กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 929.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (หนึ่ง)
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 929.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (หนึ่ง)
หย่างจื่อพลันใช้เสียงในใจถามว่า “ขอให้ข้าพูดคุยกับสหายผู้นั้นสักสองสามประโยคได้หรือไม่”
เฉินผิงอันหยุดชะงัก จับประคองงอบ คล้ายกำลังปรึกษาอะไรกับใครอยู่
ครู่หนึ่งต่อมา ห่างไปไกลก็มีเสียงกระดิ่งผูกอูฐดังขึ้นระลอกหนึ่ง บนเส้นทางเก่าแก่ของทะเลทรายเหลือง เสียงกระดิ่งผูกอิฐดังก้องยาว มีคนสวมหมวกผ้าคลุม สวมชุดตัวยาวสีมรกตจูงอูฐสีขาวเดินตรงมาอย่างเนิบช้า
ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภาส่องแสงแผดเผาพื้นดิน เส้นแสงล้วนบิดเบี้ยว แขกร้านเหล้าที่กำลังเล่นทายหมัดต่างก็พากันย้ายเส้นสายตามามองแล้วหันไปกระซิบกระซาบกัน แขนข้างที่จูงอูฐนั้นเผยให้เห็นข้อมือสีขาวเหมือนรากบัวจึงเริ่มเดาถึงอายุของสตรีผู้นั้น ไม่รู้ว่าหน้าตาจะเป็นเช่นไร จะใช่ญาติของสตรีคนขายเหล้าหรือไม่ อายุเท่าไร ออกเรือนแล้วหรือยัง…
เพียงแต่ไม่นานก็ถูกภาพเหตุการณ์ประหลาดอีกอย่างบดบัง เพราะกลางอากาศห่างออกไปมีรถม้าคันหนึ่งห้อตะบึงผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ทะยานมายังร้านเหล้าแห่งนี้ด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ ขบวนตรวจตรานั้นยิ่งใหญ่มาก ทั้งขุนนางบุ๋นบู๊ เทพหญิงนางกำนัล ต้องมีคนร่วมๆ ยี่สิบคน จัดขบวนเหมือนการออกลาดตระเวนแปดจังหวัดอย่างที่กล่าวถึงในนิยายทั้งหลาย ในมือถือกระบี่อาญาสิทธิ์ ตีกลองเปิดทาง มีขุนนางชั้นผู้น้อยแบกป้ายสองป้ายเป็นคำว่า นิ่งสงบเคารพภูเขาสายน้ำ คนไม่เกี่ยวข้องหลีกไปให้ไกล ความต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือหนึ่งอยู่บนพื้น อีกหนึ่งอยู่บนฟ้า
เฉินผิงอันเดินไปถึงข้างกายชิงถงแล้วพยักหน้า จากนั้นเหลือบตามองจุดสูงก็เห็นว่าในรถม้าทาสีเขียวปักธงเหลืองมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าขาวราวกับหยก ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองอ่อนจางแปลกตาน่ามอง กำลังหลุบตาลงต่ำมองมายังร้านเหล้าแห่งนี้ เพียงแค่กวาดตามองคนที่ผ่านทางมาสองคนแล้วก็ไม่ใส่ใจอีก ใช้เวทมองลมปราณก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งเท่านั้น คู่รักบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้ กลายมาเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของเทพภูเขากงซินโจวก็มากพอเหลือแหล่ เพียงแต่ว่ามิอาจเข้าตาตนได้เลยจริงๆ
ภูตภูเขาที่นั่งดื่มเหล้าทายหมัดอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่พากันหยุดเสียงโห่ร้องเฮฮา รีบหยิบเสื้อขึ้นมาสวมด้วยท่าทางรีบร้อน เป็นการสวมเสื้อผ้าที่แทบจะเรียกได้ว่าลนลาน ถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นภาพน่าขันที่คนผอมสวมเสื้อตัวใหญ่ คนอ้วนสวมเสื้อตัวเล็กคับแน่น เพียงแต่ว่าเวลากระชั้นชิดจึงไม่มีเวลาให้พวกเขาเปลี่ยนกลับมาสวมใหม่ แต่ละคนพลันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด ใครบ้างไม่รู้ว่าฝู่จวินผู้นั้นพิถีพิถันในเรื่องมารยาทไร้สาระพวกนั้นที่สุดแล้ว หวังเพียงว่าอย่าได้ถูกเล่นงานเพราะเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแบบนี้เลย
