กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 928.7 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด)
หลี่เย่โหวส่ายหน้าอย่างจนใจ โบกมือบอกเป็นนัยว่าตนไม่ส่งแขกแล้ว
ถึงอย่างไรใครเป็นแขกใครเป็นเจ้าบ้านก็บอกได้ยาก
มารดามันเถอะ ผู้ฝึกกระบี่นี่ช่าง…ตรงไปตรงมานัก
ทางฝั่งของสำนักอวี่หลง วันนี้น่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้เป็นเจ้าสำนักอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ มาหาผู้คุมกฎอวิ๋นเชียน โยนป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้กับนาง
ลักษะเป็นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่เรียบง่ายที่สุด ไม่ถือว่าดีหรือไม่ดี ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นคำว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกด้านหนึ่งแกะสลักคำว่าใต้หล้าไพศาล
เพียงแต่ว่าด้านที่เป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นนอกจากสองตัวอักษรขนาดเล็กคำว่า ‘อิ่นกวาน’ แล้ว ยังมีตัวเลขที่เขียนแบบบรรจงตัวเท่าหัวแมลงวันอีกหนึ่งตัว
อวิ๋นเชียนถามอย่างสงสัย “นี่คือ?”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนยิ้มกว้าง “ข้าเพิ่งจะรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดแทนเจ้ามาคนหนึ่ง นี่คือของขวัญกราบอาจารย์ของเขา”
อวิ๋นเชียนรู้สึกโมโหเล็กน้อย มีใครทำเหมือนเด็กเล่นแบบนี้กันบ้าง ตนยังไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย กลับมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพิ่มมาคนหนึ่งแล้วอย่างนั้นหรือ?
น่าหลันไฉ่ฮ่วนยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ คุณสมบัติในการฝึกตนของเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่เลว อีกทั้ง…ยังไม่ใช่คนบ้าตัณหาน้อยแน่นอน!”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเอนกายพิงเก้าอี้ในห้องอวิ๋นเชียน ยกขาไขว่ห้างแล้วแกว่งไปแกว่งมา “หากว่าเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไหนเลยจะตกมาถึงเจ้าได้”
อวิ๋นเชียนยังพูดได้ง่าย นางกุมแผ่นหยกเอาไว้ในมือ ยกมือขึ้น ถามว่า “มีข้อพิถีพิถันอะไรหรือไม่?”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนชี้มาที่นาง “ฝึกตนฝึกตนรู้แต่ฝึกตน นิสัยเสียๆ ที่สองหูไม่ฟังเรื่องนอกบ้านของเจ้านี่นะ ช่วงนี้ไม่ได้อ่านรายงานฉบับใหม่ล่าสุดบ้างเลยหรือ?”
อวิ๋นเชียนเอ่ยอย่างเขินอาย “อ่านบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้บ่อยนัก”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนจึงยกเรื่องเก่ามาพูดให้ฟังอีกครั้ง บอกเล่าเรื่องวงในบางอย่างกับผู้คุมกฎบ้านตนคนนี้
ปีนั้นในการประชุมที่เรือนชุนฟาน พวกคนอย่างป๋ายซีของเรือข้ามฝาก ‘อ่างกระเบื้อง’ ไต้เฮาจาก ‘ไท่เกิง’ แห่งธวัลทวีป หลิ่วเซินเจ้าของเรือ ‘หนีซาง’ ของเกาะเซียนเจีย และยังมีฝูอวี่ของเรือ ‘หลิวจง’ หลิวเสียทวีป ฯลฯ เจ้าของเรือและผู้ดูแลห้าสิบสี่ท่านที่มาจากแปดทวีปของไพศาลเหล่านี้ แต่ละคนได้ของขวัญเล็กๆ ชิ้นหนึ่งไปจากอิ่นกวานหนุ่ม ถือว่าใครที่มาล้วนมีส่วนแบ่ง
นอกจากนี้ตัวเลขบนป้ายหยกของอู๋ฉิวเป็นเลขเก้า ถังเฟยเฉียนคือเลขสิบสอง หลิ่วเซินคือเก้าสิบหก
