กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 928.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด)
ทุกวันนี้กองงานในจวนวารีหลิงหยวนมีทั้งหมดสิบแปดแห่ง ทุกแห่งล้วนมีระเบียบ ต่างก็มีหน้าที่กันคนละอย่าง
หากจะพูดถึงวิถีการปกครองจัดการงาน บางทีหลี่หยวนหลายคนรวมกันก็ยังสู้เสิ่นหลินคนเดียวไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรหลี่หยวนก็อยู่คนเดียวจนชินแล้ว คือคนประเภทที่ว่าหากนอนเสพสุขได้ก็จะไม่ลุกมานั่งงีบหลับเด็ดขาด ส่วนเสิ่นหลินก็ขึ้นชื่อว่าปกครองเรือนอย่างมีระเบียบ เมื่อก่อนอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกรก็มีเพียงตำหนักวารีหนันซวินเท่านั้นที่ตรงกับคำว่าสตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหนแต่ไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารเลิศรสออกมาไม่ได้
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ทุกครั้งที่ออกไปตรวจตราในอาณาเขตของตัวเองล้วนจัดขบวนเต็มพิธีการเคร่งครัด มีบารมีน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เดินไปถึงหน้าประตูกองของตกแต่ง เสิ่นหลินก็มีสีหน้าเขินอายขึ้นมา
เหล่าขุนนางหญิงที่อยู่ในห้องกำลังยืนยันรายนามหนึ่งให้แน่ใจอีกครั้ง
ที่แท้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำคนใดก็ตามในใต้หล้าไพศาล ทุกปีจะต้องมีวันบรรลุมรรคาที่คล้ายกับวันฉลองวันเกิดของมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขา
เพียงแต่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั่วไป คนที่ระดับขั้นไม่สูงก็มักจะไม่ถือสาในเรื่องนี้ จะไม่จัดงานพิธีการยิ่งใหญ่ อย่างมากก็แค่ว่าในศาลของแต่ละคนมีควันธูปจากโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้นหน่อย มิเช่นนั้นแล้วหนึ่งปีจัดหนึ่งครั้ง ใครจะรับได้ไหว? ระหว่างเพื่อนบ้านในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำก็เหมือนกับการใส่ซองให้กันไปมาของล่างภูเขา ต่างก็พิถีพิถันในเรื่องที่ว่ามีมามีไป จึงกลายมาเป็นกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งกลายเป็นความเคยชิน ส่วนใหญ่ล้วนจะจัดหกสิบปีครั้ง หรือไม่ก็มองข้ามไปเลย
ทว่ากงโหวลำน้ำใหญ่อย่างเสิ่นหลิน อีกทั้งยังเพิ่งจะรับตำแหน่งได้แค่ไม่กี่ปี นางกลับจะทำให้เรียบง่ายไม่ได้
และวันบรรลุมรรคาของเสิ่นหลินก็ตรงกับเดือนนี้พอดี ดังนั้นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทุกๆ ปลายปีหัวหน้าขุนนางหญิงในกองของตกแต่งจะต้องยุ่งกันหัวหูไหม้ ไม่พูดถึงการรับรองแขก ลำพังเพียงแค่การรับของขวัญ ตรวจนับของขวัญหรือไม่ก็ของบรรณาการก็คืองานใหญ่อย่างสมชื่อ ราชสำนักของแคว้นต่างๆ ตระกูลชนชั้นสูง สำนักเล็กใหญ่จวนเซียนบนภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำทั้งหลายในเขตการปกครอง ที่ดินของเทพภูเขาและยังมีศาลเทพอภิบาลเมืองตามอำเภอเขตและจังหวัดต่างๆ …
ดอกกล้วยไม้หลายกระถางที่มีมูลค่าสูงเทียมฟ้าของแคว้นหลันฝาง เหยี่ยวและอินทรีที่แคว้นจินเฟยฝึกอบรมอย่างตั้งใจ ปลาหลีหลายหางที่มาจากตำหนักเกล็ดทอง รวมไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์และราชวงศ์ต้าจ้วน...
