กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 930.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบ)
พื้นที่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีป เรือนขนาดยักษ์ที่ทำมาจากหยกโอฬารหรูหราแห่งหนึ่ง จวนฉางชุนโหว ตำหนักปี้เซียวแห่งลำน้ำใหญ่
ในจวนน้ำแขวนกรอบป้ายไว้มากมาย บุญกุศลคงอยู่ตลอดไปที่เจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูมอบให้ ยึดหลักศีลธรรมสืบทอดกันไปรุ่นต่อรุ่นที่เขียนด้วยลายมือของเจ้าประมุขสกุลเจียงหลินอวิ๋น และยังมีฉากกั้นแห่งเมืองเทพที่สำนักศึกษาหลินลู่ส่งมาให้
แม้แต่หลิ่วชิงเฟิงอดีตเจ้ากรมพิธีการของเมืองหลวงต้าหลี ตอนมีชีวิตอยู่ก็ยังเคยมอบผลงานน้ำหมึกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘ฟ้าใสทำนาฝนตกอ่านตำรา’ เขียนได้ทรงพลังอย่างยิ่ง
บนบกของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ หยางฮวาที่ศาลบุ๋นแต่งตั้งตำแหน่งโหวให้ก็คือผู้นำของเทพวารีอย่างสมชื่อ
เฉินผิงอันไม่ได้ไปหาหยางฮวาโดยตรง
ช่วยไม่ได้ ท่านโหวหญิงของลำน้ำใหญ่ผู้นี้เป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาก จึงต้องให้คนเฝ้าประตูไปแจ้งนางก่อน
เพียงแต่ว่าหากมีใครที่สามารถเดินตามมาด้านท้าย คอยมองดูการท่องในความฝันทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็จะค้นพบว่าดินแดนแห่งความฝันที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นยิ่งนานก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกทีแล้ว
เฉินผิงอันเดินขึ้นบันได เดินไปทางห้องของคนเฝ้าประตู
ได้ยินมาว่าเรื่องแรกที่หยางฮวาทำหลังจากเข้ารับตำแหน่งก็คือสั่งให้ขุนนางชั้นผู้น้อยในขุนเขาสายน้ำใต้อาณัติทั้งหมด ห้ามมาแสดงความยินดีถึงที่จวน ดังนั้นอย่าว่าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำมากมายใต้อาณัติของจวนโหวเลย แม้แต่เทพวารีที่ระดับขั้นไม่ต่ำ และยังมีท่านเทพอภิบาลเมืองของเขตต่างๆ ทางทิศใต้ของต้าหลี ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหยางฮวามาก่อน
ลองมองเว่ยซานจวินของพวกเราท่านนั้น ในเรื่องนี้ต้องบอกว่า ‘ใกล้ชิดกับคนง่าย’ กว่ามากนัก แม้แต่เทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอ เทพแห่งผืนดิน พวกแม่ย่าลำคลองทั้งหลาย ต่างก็เคยโชคดีได้ร่วมงานเลี้ยงท่องราตรี เคยได้เห็นซานจวินบ้านตนกับตาตัวเองมาก่อน
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอาศัยมือของโต้วแยนเทพภูเขาแห่งยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นให้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้หยางฮวา เชื่อว่าด้วยจิตใจที่ละเอียดอ่อนดุจเส้นผมของหยางฮวาแล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด หยางฮวาก็น่าจะไปเยือนยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นและที่ตั้งเก่าของลำคลองเที่ยวโปแล้ว อีกทั้งเกินครึ่งคงจะเป็นการเปลี่ยนชุดแต่งกายไปเยี่ยมเยือนเป็นการส่วนตัวด้วย เชื่อว่าด้วยนิสัยที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของเทพภูเขาโต้วแล้ว ความสามารถในการจัดการน้ำของพ่อปู่ลำคลองเฉิน บางทีหยางฮวาอาจไม่ได้รู้สึกตกตะลึงระคนยินดีสักเท่าไรที่ในอาณาเขตของตัวเองมี ‘ไข่มุกหายากในมหาสมุทร’ เช่นนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ต้องไม่มีทางรู้สึกผิดหวัง
คนเฝ้าประตูคือผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง จัดการตัวเองได้อย่างสะอาดเอี่ยม สวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่บอกว่าถักทอด้วยกรรมวิธีของจวนไฉ่เชวี่ยแห่งอุตรกุรุทวีป ซึ่งชุดคลุมอาคมประเภทนี้ทุกวันนี้แทบจะกลายมาเป็นรูปแบบชุดขุนนางของวงการขุนนางภูเขาสายน้ำของต้าหลีแล้ว
คนเฝ้าประตูบ้านอัครเสนาบดีคือขุนนางขั้นสาม (เปรียบเปรยว่าอยู่กับคนมีอำนาจ แม้จะเป็นคนตำแหน่งต่ำต้อยก็ยังมีหน้ามีตา มีคนให้เกียรติ) ทว่าคนเฝ้าประตูผู้เฒ่าคนนี้กลับยังคงมีสีหน้าเป็นมิตร เป็นฝ่ายออกจากประตูมาต้อนรับแขก พอได้ยินแขกคนนั้นบอกว่าตัวเองคือเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว
ผู้ฝึกตนเฒ่าก็อดไม่ไหวหลุดปากถามออกไปว่า “ใครนะ?!”