นายท่านเทพภูเขากับเด็กสาวแม่ย่าลำคลองของในพื้นที่ต่างก็ลุกขึ้นจากโต๊ะสุรา มาที่นอกร้านเพื่อรอต้อนรับราชรถของผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือศีรษะแล้ว
ทั้งสองฝ่ายฝ่ายหนึ่งเดินเข้าฝ่ายหนึ่งเดินออก จึงเดินสวนไหล่กับบุรุษที่สวมชุดเขียวสวมงอบ และ ‘สตรี’ ที่สวมหมวกม่านคลุมหน้าไปพอดี
ชิงถงเดินไปถึงข้างโต๊ะเหล้า ไม่ได้ปลดหมวกคลุมหน้าออก เพียงแค่เลิกมุมหนึ่งขึ้นมองหย่างจื่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกังวาน “สหายหย่างจื่อ เรียกข้าว่าชิงถงก็พอ”
เวทอำพรางตาน้อยนิดแค่นั้นที่หย่างจื่อร่ายไว้ สำหรับชิงถงแล้วไม่ต่างจากภาพมายา และอยู่ในใบถงทวีป อันที่จริงชิงถงก็มักจะเห็นเงาร่างของหย่างจื่ออยู่เป็นประจำ หากจะบอกว่าไม่อิจฉาเลยก็เป็นไปไม่ได้ หย่างจื่อในเวลานั้นมีฐานะเป็นผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเก่า เป็นหนึ่งในสิบสี่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ ปกครองกระโจมทัพสองแห่งของเปลี่ยวร้าง ฐานะสูงเหนือเฟยเฟย เรียกได้ว่ากุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือ มีความหวังบนมหามรรคาอย่างแท้จริง
“เชิญนั่งตามสบาย”
หย่างจื่อใช้พัดใบลานในมือชี้ไปยังม้านั่งตัวยาวที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นนักโทษก็คงไม่มีวิถีแห่งการรับรองแขกอะไรให้พิถีพิถันอีกแล้ว”
เมื่อเฉินผิงอันนั่งลงอีกครั้ง หย่างจื่อถึงได้ถามว่า “คนบางคนลืมจ่ายเงินค่าเหล้าหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ยังไม่ได้ไปไม่ใช่หรือ พอดีกับที่คิดบัญชีเก่าใหม่รวมกันได้เลย”
หย่างจื่อทำเป็นว่าฟังความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ไม่ออก หันหน้าไปมองชิงถง โบกพัดใบลานเบาๆ “ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็พูดกันว่าทำการค้ากับใต้เท้าอิ่นกวานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน ลงเดิมพันมากก็ชนะมาก สหายชิงถงสายตาดีจริงๆ”
ชิงถงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที พูดอย่างเปิดเผยว่า “ก็แค่การกระทำด้วยความจนใจเท่านั้น ตอนแรกก็ถามหมัดกับใต้เท้าอิ่นกวานก่อน จากนั้นก็รับการถามกระบี่จากเสี่ยวโม่ หากยังไม่รู้กาลเทศะอีก ใต้เท้าอิ่นกวานก็จะยกกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งมาไว้ที่ใบถงทวีป ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก”
หย่างจื่อยิ้มถาม “ถามกระบี่? เสี่ยวโม่?”
พอชิงถงนึกถึงเจ้าหมอนั่นที่ฟื้นคืนสู่พลังสูงสุดที่หอสยบปีศาจ ใบหน้าก็เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยิ่งจนใจมากกว่าเดิม “ก่อนหน้านี้เจ้าก็เดาตัวตนเขาออกแล้ว ตอนนี้เขาติดตามอยู่ข้างกายใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่รู้ว่าทำไมถึงเรียกตัวเองว่านักรบพลีชีพด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งยังเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ในศาลบุ๋นใช้นามแฝงว่าโม่เซิง ฉายา ‘สี่จู๋’ เวลาปกติชอบเรียกตัวเองว่าเสี่ยวโม่”
หย่างจื่อหยุดโบกพัด ถามอย่างใคร่รู้ “เมื่อเทียบกับเมื่อหมื่นปีก่อน เวทกระบี่ของเจ้าหมอนี่พัฒนาไปได้กี่ส่วนแล้ว?”