ในอนาคตต้องมอบของขวัญกลับคืนให้ใครบ้าง คืนไปด้วยของขวัญแบบใด อะไรที่ต้องจดลงบันทึกแล้วแบ่งแยกประเภท แต่ละอย่างล้วนต้องตรวจนับให้ชัดเจนก่อนที่จะเก็บเข้าคลัง แล้วยังต้องไปปรึกษากับกองมรรยาทก่อนด้วย ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้แม้แต่น้อย
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีป หลังออกมาจากชายหาดโครงกระดูกก็เคยเดินเท้าผ่านแคว้นหลันฝาง แคว้นจินเฟย สุดท้ายไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ จากนั้นก็บังเอิญได้เจอกับเซียนสุราใหญ่หลิว
จำได้ว่าแคว้นหลันฝางมีการค้าเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นสตรีที่ออกเรือนกับพ่อค้าจึงมักจะโยนเงินทองลงน้ำเพื่อทำนายว่าโชคดีหรือร้าย อีกทั้งการปล่อยสัตว์เล็กที่จับตัวมาได้ก็เป็นที่นิยมไปทั้งราชสำนัก
ทุกครั้งที่เจอภัยแล้งจะชอบเอามังกรกระดาษมาระบายแค้น
พื้นที่ทางเหนือของสวนน้ำค้างวสันต์ หลายสิบแคว้นซึ่งมีราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นหนึ่งในนั้น นับแต่โบราณมาก็เลื่อมใสด้านบู๊ ขนบธรรมเนียมของชาวบ้านเหี้ยมหาญ เหล่าผู้ฝึกยุทธเดินสวนกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่จะเห็นราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นแคว้นเหนือหัว โชคชะตาบู๊รุ่งโรจน์ เอะอะก็เรียกหาพรรคพวก ภาพเหตุการณ์ที่ผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนล้อมตีพรรคบนภูเขามักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ คาดว่าทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลก็น่าจะมีที่นี่ที่เดียว ตำหนักเกล็ดทองที่น่าสงสาร เทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนนั้นขมขื่นเกินบรรยาย ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์มักจะถูกคนเอากระสอบป่านมาครอบหัวใช้กระบองรุมตี ก็ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นอะไรเลยจริงๆ
หมัดเขย่าขุนเขา ผู้อาวุโสกู้โย่ว เคยเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านที่ใช้นามแฝงว่าชิวเฝิงเจี่ย
สุดท้ายต่างผลัดกันถามหมัดถามกระบี่กับจีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรครวญ
ได้ยินมาว่าองค์รักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนคือผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งที่ใช้กระบี่
เดิมทีนางเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลก็ถูกมองว่าเดินไปถึงเส้นทางหัวขาดแล้ว แต่นางกลับยังเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้อย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน
ในที่ว่าการกองก่อสร้างมีรองเจ้ากรมกลาโหมที่อายุน้อยคนหนึ่งของแคว้นลวี่อิง กำลังมาคุยธุระเกี่ยวกับขุนนางอยู่ที่นี่ ได้ยินว่าหยวนหลิงกงเพิ่งจะกลับมาจากการตรวจตรา ทว่ากลับป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าจะปิดจวนไม่ต้อนรับแขก รองเจ้ากรมหนุ่มรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เดิมทีอยากจะพบหน้านางสักครั้ง แค่นั้นก็เพียงพอ ไม่กล้าเพ้อฝันมากไปกว่านี้