อันที่จริงการกระทำนี้ถือว่าเสียมารยาทมากแล้ว ด้วยประสบการณ์เก่าแก่ของคนเฝ้าประตูผู้เฒ่า เดิมทีไม่ควรจะทำความผิดประเภทนี้ เพียงแต่ข้อมูลที่หูได้ยินสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้เขามากเกินไป อีกฝ่ายมาเยือนจวนโหวเพียงลำพัง เมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้มีลางว่ามีแสงกระบี่เปล่งวาบบนขอบฟ้าอะไร ไม่ว่าอย่างไรลักษณะก็ไม่เหมือนเซียนกระบี่คนอื่น
เฉินผิงอันจึงทำเพียงยิ้มแล้วบอกตัวตนไปอีกครั้ง
คราวนี้บนหน้าผากของผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว แล้วก็ไม่กล้าพูดบ่นแม้แต่ครึ่งคำ ได้แต่บากหน้าเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานโปรดรอให้ข้าไปแจ้งข้างในก่อนสักหน่อยได้หรือ?”
ไม่ได้เรียกอีกฝ่ายว่าเจ้าขุนเขาหรือเซียนกระบี่เฉิน ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูเรียกด้วยสถานะที่ตัวเองคิดว่าสำคัญที่สุด
ผู้เฒ่าเองอยากจะปล่อยตัวอีกฝ่ายไปทันที เพียงแต่จวนโหวมีกฎเข้มงวด หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูขัดขวางแขกผู้สูงศักดิ์ไปกี่คนแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีท่านเทพอภิบาลประจำเมืองหลวงสำรองของต้าหลีมาเยือนเพื่อพูดคุยธุระ คนเฝ้าประตูขบคิดอย่างระมัดระวังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะปล่อยตัวอีกฝ่ายเข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องไปแจ้งก่อน ผลคือภายหลังถูกหลิวหมัวมัวกองมรรยาทลากตัวเขาไปด่าอย่างรุนแรงรอบหนึ่ง บอกว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ไม่แยกแยะเช่นนี้
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ทำตามกฎไปก็พอ”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยืนรออยู่นอกประตูจวนโหวเป็นเพื่อนใต้เท้าอิ่นกวานด้วยความกระวนกระวาย
ตอนนี้เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าวันนี้จวนโหวบ้านตนจะเปิดประตูใหญ่ต้อนรับแขกหรือไม่
เป็นการปฏิบัติตามมารยาทที่มีเพียงจักรพรรดิและอ๋องผู้ครองแคว้นของต้าหลีถึงจะได้รับ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องให้ซานจวินของห้ามหาบรรพตในหนึ่งทวีปมาเยือน
ทว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากแจกันสมบัติทวีปแต่ไปรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้อุตส่าห์ได้มาเยือนทั้งที แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้านายบ้านตนก็เลื่อนขั้นมาจากตำแหน่งเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดกับภูเขาลั่วพั่ว
ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือเหตุผลส่วนตัว จวนโหวก็ควรจะต้องเปิดประตูใหญ่ต้อนรับแขก