ชิงถงยิ้มขื่น “ตอนนั้นเวทกระบี่ของเขาเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่ได้รู้ด้วยสักหน่อย”
หย่างจื่อพยักหน้า โลกมนุษย์ในเวลานั้น คนที่รู้ว่าเวทกระบี่ของเสี่ยวโม่สูงหรือต่ำดีที่สุด นอกจากผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาที่มีเพียงหยิบมือแล้ว ก็คงจะเป็นนางหย่างจื่อนี่แหละที่มีคุณสมบัติจะพูดได้
หากพวกปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่หลับสนิทนานหมื่นปีกลุ่มของเสี่ยวโม่ตื่นขึ้นมาเร็วกว่านี้แค่ไม่กี่ปี จากนั้นก็เข้าสู่ตำหนักอิงหลิงกลายเป็นราชาบนบัลลังก์ สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับราชาบนบัลลังก์เก่าขอบเขตสิบสี่อย่างตนล่ะ?
ถ้าอย่างนั้นการต่อสู้ก่อนหน้านี้ กระโจมทัพเปลี่ยวร้างก็แค่ต้องผลักดันรุดหน้าไปตลอดทางเท่านั้น ไม่กล้าพูดว่าสุดท้ายแล้วต้องยึดครองทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่รากฐานลึกล้ำมาได้ แต่อันดับแรก ทักษินาตยทวีปต้องถูกตีแตกได้ในไม่นาน บางทีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ก็อาจจะตายไปพร้อมชื่อเสียงที่ดีกว่านี้? จากนั้นธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือของเกราะทองทวีปก็มีแต่จะถูกยึดครองมาตามโอกาสอำนวย พวกหญ้ายอดกำแพงที่ล้มเอนไปตามแรงลมของธวัลทวีป โดยเฉพาะแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าทุกวันนี้ใครจะเป็นประมุขของใต้หล้าไพศาล หย่างจื่อก็มั่นใจในเรื่องหนึ่งว่า รอให้สงครามสิ้นสุดลง ภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมีแต่จะแตกสลายยับเยิน เป็นเหตุให้โลกมนุษย์ไม่มีแจกันสมบัติทวีปอยู่อีก ต่อให้ซูจื่อหลิ่วชีหวนกลับคืนมายังไพศาลก็ยังไร้ประโยชน์ ไม่แน่ว่านอกจากป๋ายเหย่แล้ว ฝูลู่อวี๋เสวียนก็ยังต้องตายดับอยู่ในฝูเหยาทวีปไปด้วย…
ตัวนางเองก็ไม่คงถึงขั้นถูกขัดขวางบนเส้นทางหลบหนี ถูกจับขังไว้ที่นี่ ได้แต่ขายเหล้าอ่านตำราฆ่าเวลาในแต่ละวันให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น
ชิงถงกวาดตามองรอบด้าน เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าทางศาลบุ๋นจะไม่ได้สร้างตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำไว้ที่นี่นะ?”
หย่างจื่ออืมรับหนึ่งที “มีสัญญาวิญญูชนร่วมกับจอมปราชญ์น้อยไปครั้งหนึ่ง ในพื้นที่รัศมีพันลี้รอบด้าน ข้าสามารถไปมาได้อย่างอิสระ ขอแค่ไม่สังหารคนพร่ำเพื่อก็ไม่มีข้อห้ามใดๆ อีกทั้งข้าเองก็ไม่ต้องทำอะไรเพื่อศาลบุ๋น นักโทษที่เป็นอย่างข้า บางทีอาจมีให้เห็นได้ไม่มากนัก”
ชิงถงเอ่ยชมจากใจจริง “จอมปราชญ์น้อยยังคงใจกว้างอยู่เหมือนเดิม”
ยามที่ทั้งสองคนพูดถึงหลี่เซิ่งก็ยังคงเคยชินที่จะเรียกว่าจอมปราชญ์น้อย
หย่างจื่อหัวเราะ ก่อนเอ่ยว่า “นายท่านป๋ายเจ๋อของพวกเราท่านนั้น ต่อให้จะมีดีนับพันนับหมื่นข้อ แต่เมื่อเทียบกับจอมปราชญ์น้อยแล้ว ข้าก็ยังรู้สึกว่าขาดความหมายอะไรบางอย่างไปอยู่ดี”
ชิงถงถามหยั่งเชิง “เพราะนายท่านป๋ายเจ๋อไม่อำมหิตมากพอหรือ?”
