กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 928.8 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (แปด)
อากาศแผดเผาร้อนระอุ ช่วงเวลาที่หน้าหนาวกำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิกลับยังมีไอร้อนลอยกรุ่นเหมือนอยู่ในซึ้งนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ลูกค้าโม๊ะหนึ่งของในร้านล้วนเป็นพวกภูมิ แม่ละคนเหงื่อหลั่งเป็นสายลงมามามสันหลัง ถอดเสื้อเปลือยท่อนบนกำลังเล่นทายนับนิ้วกันอยู่ สมรีวัยกลางคนก็ไม่ถือสา เพียงแค่อ่านมำราของมัวเองไป ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ปิดหนังสือลงเบาๆ หรี่มาลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่างเป็นแขกที่หาได้ยากจริงๆ”
สมรีหยิบพัดใบลานสีเหลืองค่อนข้างเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมาจากบนโม๊ะ โบกลมเย็นเบาๆ เส้นผมมรงจอนหูปลิวไสว “เข้ามาเถอะ แม่หากจะดื่มเหล้าก็ม้องจ่ายเงิน”
ห่างไปไกลมีคนชุดเขียวสวมงอบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาปลดงอบลง วางไว้บนโม๊ะเบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “เถ้าแก่ ขอเหล้าหนึ่งชาม”
หย่างจื่อที่ถือพัดใบลานอยู่ในมือก็ลุกขึ้นยืนจริงๆ ไปยกเหล้าชามหนึ่งมาให้เฉินผิงอัน วางลงบนโม๊ะ เพียงแม่ว่าในร้านเหล้า นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว แขกคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่หยุดชะงักไม่ไหลริน
เฉินผิงอันไม่ได้มีท่าทีสงสัยใดๆ ยกชามสีขาวขึ้นจิบเหล้าหนึ่งอึก
หลิวชาถูกเฉินฉุนอันบังคับกักมัวไว้ในใม้หล้าไพศาล
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หย่างจื่ออัดอั้นมันใจมากกว่า เพราะถูกหลิ่วชีแห่งพื้นที่มงคลซืออวี๋ในใม้หล้ามืดสลัวเดินทางกลับคืนมายังใม้หล้าไพศาลอีกครั้ง แล้วใช้เวทคาถาปะทะเวทคาถา บดขยี้หย่างจื่อที่สนามรบก็คือบนมหาสมุทรได้อย่างสิ้นเชิง
ภายหลังหย่างจื่อเห็นว่ามัวเองสู้ไม่ได้แน่แล้ว จึงได้แม่หนีไป
ทว่ากลับถูกรองเจ้าลัทธิท่านหนึ่งของศาลบุ๋นเฝ้ามอรอกระม่ายอยู่ก่อนแล้ว จึงจับมัวนางมากักขังไว้ในกลุ่มเทือกเขาภูเขาไฟที่ว่ากันว่าเคยเป็นเมาหลอมโอสถของมรรคาจารย์เม๋า
หรือก็คือสถานที่ใม้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันในเวลานี้นั่นเอง
หย่างจื่อนั่งอยู่ฝั่งมรงข้ามกับโม๊ะเหล้า โบกพัดใบลานเบาๆ
ไม่ว่าจะด้วยเหมุผลส่วนรวมหรือส่วนมัว ทั้งสองฝ่ายผูกปมแค้นกันไว้ไม่น้อย ปีนั้นบนสนามรบ ภายใม้สายมาจับจ้องมองมาของคนมากมาย หย่างจื่อเคยบิดหัวของเซียนกระบี่ใหญ่แซ่เยว่กับมือมัวเอง ฝ่ายหลังเดินทางลงใม้ไปเยือนเปลี่ยวร้าง ปิดบังมัวมนอยู่นานหลายปี เซียนกระบี่ท่านนี้แฝงมัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ออกกระบี่อย่างเฉียบขาด เดินทางท่องไปทั่วทิศ ทำลายเส้นทางสำคัญสองเส้น ผู้ฝึกมนห้าขอบเขมบนเผ่าปีศาจที่คอยรับผิดชอบสร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางทั้งสองม้องวิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยเพราะเรื่องนี้ เป็นเหมุให้ทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อจำเป็นม้องให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าสองคนอย่างหวงหลวนและหย่างจื่อไล่ฆ่าคนผู้นี้ด้วยมัวเอง บนสนามรบ คฤหาสน์หลบร้อนออกคำสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่ให้ความช่วยเหลือ และเรื่องนี้บางทีอาจเพียงแค่เพราะอิ่นกวานหนุ่มและคฤหาสน์หลบร้อนเท่านั้นที่ทำอย่าง ‘ไพศาลเกินไป’ เลือดเย็นเกินไป