ในฐานะที่ตั้งเส้นทางลำน้ำไหลลงสู่มหาสมุทร หลายปีมานี้แคว้นลวี่อิงสร้างเรื่องหลายเรื่อง ลงมือก่อสร้างโดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกับจวนหลิงหยวนก่อน ต้องการบุกเบิกเส้นทางพักแรมยามที่ออกลาดตระเวนลำน้ำใหญ่ให้กับเสิ่นหลิน เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แคว้นลวี่อิงไม่เพียงแต่ใช้เงินในท้องพระคลังจนหมด ลำพังเพียงแค่หนี้ที่หยิบยืมมาจากภายนอก เกรงว่าน่าจะมากมหาศาล เสิ่นหลินย่อมไม่ยินดีจะให้แคว้นลวี่อิงต้องสิ้นเปลืองเช่นนี้
เพียงแต่แคว้นลวี่อิงไม่บอกว่าตัวเองยากจน พร่ำพูดแต่ว่าคลังของแคว้นมีกำไรเหลือ ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย รอกระทั่งขุนนางหญิงของกองก่อสร้างหลายคนไปเยือนแคว้นลวี่อิงด้วยตัวเอง นำพาโองการของหลิงหยวนกงไปด้วย ทว่างบการเงินทุกอย่าง แคว้นลวี่อิงก็ยังบอกจวนวารีมาในราคาต่ำ เรื่องอย่างการตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนเช่นนี้ทำให้เสิ่นหลินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่ออกโองการลับที่ใช้ถ้อยคำเฉียบขาดตามไปอีกครั้ง ไม่ให้โอกาสแคว้นลวี่อิงได้เอ่ยอ้างใดๆ งานก่อสร้างช่วงหลังที่เพิ่งดำเนินไปได้เกือบครึ่งจึงจำต้องยกให้กองก่อสร้างของจวนวารีไปดูแลเอง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องปล่อยทิ้งร้างไปทั้งอย่างนั้น ในอนาคตใครยินดีเข้าพัก แคว้นลวี่อิงของพวกเจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน
ทางฝั่งที่ว่าการกองมรรยาท ตอนนี้พวกขุนนางต่างก็ลำบากใจกันอย่างมาก
เพราะหลิวมรรยาทหมัวมัวผู้เฒ่าที่เป็นบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งเพิ่งออกไปจากจวนวารี หลิงหยวนกงก็ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ทว่าเที่ยงวันของวันนี้ดันมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนถึงสองคน
เสิ่นหลินยิ้มเอ่ย “การไปมาหาสู่ระหว่างผู้คนช่างเหนื่อยจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เข้าใจได้ดี”
เสิ่นหลินถาม “รับมือกับเรื่องพวกนี้ อาจารย์เฉินมีเคล็ดลับหรือไม่?”
ชื่อเสียงบนภูเขาของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ทางใต้ของอุตรกุรุทวีปดีเยี่ยมอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ได้แต่บอกตัวเองว่าสนแต่ความคิดไม่สนเรื่องราวก็ดี หรือสนแต่เรื่องราวไม่สนความคิดก็ช่าง จะต้องทำให้ได้ถึงจุดหนึ่ง นั่นคืออย่าให้กลายเป็นว่าไม่สนทั้งเรื่องราวและความคิดก็พอแล้ว”
เงียบไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันกลั้นขำเอ่ยว่า “อันที่จริงก็มีทางลัดอยู่เหมือนกัน ขอแค่หาผู้ดูแลใหญ่ที่ทำหน้าที่ได้สมตำแหน่งมาสักคนก็สามารถทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านได้อย่างสบายใจแล้ว”
เสิ่นหลินส่ายหน้า “เอาอย่างไม่ได้”
แขกที่มาเยือนจวนวารีหลิงหยวนตลอดหลายปีมานี้ เรียกได้ว่ามีมากมายไม่ขาดสาย นอกประตูมีรถม้าผู้คนสัญจรขวักไขว่อยู่ตลอดทั้งปี แต่คาดว่าผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น
เดินชมที่ว่าการของกองงานทั้งหลายไปแล้ว เฉินผิงอันก็หยุดเท้า เสิ่นหลินเอ่ยว่า “คราวหน้าที่อาจารย์เฉินมาเยือนอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มี จำเป็นต้องมาเป็นแขกที่นี่นะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “แน่นอน”
อยู่ดีๆ เสิ่นหลิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “อาจารย์เฉิน ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้ช่วย!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา ข้าสามารถส่งจดหมายไปให้ท่านอาจารย์ได้”