ทว่าคนที่ออกมาต้อนรับอิ่นกวานกลับเป็นบุคคลอันดับสองของกรมมรรยาท รวมไปถึงเทพหญิงถือตราประทับที่ดูแลกรมตราประทับของจวนโหวคนหนึ่ง ฉางชุนโหวไม่ได้ปรากฏตัวด้วยตัวเอง เพียงแค่เรื่องนี้ก็ทำให้คนเฝ้าประตูรู้สึกละอายใจ ยิ่งหวาดหวั่นมากกว่าเดิม ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
นี่แสดงให้เห็นว่าอันดับแรกที่ไปเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง แล้วตามมาด้วยสถานะอิ่นกวานที่ชวนตะลึงพรึงเพริด อาศัยรายงานข่าวที่แพร่ไปทั่วทั้งทวีปภายในค่ำคืนเดียว ทุกอย่างเป็นดั่งน้ำลดหินผุด ในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ นี้ เดิมทีก็คือเอกสารผ่านด่านที่ใช้ได้ผลที่สุด
เทพหญิงที่ดูแลตราประทับใช้สถานะของขุนนางหญิงคารวะเฉินผิงอันก่อน จากนั้นจึงยอบกายคารวะอีกครั้ง เอ่ยขออภัยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน นายท่านของข้ากำลังต้อนรับแขกอยู่พอดี ตอนนี้ไม่สะดวกจะทิ้งแขกเอาไว้ หวังว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะให้อภัย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ มาเยี่ยมเยือนกะหันทัน ไม่ได้แจ้งข่าวมาก่อน ไม่ได้กินน้ำแกงประตูปิดก็ถือว่าดีมากแล้ว”
เทพหญิงจวนโหวทั้งสองคนที่ไม่ได้เป็นขุนนางเก่าของแม่น้ำเถี่ยฝูต่างก็ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่ค่อยเหมือนกับใต้เท้าอิ่นกวานผู้สูงส่งเหนือใครอย่างที่จินตนาการไว้เลย ควรจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่เหมือนเกินไปแล้ว
ผลคือพอคนทั้งสามเดินลอดผ่านระเบียง เดินไปได้ครึ่งทางก็มีขุนนางหญิงที่สวมชุดขุนนางจากต่างกองเดินมาอีกสองคน ดูจากลายปักบนชุดแล้วน่าจะเป็นบุคคลอันดับหนึ่งและอันดับสองในบรรดากองมากมายของจวนวารี
พวกนางคล้ายเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่บนทางเส้นนี้มานานแล้ว แต่อ้างว่าบังเอิญผ่านทางมาพอดี แล้วก็เพราะว่าต้องไปทางเดียวกันจึงสามารถตรงไปที่ห้องโถงรับรองแขกของกองมรรยาทพร้อมกันได้พอดี ทำได้อย่างรัดกุมไร้ช่องโหว่ หาข้อบกพร่องไม่ได้แม้แต่น้อย
พวกขุนนางหญิงกองมรรยาทถลึงตาใส่คนทั้งสอง เมื่อครู่นี้ได้รับรายงานจากคนเฝ้าหน้าประตู ก่อนที่ตนจะออกจากที่ว่าการมาก็เตือนขุนนางกองทั้งหลายไว้โดยเฉพาะว่าอย่าก่อเรื่อง เหตุใดถึงได้ทำเป็นเล่นเช่นนี้?!
เทพหญิงกองตราประทับจึงได้แต่ใช้เสียงในใจเตือนคนทั้งสองด้วยเสียงหนักเข้มงวดว่า “มาก็มาแล้ว แต่ต่อจากนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดปากพูด!”
หากวันนี้เปลี่ยนมาเป็นหลิวมรรยาทที่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าสองคนต้องถูกลงโทษแน่!