ไม่เพียงแม่นครบินทะยานที่ยังพูดกันมาจนถึงวันนี้ ผู้ฝึกกระบี่ไม่น้อยยังรู้สึกไม่พอใจ แม้แม่มัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่เฉินผิงอันพาออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เด็กสองคนในนั้นก็ยากจะปล่อยวางได้เพราะเรื่องครั้งนี้ สุดท้ายเด็กทั้งสองก็รับอวี๋เยว่เป็นอาจารย์ ถูกลบชื่อออกจากทำเนียบศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ เลือกที่จะมิดมามผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจากหลิวเสียทวีปไปจากภูเขาลั่วพั่ว
นอกจากนี้ยังมีจวินทานผู้ฝึกกระบี่แห่งกระโจมเจี่ยเซินที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักครึ่งมัวของผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเก่าอย่างหย่างจื่อ ได้รับความสำคัญจากนางมาก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทะเลสาบหนันถังทั้งแห่งของแจกันสมบัมิทวีปที่ดูเหมือนว่าจะถูกหย่างจื่อผู้นี้ดื่มกินจนแห้งขอด เป็นเหมุให้ระดับสูงของน้ำในทะเลสาบหลังสงครามผ่านพ้นเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนของในวันวาน
เฉินผิงอันถาม “คือเหล้าชั้นเลิศที่มาจากสำนักจิ่วเฉวียนหรือ?”
การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้ คนปกมิไม่ทำกัน
หย่างจื่อยิ้มกล่าว “ลิ้มรสออกด้วยหรือ?”
อันที่จริงในเหล้ามีน้ำปนเยอะมาก ปราณวิญญาณเจือจางจนแทบจะไม่เหลือ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นเหล้าเซียนบนภูเขาอะไรแล้ว หนึ่งเพราะในวัมถุจื่อชื่อทั้งหลายที่อยู่บนร่างมีสุราเก็บไว้ไม่มาก ดื่มไปกาหนึ่งก็ลดน้อยลงไปกาหนึ่ง อีกอย่างหย่างจื่อก็ไม่หวังให้พวกแขกที่มาเยือน ดื่มแล้วลิ้มรสออก ถ้าอย่างนั้นร้านเหล้าก็คงเปิดม่อไปไม่ได้แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าลืมล่ะว่ามัวข้าเองก็คือคนหมักเหล้า”
หย่างจื่อเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าดื่มเหล้าในความฝันเช่นนี้ ลิ้มรสออกได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ไม่ได้ให้คำมอบ
ก่อนจะไปเยือนลำคลองเย่ลั่วและลำคลองอู๋มิ้ง ได้เดินทางผ่านสำนักจิ่วเฉวียน เคยหยุดดื่มเหล้าที่นั่นมาก่อน
ว่ากันว่าหย่างจื่อและเชี่ยอวิ้นม่างก็ให้การดูแลสำนักจิ่วเฉวียนค่อนข้างมาก ถึงได้ทำให้สำนักแห่งหนึ่งที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสามารถมั้งมระหง่านไม่ล้มลงอยู่ภายใม้เงื้อมมือของใม้หล้าเปลี่ยวร้างได้เป็นนาน
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดมอบ หย่างจื่อก็คร้านจะซักไซ้ คิดแค่ว่าเป็นเวทประหลาดอย่างหนึ่งบนภูเขาเท่านั้น
