาดูแลสักเท่าไร แต่สุดท้ายสำนักมังกรน้ำที่พอจะโล่งอกได้บ้างก็ยังมอบกำลังคนและทรัพย์สินมาให้ที่นี่ไม่น้อย เงินไม่ได้มาก ทว่าผู้ฝึกตนทำเนียบที่มาให้การสนับสนุนกลับไม่ขาดแคลน
โชคดีที่ตำหนักวารีหนันซวินเก่าแห่งนั้นได้ย้ายออกจากถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว สามารถนำมาทำเป็นจุดศูนย์กลางของกองงานต่างๆ เรือนน้อยใหญ่ต่างก็ถูกบุกเบิกเป็นที่ว่าการของหน่วยงานทั้งหลาย
จวนกงโหวของลำน้ำใหญ่ไม่ต่างอะไรจากราชสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีที่ว่าการเยอะ ตามกฎระเบียบที่ศาลบุ๋นกำหนดไว้ โดยทั่วไปแล้วจะก่อตั้งให้มีสิบหกกองงาน จำนวนมีเพิ่มหรือลดกลับไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าใด
แม้ว่าระดับขั้นขุนนางของหลิงหยวนกงกับหลงถิงโหวจะเท่ากันบนทำเนียบหยกทองของศาลบุ๋น แต่ก็ยังมีความต่างอยู่บ้างเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นเสิ่นหลินสามารถสร้างศาลลำน้ำสองแห่ง มีสุ่ยเจิ้งที่รับผิดชอบควันธูปได้สองคน หลี่หยวนกลับมีรายชื่อแค่ชื่อเดียว นอกจากนี้จำนวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำใต้การปกครอง จวนหลิงหยวนกงก็ต้องมีจำนวนมากกว่าจวนหลงถิงโหวสองส่วน ส่วนพวกพ่อปู่ลำคลองแม่ย่าลำคลองกลับไม่มีจำนวนที่แน่นอน ดูแค่ที่จำนวนสายน้ำว่ามีมากหรือน้อยแล้วค่อยกำหนด
เสิ่นหลินเดินไปถึงบริเวณใกล้เคียงกับกองควันธูปก็ถามเสียงเบาว่า “ตัวเลือกของศาลลำน้ำสองแห่ง อาจารย์เฉินมีคำแนะนำหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้มาเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปสองครั้ง ข้ามีการคบค้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำตามรายทางไม่ค่อยมาก”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำมากมายเลียบลำน้ำใหญ่ เมื่อก่อนอยู่ในเขตการปกครองของราชสำนักแคว้นต่างๆ ทว่าทุกวันนี้เท่ากับว่ามีหัวหน้าอยู่เหนือหัวเพิ่มมาอีกสองคน
แต่เมื่อเทียบกับการมารับตำแหน่งเพียงลำพังของหลี่หยวนแล้ว เสิ่นหลินที่นอกจากมีเทพหญิงของตำหนักวารีหนันซวินเก่าตามมาด้วย ยังพาพวกเซียนน้ำผีพรายกลุ่มหนึ่งออกมาจากถ้ำสวรรค์วังมังกรด้วย ก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งบรรลุธรรมหมาและไก่ก็พลอยได้บินขึ้นฟ้า นอกจากนี้เสิ่นหลิงยังรวบรวมจำนวนคนที่มากน่าดูชมมากลุ่มหนึ่ง ในบรรดานั้นมีทั้งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง แล้วก็มีภูตเผ่าน้ำที่เป็นฝ่ายมาสวามิภักดิ์กับนางด้วยตัวเอง ก็เหมือนอย่างหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่รับหน้าที่ในกองมรรยาทซึ่งก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
——