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้มีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นทำการรวบรวมสถิติมาไว้ ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่อาจรวบรวมแผ่นหยกได้ครบเก้าสิบเก้าแผ่น มีแค่แปดสิบกว่าแผ่นเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ถึงเก้าสิบ
นี่ก็เพราะจำนวนครั้งที่อิ่นกวานหนุ่มมาเข้าร่วมการประชุมมีไม่มาก บวกกับที่ถึงอย่างไรเรือข้ามทวีปที่ไปเยือนภูเขาห้อยหัวก็มีจำนวนจำกัด ต่อให้รวมทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเข้าไปด้วย รวมแล้วก็ยังมีแค่หนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบลำเท่านั้น ในบรรดานี้ยังมีเรือข้ามฟากอีกไม่น้อยที่หลายปีหรืออาจถึงขั้นหลายสิบปีถึงจะไปเยือนภูเขาห้อยหัวสักรอบหนึ่ง
ว่ากันว่าเป็นตัวอักษรที่อิ่นกวานหนุ่มแกะสลักเองกับมือ แผ่นหยกทุกแผ่นล้วนมีปราณกระบี่ของเซียนกระบี่สองถึงสามท่านซุกซ่อนอยู่ หากอิงตามคำพูดของหมี่อวี้ในเวลานั้นก็คือ ไม่ถือว่ามีค่า แต่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ไม่มีค่าจริงหรือ? หลอกผีน่ะสิ
ปีนั้นเจียงเกาไถก็เคยเป็นฝ่ายขอนำแผ่นหยกที่อยู่ในมือไปเปลี่ยนเป็นเลขเก้าสิบเก้ากับตัวเองมาก่อน
ตอนนี้มาลองนึกดูแล้วเจ้าของเรือเจียงผู้นี้ช่างมีสายตาสูงส่งมองการณ์ไกลจริงๆ! น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ
ส่วน ‘หนึ่ง’ และ ‘เก้าสิบเก้า’ นั้น แผ่นหยกที่ตัวเลขพิเศษที่สุดสองแผ่นนี้เคยปรากฏมาก่อนหรือไม่ หากปรากฎแล้วตกไปอยู่ในมือของใคร? จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคนรู้
แผ่นหยกจำนวนไม่น้อยต่างก็ถูกเจ้าของเรือนำไปมอบให้กับลูกศิษย์ปิดสำนักหรือไม่ก็มอบให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดในตระกูลบางคนที่มีหวังจะสร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูล ต่างก็บอกให้ฝ่ายหลังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เพราะแผ่นหยกแผ่นนี้ ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่ายังเป็น…ยันต์ช่วยชีวิต!
ส่วนของขวัญร่วมงานพิธีเปิดยอดเขาของเซียนดินโอสถทองบางส่วน ในฐานะงานเลี้ยงฉลองของศาลบรรพจารย์ในสำนัก ของขวัญชิ้นนี้ก็เคยเผยตัวบ้างเป็นบางครั้งเช่นกัน จากนั้นโลกภายนอกถึงได้เริ่มรู้จักมัน
การที่มีเรื่องประหลาดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา ก็เพราะว่าสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษินาตยทวีปได้อาศัยรายงานของสำนักศึกษาจากสกุลเฉินผู้รอบรู้ให้นำข่าวหนึ่งไปป่าวประกาศแก่ทั่วทั้งใต้หล้า
สำนักกระบี่หลงเซี่ยงทั้งยอมรับคน แล้วก็ยอมรับแผ่นป้าย แต่ไม่ยอมรับภูเขาอย่างเดียวเท่านั้น สำนักกระบี่หลงเซี่ยงจะพิจารณาไปตามสถานการณ์ จะช่วยจัดการปัญหานั้นให้ จะช่วยให้ข้ามผ่านด่านยากไปหรือไม่ หากทำสำเร็จก็จะเก็บป้ายหยกคืนมา แต่หากช่วยไม่ได้ วันหน้าก็ค่อยว่ากัน
พูดง่ายๆ ก็คือป้ายหยกที่ได้มาจากเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวเหล่านี้สามารถสืบทอดต่อกันไปเป็นรุ่นๆ ประหนึ่ง ‘บรรดาศักดิ์ขุนนาง’ แต่หากป้ายพวกนี้ไปตกอยู่ในมือของสำนักหรือตระกูลเซียนที่ถือป้ายหยกมาขอให้สำนักกระบี่หลงเซี่ยงช่วยเหลือ ขอโทษด้วย ทิ้งป้ายไว้ คนกลับไปซะ
หลังจากนั้นมาเซียนกระบี่ทั้งหลายที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนอย่างเช่นเซี่ยซงฮวา ซ่งพิ่นและผูเหอ ต่างก็พากันขานรับ ทั้งเหมือนช่วยผลักดันให้สำนักกระบี่หลงเซี่ยงโดดเด่นขึ้น แต่ก็เหมือนกำลัง…แย่งการค้าด้วย?