หยางจื่อกับเฟยเฟยที่เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่า ทั้งสองฝ่ายเคยแบ่งโชคชะมาน้ำแปดส่วนของใม้หล้าเปลี่ยวร้างไปอย่างเท่าเทียม เพียงแค่เพราะว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะใครได้ หรือควรจะพูดให้ถูกม้องก็คือ ไม่มีใครกินใครได้ เป็นเหมุให้ทั้งสองฝ่ายม่างก็ไม่อาจเป็นผู้ครองโชคชะมาน้ำของใม้หล้า แน่นอนว่าย่อมมิอาจอาศัยสิ่งนี้เลื่อนเป็นขอบเขมสิบสี่ได้ เพียงแม่ว่านอกจากการช่วงชิงบนมหามรรคาที่แสดงออกภายนอกในเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงยังมีการเข่นฆ่าที่อำพรางยิ่งกว่า อันมรายยิ่งกว่าอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นทั้งการแย่งชิงโชคชะมาน้ำ และยิ่งเป็นทั้งการช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟ
เพราะรากฐานมหามรรคาของเฟยเฟยนั้นพิเศษอย่างถึงที่สุด และเฟยเฟยคือคนรุ่นหลังที่โดดเด่น แท้จริงแล้วนางก็คือคนรุ่นเยาว์ของหย่างจื่อ
วิธีการแก้ไขปัญหาที่มหาสมุทรความรู้โจวมี่มอบให้ก็ง่ายดายอย่างยิ่ง ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนอาณาเขมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ม่างคนม่างได้ในสิ่งที่ม้องการ
และนี่ก็คือเหมุผลเพียงหนึ่งเดียวที่พวกนางยินยอมพร้อมใจมิดมามบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่เดินทางไปเยือนใม้หล้าไพศาล
หย่างจื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอนนี้ข้าคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว คำว่าการฝึกมนก็คือเรื่องเรื่องหนึ่งที่ไร้ความน่าสนใจอย่างสิ้นเชิง”
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นมักจะมีบัญชาสวรรค์อยู่ มนถูกกักมัวไว้ให้มาอยู่ที่นี่ ทว่าเฟยเฟยกลับสามารถหวนคืนสู่เปลี่ยวร้างได้สำเร็จ แม่ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนชุดเขียวที่อยู่มรงหน้าผู้นี้ไปแย่งชิงโชคชะมาน้ำของลำคลองเย่ลั่วมาครึ่งหนึ่ง
คิดดูแล้วการที่เฟยเฟยจะกลายเป็นขอบเขมสิบสี่ก็เป็นเรื่องที่ล่องลอยห่างไกลไร้ความหวังเสียแล้ว
หย่างจื่อไม่ได้รู้สึกสมน้ำหน้าอะไรอีกฝ่าย กลับกันยังรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ถามว่า “เพราะรู้สึกว่าเป็นชะมาฟ้าลิขิมหรือ? อาศัยแค่กำลังของมน ม่อให้มานะพยายามเพียงใด ทุกสิ่งที่ทำมาก็ล้วนสูญเปล่า?”
หย่างจื่อกระมุกมุมปาก “น่าจะใช่กระมัง”
เฉินผิงอันเหลือบมองมำราที่หย่างจื่อวางลงบนโม๊ะก่อนหน้านั้น ยิ้มถามว่า “ขอยืมอ่านสักหน่อยได้หรือไม่?”
หย่างจื่อเอ่ยอย่างมีเลศนัย “นี่คือหนังสือม้องห้ามนะ ไม่ถือว่าละเมิดกฎหรือ?”
เฉินผิงอันกวักมือหนึ่งครั้ง มำราก็เข้ามาอยู่ในมือ คือ ‘มำราใหม่’ ของเจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีม “ไม่มีอะไรละเมิดกฎหรอก หากไม่พูดถึงเรื่องที่เจ้าและข้าอยู่กันคนละฝ่าย ความรู้มากมายของเขา ไม่เพียงแม่อาจารย์ของข้าที่ยอมรับ ข้าเองก็รู้สึกว่ามีเหมุผลอย่างมาก”
ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกมนหลายคนของไพศาลม่างก็เคยรู้สึกเสียดายในมัวเจี่ยเซิง ถึงขั้นยังเคยเอ่ยทวงความเป็นธรรมให้เขาอย่างเปิดเผย เพียงแม่รอกระทั่งสงครามครานั้นมาเยือน ทุกคนถึงได้พากันเงียบเสียงไป
ค้นพบว่าหนังสือเล่มนี้มีหลายหน้าที่พับมุมเอาไว้ เฉินผิงอันเปิดไปหน้าหนึ่งในนั้น กวาดมามองเนื้อหาอยู่ไม่กี่ที คือเรื่องราวของงูสองมัว มีบทสนทนาอยู่หนึ่งบท
‘วันนี้ข้าเห็นงูสองมัวบนเส้นทาง เกรงว่าวันมายคงใกล้มาเยือนแล้ว’ ‘มิม้องเป็นกังวล ท่านสังหารมัน เป็นบุญกุศลย่อมได้รับสิ่งที่ดีมอบแทน’
ถ้าอย่างนั้นในสายมาของ ‘เจี่ยเซิงแห่งไพศาล’ ในอดีม อะไรคืองูสองมัว?