หย่างจื่อคิดก่อนตอบ “ค่อนข้างบอกได้ยาก”
ฟังเหมือนหญิงชาวบ้านสองคนที่มาระบายทุกข์ให้กันฟัง ต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในชีวิตประจำวัน
ความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันยังอยู่ที่ราชรถคันนั้นมากกว่า เรื่องที่ได้ยินเข้าหูก็คิดแค่ว่าฟังเรื่องสนุก ถึงอย่างไรก็ไม่รู้สึกแปลกใหม่ เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่คุยค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อย่างนั้นจะต่างอะไรไปจากคำพูดนินทาว่าร้ายของสตรีที่ได้ยินตามถนนหรือไม่ก็ข้างบ่อโซ่เหล็กของบ้านเกิดในอดีตเล่า
หย่างจื่อมองอิ่นกวานหนุ่มที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยสัพยอกกับชิงถงว่า “อย่างเจ้านี่ถือว่ามีชะตาขัดกับผู้ฝึกกระบี่หรือไม่?”
ชิงถงทอดถอนใจ “ก็นั่นน่ะสิ ก็ได้แต่ต้องทนเอาเท่านั้น”
หย่างจื่อพูดกลั้วหัวเราะ “เทียบกับบนไม่พอ เทียบกับล่างมากเหลือแหล่ ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าข้า”
หากว่าไม่ขอให้เฉินผิงอันเรียกชิงถงมา พูดคุยเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรพวกนี้ อันที่จริงก็ยังถือว่าดี จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งประหนึ่งน้ำตายที่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อย แต่พอได้คุยกันแล้ว หย่างจื่อก็อดจะทดท้อใจไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งอัดอั้น
ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีสายลับ มีนักรบพลีชีพจำนวนไม่น้อยของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแฝงตัวอยู่ เป็นเหตุให้ทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อได้รู้เรื่องวงในไม่น้อย แล้วก็เพราะเกี่ยวข้องกับหนิงเหยา พวกเขาจึงให้ความสนใจกับคนต่างถิ่นอายุน้อยที่เดิมทีไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งมากขึ้น นึกถึงในปีนั้น แม้แต่เลี่ยจี่ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขายังแอบสวามิภักดิ์ต่อเปลี่ยวร้างอย่างลับๆ บอกตามตรงว่าหากปีนั้นเลี่ยจี่ไม่ได้ทำพลาดบนหัวกำแพงเมือง แต่สามารถสังหารเฉินผิงอันที่เพิ่งเป็นอิ่นกวานได้ไม่นานได้สำเร็จ คาดว่าคงไม่มีเรื่องราวมากมายที่ตามมาภายหลังอีกแล้ว
ไม่แน่ว่าสถานการณ์ใหญ่ของสองใต้หล้าก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่มิอาจประมาณการณ์ได้
น่าเสียดายที่ ‘ดอกไม้ไฟ’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเลี่ยจี่ถูกหมี่อวี้ออกกระบี่ขัดขวางไปก่อน ทั้งยังถูกเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมสองชิ้นใช้ยันต์กักกระบี่แผ่นหนึ่งกัก ‘ดอกไม้ไฟ’ ไว้ครู่หนึ่ง สุดท้ายเลี่ยจีระเบิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทิ้งอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ยังได้แค่ทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัส ช่วยไม่ได้ หลายๆ เรื่องราว พลาดไปเพียงนิดก็คือพลาดไปมหาศาล