อันที่จริงเฉินผิงอันเดาได้ตั้งนานแล้วว่าต้องเป็นเรื่องการตั้งชื่อสำหรับเขียนกรอบป้าย ถ้าอย่างนั้นเสิ่นหลินก็มาหาถูกคนแล้วจริงๆ
อย่าว่าแต่กรอบป้ายกรอบหนึ่งเลย ต่อให้เป็นสิบกรอบ ด้วยความรู้ของท่านอาจารย์ตนก็สามารถช่วยทำให้จวนวารีหลิงหยวนกงได้
แต่เสิ่นหลินกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง อาจารย์เฉินทำเองได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เสิ่นฮูหยินเจ้าช่างคิดอะไรก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร เขาจึงรีบโบกมือเป็นพัลวัน “เรื่องของการตั้งชื่อไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัดจริงๆ”
เสิ่นหลินทำสีหน้ามีเลศนัย ลูบเส้นผมตรงจอนหู ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ปีนั้นเฉินหลิงจวินไม่ได้พูดเช่นนี้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เสิ่นหลินสูดหายใจเข้าลึก ได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย บากหน้าเอ่ยว่า “บางทีอาจารย์เฉินอาจจะยังไม่รู้ อันที่จริงข้าคือคนที่เป็นผู้จัดการงานพิธียันต์ทองและยันต์หยกของถ้ำสวรรค์วังมังกรอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด”
หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เสิ่นหลินหรือจะเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง แต่เพราะนางอยากให้อาจารย์เฉินทิ้งผลงานน้ำหมึกไว้ให้จริงๆ จึงจำต้องใช้กลยุทธนี้
เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ เงียบไปพักหนึ่ง ในขณะที่เสิ่นหลินเกือบจะทนไม่ไหวเปลี่ยนใจ เฉินผิงอันกลับพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงฝีมืออันน้อยนิดแล้ว”
กลับไปที่ห้องหนังสือของเสิ่นหลิน
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ ในมือก็มีพู่กันขนยาวด้ามหนึ่งปรากฏจากความว่างเปล่า จิ้มลงไปเบาๆ หนึ่งครั้งปลายพู่กันในมือก็เหมือนจุ่มน้ำหมึกเข้มข้น ทว่าน้ำหมึกกลับเป็นสีทอง
วิถีแห่งการเขียนพู่กันจีน ตัวอักษรบรรจงแบบใหญ่เขียนยากกว่าตัวอักษรบรรจงแบบเล็กมากนัก ถ้าอย่างนั้นหากคิดจะเขียนตัวอักษรขนาดมหึมาให้ได้ดีก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
เพ่งสมาธิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “หากไม่ใช้ชื่อนี้ เสิ่นฮูหยินไม่ต้องรู้สึกเกรงใจใดๆ ถือเสียว่าเป็นลายมือปกติของคนที่เขียนจดหมายไปมาหาสู่กันก็แล้วกัน”
เสิ่นฮูหยินโล่งอก พยักหน้าเอ่ย “ย่อมไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันถือพู่กันด้วยมือซ้าย มือขวาประกบสองนิ้วปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง เบื้องหน้าก็มีกระดาษเซวียนจื่อสีขาวหิมะกึ่งสุก (หมายถึงกระดาษที่หมึกซึมเข้าไปได้โดยไม่เลอะ ไม่กระจายออกเป็นวง ไม่ทำให้หมึกซึมออก เหมาะกับการเขียนจดหมายเพราะจะอ่านได้อย่างชัดเจน) แผ่นหนึ่งกางออกมา
สุดท้ายเขียนลงไปสามคำ ตำหนักเต๋อโหยว
เอามาจากคำว่า ‘ผู้มีคุณธรรมท่องฟ้า’ (เต๋อเหรินเทียนโหยว)
ผู้มีคุณธรรมท่องฟ้า จันทราสารทแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง ความรู้ตะวันจันทรา คนเดินทางคิดถึงบ้านเกิด
ทั้งยังมีความหมายว่าน้ำแห่งลำน้ำใหญ่ ไหลรินไม่ขาดสาย มีเพียงคุณธรรมบุญกุศลที่สร้างความมั่นคง แม้แต่ดอกบัวยังผุดออกจากตม คือสถานที่พักใจ