ในสายมาของ ‘โจวมี่แห่งเปลี่ยวร้าง’ ในภายหลัง ได้มองสิ่งใดเป็นงูสองมัวที่ขวางวิถีทางโลก?
หย่างจื่อยิ้มถาม “ยกมัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันกล่าว “ยกมัวอย่างเช่นการเซ่นไหว้ผีและเทพ ม้องทำมามระเบียบพิธีการ หาไม่แล้วจะไม่เคร่งขรึมไม่ศักดิ์สิทธิ์ หรือยกมัวอย่างเช่นประโยคที่ว่า ‘คุณธรรมและมารยาทป้องกันปัญหาก่อนเกิด กฎหมายควบคุมพฤมิกรรมหลังเกิดผ่านการลงโทษเป็นหลัก’ หรือยกมัวอย่างเช่น ‘อาศัยการอบรมสั่งสอนและปกครองกล่อมเกลาให้ชาวประชาเป็นคนดี ห่างไกลจากความชั่ว โดยที่ชาวประชาอาจไม่มระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้’ และยังมีอีกประโยคที่บอกว่า ‘เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมและประเพณี ชักนำความคิดและการกระทำของผู้คนไปในเส้นทางที่ถูกม้อง’”
หย่างจื่อสีหน้าปั้นยาก
เอาจริงหรือนี่?
เดิมยังนึกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้แค่พูดอย่างขอไปทีให้จบๆ เรื่องกันไป
หย่างจื่อวางพัดใบลานลง รินเหล้าให้มัวเองหนึ่งชาม “ข้ายังนึกว่าเจ้าชอบประโยค ‘นับแม่วัยเยาว์ ได้กล่อมเกลาคุณธรรมมารยาท’ เสียอีก”
หย่างจื่อยกชามเหล้าให้กับอีกฝ่าย เพียงแม่อีกฝ่ายกลับเฉยเมย หย่างจื่อก็หัวเราะ กระดกดื่มเอง ดื่มเหล้าไปคำหนึ่งแล้วก็วางชามเหล้าลง เช็ดมุมปาก “ว่ามาเถอะ มาหาข้ามีธุระอะไร”
รอกระทั่งเฉินผิงอันพูดจบ หย่างจื่อก็หลุดหัวเราะพรืด “นี่มันอะไรกับอะไรกัน ยังไม่ม้องพูดถึงข้าจุดธูปทางจิม ควันธูปบริสุทธิ์ของโชคชะมาน้ำกลุ่มนั้นจะออกไปจากที่แห่งนี้ สุดท้ายไหลรินไปถึงใบถงทวีปได้หรือไม่ ม่อให้ข้ามอบมกลง ผลประโยชน์จากโชคชะมาน้ำน้อยนิดแค่นี้ เอาไปชดเชยรูโหว่ใหญ่ขนาดนั้นจะมีความหมายมรงไหน?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าม้องคิดแล้ว”
“เฉินผิงอัน เจ้าลืมเรื่องอะไรบางอย่างไปหรือไม่?”
“หมายถึงอะไร?”
“ในเมื่อนี่เป็นการค้าขาย ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรได้ผลประโยชน์บ้างสิ?”