แต่หมี่อวี้ที่ตั้งแต่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็เริ่มกินดื่มอยู่เฉยรอความตายก็ใช้ได้เลยจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ตอนเป็นเซียนดินได้ฉายาว่าหมี่ผ่าเอว ตอนนั้นเขาออกกระบี่บนหัวกำแพงอย่างไม่ลังเล อาศัย ‘เสียหม่านเทียน’ แค่เล่มเดียวก็ช่วยถ่วงเวลาอันมีค่าให้กับอิ่นกวานคนใหม่ได้ พอชักกระบี่ออกจากฝักอีกครั้งก็ฟันเลี่ยจี่ที่ถือว่าเป็นสหายรักตั้งไหล่ปาดยาวลงมา เป็นเหตุให้ร่างของเลี่ยจี่ขาดออกเป็นสองท่อน
ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าไพศาล ต่อให้ขอบเขตจะสูงกว่าหมี่อวี้ แต่ก็ต้องช้ากว่าเล็กน้อย ไม่มีทางออกกระบี่ฆ่าคนโดยไม่จำเป็นต้องใช้หัวสมองได้อย่าง…หมี่อวี้แน่นอน
เพราะเหตุเปลี่ยนแปลงบนหัวกำแพงเมืองครั้งนั้น ตอนนั้นหย่างจื่อที่อยู่ในกระโจมเจี่ยจื่อได้มองขั้นตอนนั้นพร้อมกับบรรพบุรุษใหญ่และมหาสมุทรความรู้โจวมี่
ตอนนั้นโจวมี่ยังยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า น่าเสียดายที่หมี่อวี้หาเรื่องใส่ตัวมานานหลายปี ไม่อย่างนั้นหากคนผู้นี้ฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ จากนั้นโชคดีเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน เกรงว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงต้องมีต่งซานเกิงปรากฎขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว
บรรพบุรุษภูเขาทัวเยว่ยังเคยถามประโยคหนึ่งว่า สามารถดึงหมี่อวี้มาเป็นพวกได้หรือไม่ ตอนนั้นคนที่ตอบคำถามข้อนี้คือเซียนกระบี่โซ่วเฉิน บอกว่าหากไม่มีหมี่ฮู้ผู้เป็นพี่ชาย จึงจะมีโอกาสให้หมี่อวี้หันมาเข้าร่วมกับเปลี่ยวร้างได้
หย่างจื่อเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของเฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่งทันที นางตะลึงพรึงเพริด ตวาดกร้าวเสียงเฉียบ “เจ้าแอบฟังเสียงหัวใจรึ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อย่าลืมล่ะว่าเวลานี้เจ้าอยู่ที่ไหน คิดว่าเป็นถิ่นของตัวเองจริงๆ หรือไร? การขยับของเส้นเอ็นหัวใจของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า ต่อให้ข้ายกสองมือปิดหูก็ยังได้ยิน เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า?”
หย่างจื่อถลึงตาใส่ชิงถง ใบหน้าของชิงถงเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “พี่หญิงหย่างจื่อ พวกเราสองคนสนิทกันก็ส่วนสนิทกัน แต่อย่าลืมล่ะว่าข้าเป็นพวกเดียวกันกับอิ่นกวานต่างหาก”
เฉินผิงอันข่มกลั้นความพิพักพิพ่วนในใจ โชคดีที่ไม่ได้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ตอนนั้นที่ออกท่องใบถงทวีปพร้อมกับลู่ไถ ตนก็เคยขนลุกขนชันอยู่หลายครั้ง ชินไปแล้วก็ดีเอง
หย่างจื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหล้าแบ่งขาย ไปตักเอาเอง”
เฉินผิงอันจึงลุกเดินไปที่ถังเหล้าซึ่งมีฝาไม้ปิดเอาไว้ เปิดฝาไม้ออก ริมขอบของถังเหล้าห้อยกระบวยไม้ไผ่สำหรับตักเหล้าไว้อันหนึ่ง เขาตักเหล้าสองชามมาให้ตัวเองกับชิงถง พอกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วก็ยิ้มถามว่า “มีความเป็นมาอย่างไร? เหตุใดถึงจัดขบวนเหมือนซานจวินห้ามหาบรรพต แต่กลับแขวนป้ายของจวนเทพภูเขา”