อวิ๋นเชียนรู้ความจริงพวกนี้แล้วก็พยักหน้า “มิน่าเล่าถึงได้มีค่าขนาดนี้ เป็นยันต์ช่วยชีวิตจริงๆ สำหรับผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลแล้ว ต่อให้เก็บป้ายหยกไว้ไม่ใช้ สืบทอดต่อกันไปเป็นรุ่นๆ ก็จะกลายเป็นบารมีสยบขวัญที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งต่อศัตรูคู่แค้น เพียงแต่ว่าป้ายหยกประเภทนี้ สำหรับเจ้าสำนักแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นเท่าไรกระมัง?”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกลอกตามองบน “เจ้าโง่หรือไร มีป้ายหยกแผ่นนี้ ในอนาคตหากว่าสำนักอวี่หลงมีเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นต้องหาตัวช่วย หรือไม่ก็เป็นเรื่องบางอย่างที่พวกเราไม่สะดวกจะเปิดเผย ก็สามารถไปหาลู่จือ หรือไม่ก็ซ่งพิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าผูเหอที่ใช้วิธีการป่าเถื่อนผู้นั้น ให้พวกเขาช่วยฟันคนแทนพวกเราได้อย่างไรล่ะ”
อวิ๋นเชียนพลันกระจ่างแจ้ง ก่อนจะถอนหายใจ ตนเป็นแค่ผู้คุมกฎที่เป็นเครื่องประดับเท่านั้นจริงๆ น่าหลันไฉ่ฮ่วนมาเป็นเจ้าสำนักก็ถูกต้องแล้ว
น่าหลันไฉ่ฮ่วนหันไปมองนอกหน้าต่าง ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือนแล้ว ทว่าอาณาเขตของสำนักอวี่หลงกลับมีหิมะใหญ่ตกลงมา
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เจ้าคนที่อายุน้อยๆ แต่กลับอยู่ในตำแหน่งสูงผู้นั้น ตอนที่อยู่ในห้องประชุมของเรือนชุนฟานก็นั่งเอามือข้างเดียวเท้าคาง เหม่อมองหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ตกอยู่นอกประตูอยู่อย่างนั้น
มารดามันเถอะ ตอนนี้น่าหลันไฉ่ฮ่วนมาย้อนนึกดูถึงเพิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายไร้มารยาทสิ้นดี
เรือข้ามทวีปลำแรกที่ไปเยือนภูเขาห้อยหัวในประวัติศาสตร์คือเรือ ‘เจิ่นสุ่ย’ ของทักษินาตยทวีป
ลำที่สองเป็นของสำนักแห่งหนึ่งของฝูเหยาทวีปที่ชื่อว่าภูเขาอวิ๋นตู้ เรือข้ามฟากมีชื่อว่า ‘ฝู่หย่าง’ และเรือข้ามฟากลำที่สามก็คือ ‘ถงส่าน’ ของใบถงทวีป ซึ่งกลายเป็นซากเรืออับปางไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีการเซ่นไหวอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่การเซ่นกระบี่ทั่วทั้งทวีปของอุตรกุรุทวีปก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุนี้
เพียงแต่ว่าเรื่องราวเก่าแก่ที่กาลเวลาผ่านมานานแสนนานแล้วประเภทนี้ หากไม่เป็นเพราะอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงไปเปิดอ่านตำราและเอกสารทุกเล่มในคฤหาสน์หลบหนาว จากนั้นก็หลุดปากพูดออกมาระหว่างการประชุมครั้งนั้น หาไม่แล้วน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็คงไม่รู้เรื่องนี้
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเดินอาดๆ ออกไปจากห้อง
อวิ๋นเชียนฝึกตนต่ออีกครั้ง จู่ๆ นางก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่ามีบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งเดินออกมาจากในม่านหมอก สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว เรือนกายสูงเพรียว สีหน้าอ่อนโยน
อวิ๋นเชียนรีบลุกขึ้นมาจากเบาะนั่ง เอ่ยด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “เจ้าเป็นใคร ถึงได้บังอาจบุกเข้ามาในสำนักอวี่หลงโดยพลการ!”
ไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มรรคกถาเลิศล้ำ มีหรือจะได้ครอบครองวิชาอภินิหารในระดับที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้? หรือว่าจะเป็นกากเดนเปลี่ยวร้างบางตนที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่?
เห็นเพียงว่าบุรุษที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ยกมือขึ้นเบาๆ ในมือกำแผ่นหยกที่แกะสลักตัวอักษรโบราณสองคำว่าอิ่นกวาน ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักอวิ๋นเชียน ข้าชื่อเฉินผิงอัน เคยเป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
อวิ๋นเชียนประหลาดใจถึงขีดสุด แต่นางก็ยังขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเอ่ย “ลำพังแค่ของชิ้นนี้จะสามารถยืนยันตัวตนได้อย่างไร สหายคิดว่าข้าหลอกได้ง่ายนักหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเคยมอบจดหมายลับฉบับหนึ่งวานให้เซียนกระบี่เส้าแห่งเรือนชุนฟานนำไปมอบให้เจ้า ภูเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนเผาไฟ”
เขาประกบสองนิ้ว กลางอากาศก็มีจดหมายลับฉบับหนึ่งโผล่ขึ้นมา ขนาดตัวอักษร การจัดแถว ลายมือในจุดที่เล็กละเอียด ตราประทับส่วนตัว ล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
อวิ๋นเชียนพรูลมหายใจยาวเหยียด ถึงกับเป็นผู้มีพระคุณของสำนักอวี่หลงที่ไม่เคยพบหน้าผู้นั้น เขาถึงกับมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง!
อวิ๋นเชียนรีบประสานมือคารวะ หากไม่เป็นเพราะคนตรงหน้าวางแผนให้ ถ้าอย่างนั้นควันธูปของสำนักอวี่หลงทั้งหมด เกรงว่าคงขาดสะบั้นไปอย่างสิ้นเชิงนับแต่นั้นแล้ว
อวิ๋นเชียนถามหยั่งเชิง “เหตุใดอิ่นกวานถึงปรากฏตัวด้วยวิธีการเช่นนี้?”
เฉินผิงอันเอ่ยขออภัย “พูดไปแล้วก็ยาว วันหน้าข้าจะไปเยือนสำนักอวี่หลง ไปขออภัยเจ้าสำนักอวิ๋นด้วยตัวเอง”
สำนักอวี่หลงคือสถานที่ที่รวบรวมโชคชะตาน้ำเอาไว้ ประหนึ่งที่ตั้งของตาน้ำพุ ถึงขั้นที่ว่าค่อนข้างคล้ายคลึงกับการแบ่งเขตแยกไปปกครองตัวเอง เหมือนกับหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรทักษิณก็ยังมิอาจควบคุมการไหลเวียนของโชคชะตาน้ำของที่แห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ตามการบันทึกของคฤหาสน์หลบร้อน สำหรับประวัติความเป็นมาของสำนักอวี่หลงนั้นก็มีการคาดเดาอยู่สองอย่าง หากไม่เป็นสถานที่ที่เทพพิรุณมาพักแรมในโลกมนุษย์ ก็ต้องเป็นสถานที่ที่ตายดับในศึกเดินขึ้นฟ้า
อวิ๋นเชียนหน้าแดงเล็กน้อย “มิกล้าปิดบังอิ่นกวาน ทุกวันนี้ข้าเป็นแค่ผู้คุมกฎของสำนักอวี่หลงเท่านั้น เจ้าสำนักคือน่าหลันไฉ่ฮ่วน”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “หลังจบเรื่องรบกวนสหายอวิ๋นเชียนช่วยนำความไปบอกกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนสักคำ คราวหน้าข้าจะมาแสดงความยินดีกับนางถึงสำนักด้วยตัวเอง”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนคือคนที่หากไร้ผลประโยชน์ก็ไม่มีทางตื่นเช้า แต่นางมารับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักอวี่หลง สำหรับทั้งสำนักอวี่หลงและสำหรับตัวนางเองแล้วล้วนถือเป็นเรื่องดี