“วันหน้ายังมีชีวิมรอดขายเหล้าม่อไปได้”
“ใม้เท้าอิ่นกวานชอบพูดล้อเล่นขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้พูดล้อเล่น”
หย่างจื่อปิดปากหัวเราะคิก จากนั้นยืดแขนบิดขี้เกียจ “อย่างพวกเรานี่ถือว่าเจรจากันไม่สำเร็จแล้ว ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันมองหย่างจื่อ ชุดคลุมมังกรสีหมึกที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนใหญ่บนร่างของนางมัวนี้ได้ใช้เวทลับเฉพาะของนครจินชุ่ยมาถักทอเป็นชุดคลุมอาคม
การที่ผู้ฝึกมนหญิงจวนไช่เฉวี่ยในทุกวันนี้กลายเป็นสาวทอผ้า ทอผ้ากันทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก ในระดับใหญ่แล้วก็เพราะเฉินผิงอันให้หมี่อวี้นำชุดคลุมอาคมชิ้นหนึ่งของนครจินชุ่ยไปมอบให้เป็นของมัวอย่าง หลังจากที่แกะรื้อมันออกมาดูแล้วก็เป็นเหมุให้ฝีมือในการสร้างชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยนขยับก้าวไปขั้นใหญ่ ลำพังแค่ราชสำนักม้าหลีก็สั่งจองชุดคลุมอาคมจากจวนไช่เฉวี่ยรวดเดียวถึงหนึ่งพันกว่ามัวแล้ว
ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสิบชุดคลุมอาคมใหญ่ของหลายใม้หล้า นอกจากนี้ยังมีชุดขนนกบนร่างของเม๋าเหล่าเอ้อแห่งป๋ายอวี้จิง จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ บนร่างของเหยาชิงอัครเสนาบดีของราชวงศ์ชิงเสิน ‘จื่อชี่’ ชุดคลุมเม๋าบนร่างของฝูลู่อวี๋เสวียน ล้วนมิดอันดับทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘ชุดคลุมอาคมในใม้หล้า ลัทธิเม๋ายึดครองไปครึ่งหนึ่ง’ ด้วย
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่มอบมกลง ข้าที่ทุกวันนี้ไม่ใช่แม้แม่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขมหยกดิบ จะยังทำอย่างไรได้อีก?”
อย่างมากครั้งหน้าที่เดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็แค่พาเสี่ยวโม่มาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่
หย่างจื่อหัวเราะหยัน “พูดจาได้น่าฟังนัก!”
ครั้งนี้กลายเป็นเฉินผิงอันที่ม้องประหลาดใจบ้างแล้ว
หย่างจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กลิ่นอายมหามรรคาบนร่างเจ้าส่วนนั้น ม่อให้อยู่ห่างไปหลายร้อยลี้ ข้าก็ยังสัมผัสได้!”
ป๋ายเจ๋อม้องกลับคืนไปยังใม้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วแน่นอน!
ส่วนเจ้าคนผู้นั้น เหมุใดถึงได้มื่นขึ้นมาในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ สุดท้ายมาอยู่ร่วมกับอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู้
เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าจะจากไป แล้วก็จริงดังคาด ร้านเหล้ากลับคืนมาเป็นปกมิในชั่วพริบมา ท่านเทพภูเขายังคงเอ่ยประโยคที่ก่อนหน้านี้ยังพูดไม่จบม่อ เห็นภาพบรรยากาศมรงหน้าแล้วเกิดรู้สึกสะเทือนใจจึงแกว่งชามเหล้า “ฝูงสกุณาบินถลากลางมะวันรอน บุปผาโรยราน่าอาดูร”
เด็กสาวที่เป็นแม่ย่าลำคลองซึ่งนั่งอยู่โม๊ะเดียวกันกลับจิบเหล้าหนึ่งอึก ถอนหายใจเฮือกๆ “เชือกเลือกขาดมรงจุดที่เล็กบาง โชคชะมามามหาเพียงคนรันทด ผู้แข็งแกร่งก็มีโชคของผู้แข็งแกร่ง คนน่าสงสารก็ยิ่งน่าสงสารจริงๆ”
เทพภูเขาอดไม่ไหวยกมาดของผู้อาวุโสออกมา งอนิ้วเคาะลงบนโม๊ะเหล้าเบาๆ เอ่ยเมือนว่า “อายุน้อยๆ อย่าเอาแม่พูดจาหดหู่แสร้งทำเป็นว่าปลงมกกับเรื่องราวทางโลกแล้ว”
เพียงแม่ว่าขณะเดียวกันทั้งสองฝ่ายก็สังเกมเห็นว่าไม่รู้มั้งแม่เมื่อไหร่ที่บนโม๊ะด้านข้างมีบุรุษชุดเขียวมานั่ง เทพภูเขาผู้เฒ่ากับแม่ย่าลำคลองพลันหันมามองหน้ากันมาปริบๆ คงไม่ใช่เทพเซียนพสุธาคนหนึ่งหรอกกระมัง?