เสิ่นหลินเพ่งสมาธิมองทุกขีดตัวอักษรบนกระดาษ
ตัวอักษรประดุจมังกรเทพทะยานออกจากมหาสมุทร พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เฉินผิงอันเก็บพู่กันขนยาว สะบัดชายแขนเสื้อ กุมหมัดขอตัวอำลากลับไป
เสิ่นหลินกลับอึ้งงันไร้คำพูด รอกระทั่งเฉินผิงอันจากไปอย่างเงียบเชียบแล้ว หลิงหยวนกงผู้นี้ก็ยังลืมที่จะเอ่ยอำลา
เนิ่นนานกว่าจะคืนสติ เสิ่นหลินเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่ามาครอง แล้วก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าในห้องไม่มีเงาร่างของคนชุดเขียวอยู่แล้ว เสิ่นหลินประสานมือคารวะ ก่อนจะเก็บภาพอักษรนั้นลงไปอย่างระมัดระวัง
นาทีถัดมา เสิ่นหลินก็กลับไปที่ลานประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง
อยู่ในห้องที่แสงสว่างเจิดจ้าแห่งนั้น
เสิ่นหลินยืนอยู่กลางพื้นที่ที่เป็นดินแดนว่างเปล่า ประหนึ่งดอกฝูหรงในภูเขาห่างไกลที่เบ่งบานโดดเด่น
พรุ่งนี้จึงจะเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าเสิ่นหลินในวันนี้กลับรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู
……
ทะเลสาบชางอวิ๋นในอาณาเขตแคว้นอิ๋นผิงอยู่ห่างจากนครสุยเจี้ยมาไม่ไกล ในอาณาเขตปกครองดูแลทะเลสาบหนึ่งแห่งลำคลองสามแห่งและคูน้ำสองแห่ง
อินโหวหูจวินที่สวมชุดคลุมอาคมสีม่วงอ่อน หลายปีมานี้สำรวมขึ้นเยอะมาก แม้ว่าก่อนหน้านั้นที่ศาลบุ๋นป่าวประกาศระดับขั้นทำเนียบหยกทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ ทะเลสาบชางอวิ๋นจะไม่ได้เลื่อนขั้น แต่อินโหวก็ปลงตกแล้ว เทียบกับสูงกว่าไม่พอ เทียบกับต่ำกว่ามากเหลือแหล่ ตอนที่อารมณ์ไม่ดีแค่คิดถึงนครหวงเยว่กับดินแดนเซียนเป่าต้งก็เบิกบานได้แล้ว
ภูเขาตีเหล็ก เซียนซือน้ำไหล
ปีนั้นมังกรข้ามแม่น้ำตัวนั้น เจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าเฉินคนดี ต้องเรียกว่าเป็นคนที่มีกลอุบายลึกล้ำ อำมหิตใจดำ
ข้างกายของเซียนกระบี่หนุ่มในเวลานั้นดูเหมือนว่าจะยังมีลูกสมุนที่พบเจอกันในยุทธภพอยู่คนหนึ่ง คือตู้อวี๋ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของตำหนักขวานผี
ทะเลสาบชางอวิ๋นก็เหมือนเดินเตะแผ่นเหล็ก เวลานี้อินโหวยังรู้สึกถึงความ ‘เจ็บปวดบนหัวแม่เท้า’ ได้อย่างเลือนรางอยู่เลย
ไม่อย่างนั้นสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบใหญ่ที่สูงส่งเช่นอินโหว ไหนเลยจะต้องเป็นฝ่ายไปขอเหล้าดื่มจากศาลเทพอัคคีเล็กๆ ในเมืองสุยเจี้ยทุกๆ สามวันห้าวัน
ก็เหมือนขุนนางหกกรมในเมืองหลวงที่มีชาติกำเนิดจากเส้นทางการสอบขุนนางน้ำใสที่จำเป็นต้องเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับนายอำเภอในท้องถิ่นแห่งหนึ่งด้วยหรือ?
วันนี้ฝึกตนเสร็จแล้วอินโหวก็คิดว่าจะออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย ผลคือเซสะดุดไปหนึ่งทีก็ผลัดหลงเข้ามาใน…ดินแดนลับของผู้ฝึกตนบนยอดเขา?
พอเพ่งตามองไปให้แน่ชัดก็เห็น…คนคุ้นเคยที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้า อินโหวรีบคารวะทันที “อินโหวคารวะเซียนกระบี่เฉิน”
เซียนกระบี่เฉินแค่พูดไม่กี่คำ หูจวินอินโหวก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวทันทีว่า “เซียนกระบี่บอกว่าต้องทำอย่างไร วังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นก็จะทำอย่างนั้น!”