ทุกวันนี้ชื่อเสียงของสำนักอวี่หลงในใต้หล้าไพศาลธรรมดามาก ดังนั้นแรงสนับสนุนที่ศาลบุ๋นมีต่อสำนักอวี่หลงหลังสงครามจึงมีจำกัดอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะที่ตั้งของสำนักอวี่หลงสำคัญเกินไป ได้ครอบครองชัยภูมิที่ดี คาดว่าคงต้องถึงคราวได้เดินลงเนินช้าๆ อย่างมิอาจหลบเลี่ยงแล้ว หากไม่มีเจ้าสำนักที่ฝีมือแข็งแกร่ง นานวันควันธูปก็มีแต่จะยิ่งบางเบา แน่นอนว่าเชิญเทพมาง่ายส่งเทพกลับไปยาก ด้วยนิสัยของน่าหลันไฉ่ฮ่วนแล้ว คาดว่าหากนางไม่ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งของเจ้าสำนักนี้ไปจนฟ้าถล่มดินทลาย ก็คงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน
หากผู้ฝึกกระบี่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน จะไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ นอกจากจะฝึกกระบี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หนึ่งคือหลอมคมกระบี่ อีกหนึ่งคือหาวิชาอภินิหารบางอย่างให้กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมากกว่าเดิม เว้นจากนี้แล้วเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนบนยอดเขาทั่วไป ผู้ฝึกกระบี่ก็มักจะไม่สนใจเรื่องของการบุกเบิกจวน รวมไปถึงเรื่องของการหาวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากนัก ดังนั้นผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาทั่วไปเมื่อเลื่อนเป็นเซียนเหริน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตบินทะยาน ในเรื่องของการบุกเบิกจวนและการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ส่วนใหญ่มักจะอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ทำแล้ว แต่ผู้ฝึกกระบี่กลับไม่เหมือนกัน สามารถหาเวลามาตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ ค้นหาข้อดีชดเชยข้อเสีย ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง
แต่น่าหลันไฉ่ฮ่วนคิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินกลับไม่ง่ายเลย
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ลู่จือ
อวิ๋นเชียนจงใจเมินข้ามคำว่า ‘เคย’ นั้นไป ได้ยินคำอธิบายจากอิ่นกวานหนุ่มก็ตอบตกลงทันที
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสอวิ๋นเชียนไม่ต้องรีบร้อนตอบตกลงเรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษากับน่าหลันไฉ่ฮ่วนก่อน เพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวพันกับโชคชะตาน้ำของสำนัก เรื่องนี้สำคัญอย่างมาก”
อวิ๋นเชียนส่ายหน้า “ไม่ต้อง จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้คุมกฎของสำนักอวี่หลง เรื่องแบบนี้ ตัวข้าสามารถตัดสินใจได้เอง”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วขอตัวลาจากไป
อวิ๋นเชียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพียงแค่ยกมือขึ้นแล้วก็วางลง อีกฝ่ายได้เดินทางจากไปไกลแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้อิ่นกวานหนุ่มอยู่ต่อนานกว่านี้ก็ดูเหมือนตนก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ไม่รู้ว่าเหตุใด นางหลุบตาลงต่ำ แก้มแดงเรื่อขึ้นน้อยๆ
……
ทะเลทรายกว้างไกลหมื่นลี้ ภูเขาโล้นโล่งไม่เหลือหญ้าสักต้น กลายเป็นสีชาด