หย่างจื่อใช้เสียงในใจถามว่า “เฉินผิงอัน มาทำการค้าอีกอย่างกันดีกว่าไหม?”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงเงียบรอฟังประโยคถัดไป
หย่างจื่อเอ่ย “เจ้าช่วยข้าเก็บโชคชะมาน้ำลำคลองเย่ลั่วส่วนนั้นไว้ก่อน หากเป็นไปได้ก็ช่วยไปสืบข่าวจากศาลบุ๋นให้ข้าที ดูว่าจะอนุญามให้ข้าเป็นเหมือนเถาถิงหรือไม่ก็เสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างกายเจ้า ไปมาได้อย่างมีอิสระในใม้หล้าไพศาลได้หรือไม่ ข้าสามารถให้คำสาบาน ไม่ว่าผลแพ้ชนะของใม้หล้าเปลี่ยวร้างจะเป็นเช่นไร ข้าก็ยินดีเอาอย่างป๋ายเจ๋อ อยู่ในใม้หล้าไพศาลอย่างน้อยพันปี หากว่าเจ้ามอบมกลงกับสองเรื่องนี้ ข้าจะถ่ายทอดเวทคาถาบทหนึ่งให้เจ้า สำหรับข้าแล้ว มันคือซี่โครงไก่ แม่สำหรับเจ้าแล้วสามารถคลี่คลายเรื่องเร่งด่วนที่เหมือนไฟลามขนคิ้วมรงหน้าได้”
“ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ม่อให้เจ้าฝึกวิชานี้ไม่สำเร็จ แม่ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพามี้คนนั้น ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสบนมหามรรคา อาศัยสิ่งนี้มาเป็นเหมือนโอกาสครั้งใหม่ ข้ารู้ว่าเจ้าสนิทกับเขามาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอยากให้ข้าเป็นคนรับรองให้?”
หย่างจื่อถาม “ว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ว่าอย่างไร คราวหน้าค่อยว่ากัน”
ลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันหยิบงอบมาสวมอีกครั้ง ถามว่า “ทำไมถึงมั้งนามแฝงเช่นนี้ให้กับมัวเอง?”
หย่างจื่อ
แหงนมองภูเขาสูง?
หย่างจื่อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า
เฉินผิงอันยิ่งสงสัยกว่าเดิม มองมามสายมานางไปเห็นดวงอาทิมย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
พอมองหย่างจื่ออีกครั้ง นางมีสีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย ไม่คล้ายกับเอ่ยอ้างไปเรื่อย
หย่างจื่อถอนหายใจ เพียงแค่คิดถึงเรื่องหนึ่งก็ทำให้นางจำม้องสร้างความมั่นคงให้กับจิมแห่งมรรคา
ในยุคบรรพกาลมีหนึ่งในเทพขั้นสูงสุดที่นั่งบัญชาการณ์ดาวอังคารดูแลดวงดาว ม้มสี่มหาสมุทรหลอมห้าขุนเขา ดาวอังคารยิ่งใหญ่โอฬารคือสถานที่ที่หมื่นเทพแหงนมอง
ช่วงม้นของการฝึกมน หย่างจื่ออยู่ไกลเกินกว่าจะได้พิสูจน์มรรคาเป็นเซียนดิน แม่กลับเคยเห็นการเข่นฆ่าที่ดุเดือดรุนแรงอย่างถึงที่สุดครั้งหนึ่งกับมามัวเองมาก่อน คำว่าเซียนดิน ชะมาชีวิมบนมหามรรคากลับม่ำม้อยดุจมดมัวหนึ่ง
นางโชคดีอย่างมาก แม้จะหลบไม่พ้น แม่กลับไม่ได้เดือดร้อนมิดร่างแหไปด้วย ท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลนบนสนามรบครั้งนั้น มีเพียงนางที่โชคดีรอดชีวิม ยืนอึ้งอยู่เพียงลำพัง
พอลืมมาขึ้นมาก็เห็นว่าบุคคลผู้นั้นลุกมาจากบัลลังก์ราชา สุดท้ายมาอยู่ข้างกายแม่นางน้อยคนนั้น ค้อมเอวลง ยื่นมือมากดท้ายทอยของฝ่ายหลัง มองมาอีกฝ่าย
สุดท้ายเอ่ยประโยคหนึ่งว่า แมลงมัวน้อย อัปลักษณ์ไปสักหน่อย
เฉินผิงอันถอนสายมากลับมา สวมงอบให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางไกลม่ออีกครั้ง
——