ยังคงเป็นประโยคเดิมในปีนั้น ไม่เปลี่ยนไปเลยสักคำ
คำพูดประโยคเดียวกัน แต่ความคิดคนละอย่าง
คราวก่อนสถานการณ์บีบคั้นเหมือนมีมีดมาจ่อคอ จำต้องทำตาม
ทั้งสองฝ่ายประลองปัญญาประลองความกล้า ประลองเวทคาถาถามกระบี่ต่อกัน ล้วนพ่ายแพ้ให้กับเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่เจ้าเล่ห์มากอุบาย จิตใจอำมหิตไร้ปราณีผู้นี้
ทะเลสาบชางอวิ๋นนั้นเรียกได้ว่าอเนจอนาถยิ่ง โดยเฉพาะพวกคนสนิททั้งหลายที่ต่างต้องพ่ายแพ้ในถิ่นบ้านตัวเอง เป็นเหตุให้ทะเลสาบชางอวิ๋นเปลี่ยนจากประตูบ้านเหมือนตลาด (เปรียบเปรยว่าคนเยอะคึกคัก) ในปีนั้น กลายมาเป็นสถานที่เงียบสงบที่กางตาข่ายดักจับนกได้ในตอนนี้
เซียนซือบนภูเขาของหลายสิบแคว้นที่อยู่รอบทะเลสาบชางอวิ๋น ใครกล้ามาดื่มเหล้าที่นี่บ้าง? มีชีวิตมากกว่าคนทั่วไปหลายชีวิตอย่างนั้นหรือ?
ตนตอบรับอย่างฉับไวเช่นนี้แล้ว แต่กลับเห็นว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวไม่มีท่าทีว่าจะจากไป อินโหวก็แอบโอดครวญอยู่ในใจ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองคงไม่ถึงขั้นนั่งลงผลัดกันชนจอกสุราหรอกกระมัง?
หรือว่าตนทำอะไรไม่ถูกอีก เจ้าคนที่รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุดผู้นี้ถึงได้กลับมาคิดบัญชีอีกครั้ง? อย่างเช่นว่าคราวก่อนที่เจ้าตู้อวี๋ผู้นั้นมาหา? ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าอินโหวคิดว่าตัวเองมีคุณธรรมน้ำใจเต็มที่แล้ว แต่กลับมิอาจช่วยตู้อวี๋ได้จริงๆ ตนไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใหญ่ ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ไปมีเรื่องกับสำนักฉงหลินแล้วจะหนีไปอยู่ไหนได้? เซียนกระบี่อย่างเจ้า หากวันนี้จะมาเอาโทษด้วยเรื่องนี้ ข้าอินโหวก็คงต้อง…ยื่นคอยาวไปให้เจ้าบั่นแต่โดยดีแล้ว ถึงอย่างไรขอแค่เจ้าไม่ตีข้าให้ตาย ข้าก็จะวิ่งไปร้องทุกข์ที่สำนักศึกษาอวี๋ฝู ทวงคืนความเป็นธรรมให้ตัวเอง!
เฉินผิงอันเหมือน ‘ลาก’ เอาหูจวินท่านหนึ่งให้เดินเคียงบ่าไปด้วยกันในวังมังกรใต้ทะเลสาบที่คุ้นเคย จากนั้นไม่นานก็มาถึงบนผิวน้ำ เดินแหวกคลื่นน้ำมุ่งหน้าไปยังศาลสุ่ยเซียนที่ผุพังไม่เหลือดี
ส่วนธูปก้านนั้น
ในหลายๆ ครั้งความหวาดกลัวที่มาจากใจจริงก็นำพาความจริงใจมาให้เหมือนกัน
เฉินผิงอันยิ้มถามชวนคุย “ขุนนางผู้ช่วยในวังมังกรของหูจวินทุกวันนี้คงจะเปลี่ยนเป็นคนหน้าใหม่ไม่น้อยเลยสินะ?”
หูจวินขบคิดถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในประโยคนี้อย่างระมัดระวัง
อีกฝ่ายกำลังสาดเกลือลงบนบาดแผลหรือ?
คงไม่ถึงขั้นนั้น
ตนสามารถพูดคุยกับเซียนกระบี่เฉินได้หลายประโยคถือเป็นเกียรติอันสูงสุด
คนที่ผ่านทางมาผู้หนึ่งที่ยินดีแบกรับทัณฑ์สวรรค์แทนเมืองสุยเจี้ย คนผู้หนึ่งที่เปิดฉากเข่นฆ่าครั้งใหญ่ประหนึ่งเทพที่นั่งบัลลังก์สูงอยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋น ช่างเป็นตัวประหลาดที่…ทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ
เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน อินโหวจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีคนใหม่ ตอนมีชีวิตอยู่คือสตรีที่แข็งแกร่งกล้าหาญคนหนึ่ง หากเซียนกระบี่เฉินไม่เชื่อ ก็แค่เปลี่ยนเส้นทางไปดูภาพบรรยายขุนเขาสายน้ำของจ่าวซีในทุกวันนี้ก็จะรู้ได้แล้ว”
——