หย่างจื่อกล่าว “ชื่อเหมยเฮ้อ เคยเป็นซานจวินของแคว้นเล็ก แต่เกิดเหตุพลิกผัน แซ่ประจำแคว้นถูกเปลี่ยน ระหว่างนั้นเขาเดิมพันผิดฝ่าย ถูกฮ่องเต้พระองค์ใหม่อาฆาตจึงหาวิธีมาถอดยศซานจวินของเขา ลดระดับเป็นแค่เทพภูเขาในพื้นที่หนึ่ง ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็ไม่มีใครมาควบคุมพิธีการยิบย่อยพวกนี้ ทุกวันนี้เหมยเฮ้อก็ถือว่าดูแลขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของที่นี่ แต่ตบะยังตื้นเขิน เป็นแค่โอสถทองเล็กๆ คนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่ได้บอกกล่าวเหมยเฮ้อ เขาจึงไม่รู้ว่าข้าถูกจับตัวมาขังอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่รู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ เพียงแค่เห็นเทือกเขาภูเขาไฟแถบนี้เป็นอาณาเขตซี่โครงไก่ที่ปราณวิญญาณบางเบา เห็นข้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ชอบมาเที่ยวเล่นอยู่ในโลกมนุษย์ บางทีอาจเป็นเพราะฝึกคาถาธาตุไฟจึงมาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ สร้างโอสถทองเม็ดหนึ่งได้สำเร็จ คงคิดว่าอยากจะมาเก็บข้าผ่านทางและค่าคุ้มครองจากข้ากระมัง หลายปีมานี้จึงมาบอกกับข้าอย่างเป็นนัยอยู่สองครั้ง ข้าแค่แสร้งทำเป็นว่าฟังไม่เข้าใจ คาดว่าครั้งนี้ก็คงจะมาแจ้งข้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
หย่างจื่อก็คร้านจะมองเหมยเฮ้อผู้นั้นให้เปลืองสายตา “ตามคำพูดคุยส่วนตัวของพวกลูกค้า ไอ้หมอนี่ตอนยังมีชีวิตอยู่คล้ายจะเคยเป็นขุนนาง ทั้งยังเป็นขุนนางตำแหน่งไม่เล็ก เป็นขุนนางใหญ่เจ้ากรมมหาบัณฑิตอะไรนั่น บวกกับยศที่ได้รับการแต่งตั้งย้อนหลัง มีสถานะมากมายติดตัว จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พูดจาสุภาพไพเราะ ข้าคุยกับเขาแล้วเหนื่อยมาก”
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก พยักหน้าเอ่ย “บัณฑิตครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่งล้วนไม่ยินดีพูดคุยดีๆ”
หย่างจื่อมีสีหน้าประหลาด ชอบด่าตัวเองขนาดนี้เลยหรือ?
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ราชรถลาดตระเวนซึ่งทะยานเมฆขี่หมอกคันนั้นขยับเข้าใกล้ศาลเทพภูเขาและศาลแม่ย่าลำคลองซึ่งอยู่ใกล้กับร้านเหล้าแห่งนี้ก็ได้จงใจชะลอความเร็ว คล้ายเจตนาจะให้ผีขี้เหล้าที่มาเล่นสนุกอยู่ที่นี่ตั้งขบวนรอต้อนรับตนให้ดีเสียแต่เนิ่นๆ
เทพภูเขาผู้เฒ่ามีชื่อว่ากงซินโจว ตามทำเนียบหยกทองที่ศาลบุ๋นป่าวประกาศ ตอนนี้ระดับขุนนางคือขั้นเจ็ดชั้นโท
ส่วนแม่ย่าลำคลองที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวมีชื่อว่ากานโจว นางดูแลลำคลองที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้า ลำคลองนั้นมีชื่อว่าเฉาชิว นางเองก็เหมือนพ่อปู่ลำคลองและเทพแห่งผืนดิน บนทำเนียบขุนเขาสายน้ำล้วนเป็นขุนนางผู้น้อยระดับล่างสุด ถึงขั้นยังเทียบกับเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอไม่ได้ด้วยซ้ำ
——