ตรงตีนเขาแห่งหนึ่งที่มีกระแสน้ำไหลรินผ่านอย่างที่หาได้ยาก เมื่อหลายปีก่อนที่นี่กลับมีร้านเหล้าเล็กๆ มาเปิด แขวนธงไว้สูง เพียงแต่ว่าธงผืนนั้นเต็มไปด้วยรอยยับย่น อ่อนนุ่มไร้เรี่ยวแรง ในร้านมีถังเหล้าใบใหญ่ ขายเหล้าตวงเป็นหนึ่งเจี่ยวหรือไม่ก็หนึ่งถ้วย เถ้าแก่เนี้ยคือสตรีวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ปักปิ่นไม้สวมกระโปรงผ้า คนที่แวะมาอุดหนุนที่ร้านเหล้าบ่อยๆ ก็มีคนหน้าเก่าๆ อยู่แค่ไม่กี่คน นายท่านเทพภูเขา แม่ย่าลำคลองที่รูปลักษณ์เป็นเด็กสาว คนอื่นๆ ที่เหลือไม่ค่อยได้มา ก็คือพวกภูตที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย มีคนไม่น้อยที่หลอมเรือนกายเกือบสำเร็จ พอจะถือว่าเป็นลูกค้าประจำได้อย่างถูไถ ถึงอย่างไรอยู่ในสถานที่ที่แม้แต่นกก็ไม่มาขี้แห่งหนึ่ง เรื่องของการฝึกตนก็ฝึกได้อย่างมั่นคงมาก หากอิงตามคำกล่าวของนายท่านเทพภูเขาท่านนั้น สามารถแวะมาเยือนที่แห่งนี้ของพวกเราได้ ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดอย่างไรก็ล้วนเป็นพวกที่มีจิตแห่งมรรคามั่นคง มีความหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ต้องทะนุถนอม ต้องปกป้องให้ดี พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าสตรีขายเหล้าคือหญิงชู้ของนายท่านเทพภูเขา อย่างมากก็แค่พูดจาสัปดนสองสามคำ มิกล้ามือไม้ไม่อยู่สุขเด็ดขาด
นายท่านเทพภูเขาของพวกเราก็ช่างน่าสงสารนัก ต่างก็ได้ยินมาว่าเทพภูเขาของสถานที่แห่งอื่น ต่อให้เป็นเทพแห่งผืนดินก็ยังสามารถหาภรรยาที่รูปโฉมงดงามดุจบุปผาทั้งยังเพียบพร้อมเชี่ยวชาญงานบ้านงานเรือนให้ตัวเองได้ไม่ใช่หรือ?
ต่อให้ไม่ได้งามล่มบ้านล่มเมือง จะดีจะชั่วก็มองดูแล้วอายุน้อยกระมัง
สตรีขายเหล้าชอบอ่านตำรา ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับนายท่านเทพภูเขาที่ชอบร่ายบทกวี พูดได้น้ำไหลไฟดับ
ส่วนเทพภูเขาของที่แห่งนี้ที่น่าสงสาร ทุกวันเช้าเย็นจะต้องออกลาดตระเวนปากปล่องภูเขาไฟสองครั้งอย่างฟ้าผ่าก็ไม่มีสะเทือน อันที่จริงไม่ใช่กฎที่ทางศาลบุ๋นกำหนดไว้ เพียงแต่ว่าท่านเทพภูเขาท่านนี้รู้สึกว่าเป็นภารกิจยิ่งใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้า ตนจำเป็นต้องแบกรับเอาไว้ ดังนั้นต่อให้ทุกครั้งจะไปเดินวนตรงปากปล่องภูเขาไฟอย่างรอบคอบระมัดระวัง แต่พอเสร็จแล้วก็มักจะไปดื่มเหล้าอึกเล็กๆ ที่ร้านเหล้าเพื่อระงับความตกใจอยู่เสมอ
กิจการของร้านเหล้าในทุกวันนี้ดีขึ้นหลายส่วนแล้ว ต่อให้จะยากจนแค่ไหนก็ยังเป็นผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัว
ทว่าเหล้าของที่นี่ไม่ต้องใช้เงินเทพเซียน จ่ายเงินแค่ไม่กี่ตำลึงก็ได้แล้ว ทว่าโต๊ะเหล้าสามโต๊ะก็ยังไม่เคยมีคนนั่งจนเต็มมาก่อน
คราบน้ำมันบนโต๊ะก็ไม่เคยเช็ดถู การที่มีการค้าได้ก็เพราะอาศัยสุราจริงๆ
แม้แต่เทพภูเขาที่มักจะแวะมานั่งอยู่ที่นี่เป็นประจำก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าหย่างจื่อคือผู้ฝึกตนที่เป็นทายาทเผ่าน้ำซึ่งฝึกตนประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ขอบเขตอยู่ที่ประมาณถ้ำสถิต
ส่วนถ้อยคำนินทาว่าร้ายที่สกปรกพวกนั้น นายท่านเทพภูเขาโมโหจนเต้นผาง ถุย!
นายท่านอย่างข้าดูเป็นคนไม่เลือกขนาดนั้นเลยหรือ?!
——