เหมือนกับจวนหยวนหลิงกงของอุตรกุรุทวีป คงเป็นเพราะเจ้าของจวนคือสตรี ดังนั้นจึงมีขุนนางหญิงอยู่มากมาย ให้ภาพบรรยากาศของหยางเสื่อมถอยหยินรุ่งโรจน์อยู่หลายส่วน
หลังจากนั้นระหว่างที่เดินผ่านที่ทำการของกองงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประตูใหญ่หรือหน้าต่างก็มีศีรษะโผล่ออกมาไม่น้อย เพียงแต่ยังค่อนข้างเงียบ ไม่มีใครกล้าทำเสียงเอะอะ
เห็นได้ชัดว่าต่างก็อยากรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งได้แกะสลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีสามเศียรหกกรหรือไม่ มีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
พอไปถึงห้องโถงหลักของกองมรรยาท เทพหญิงที่ดูแลตราประทับก็เอ่ยเสียงเบาว่า “รบกวนเจ้าขุนเขาเฉินรอสักครู่ ท่านโหวบอกแล้วว่ายังต้องใช้เวลาอีกครึ่งก้านธูป จะไม่ให้เจ้าขุนเขาเฉินต้องรอนานแน่นอน”
มีสาวใช้ที่ทำงานอยู่ที่นี่รีบยกน้ำชาถ้วยหนึ่งมาให้เฉินผิงอันอย่างว่องไว เพียงแต่ว่าชุดขุนนางบนร่างกลับเป็นตัวเผยพิรุธ ดูเหมือนนางจะเป็นหยวนไหว้หลางของบางกองในหกกรมของราชสำนัก ไม่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าไรที่จะต้องทำหน้าที่ยกน้ำมาส่งให้แขก
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ รับน้ำชามา ถ้วยชายังเป็นถ้วยกระเบื้องของหลงเฉวียนบ้านเกิด สีเคลือบก็เป็นสีเขียวลูกเหมยระดับหนึ่ง อีกทั้งดูจากฝีมือแล้วน่าจะเผามาจากเตาเผาบางแห่งของเป่าซี เฉินผิงอันถึงขั้นรู้ว่าถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือใบนี้มาจากฝีมือของช่างผู้เฒ่าคนใด หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นลูกศิษย์ในสำนักที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้สั่งสอนมาเองกับมือ ลองชั่งน้ำหนักถ้วยชา เฉินผิงอันก็ถอนหายใจหนึ่งที เตาเผาเก่าแก่ทั้งหลายที่อยู่ใกล้กับเป่าซี แต่ไหนแต่ไรมามักจะใช้ดินเผาเครื่องกระเบื้องในแถบของยอดเขาหวงเหมา แต่ทุกวันนี้กลับใช้ดินของเส้นทางโบราณภูเขาแปดเซียนแทน นี่ก็คือผลจากการที่เตาเผาทางการถูกถ่ายโอนไปเป็นเตาเผาชาวบ้านแล้ว
คนวงนอกแค่ชมเรื่องสนุก คนวงในมองเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ ดินเผาเครื่องปั้นจะถูกเรียกรวมว่าดินม่วงทองเหมือนกัน แต่เนื่องจากมาจากภูเขาคนละลูก ความต่างเล็กน้อยของน้ำและดิน น้ำหนักและความเหนียวของดินก็จะไม่เหมือนกัน ลวดลายบนเครื่องกระเบื้องที่ถูกเผาออกมาในภายหลังก็จะแปรเปลี่ยนไปได้สารพัดรูปแบบ คนวงนอกมองความแตกต่างไม่ออก ทว่าคนวงในกลับเห็นชัดในปราดเดียว ยกตัวอย่างเช่นดินเผาเครื่องปั้นในแถบยอดเขาหวงเหมาที่ดีกว่าดินจากเส้นทางเก่าแก่ของภูเขาแปดเซียนมากนัก ทว่าจำนวนที่จะเผาเครื่องปั้นออกมาได้สำเร็จกลับน้อยกว่าเยอะมาก เมื่อก่อนเครื่องปั้นจะถูกส่งไปให้ในวังใช้งาน เตาเผาใหญ่แห่งต่างๆ จึงไม่ต้องสนใจต้นทุนได้ ทว่าทุกวันนี้เตาเผาบางส่วนกลายเป็นเตาเผาของชาวบ้านแล้ว เครื่องกระเบื้องระดับต่ำทุกใบที่ถูกทุบแตก ก็เท่ากับทุบเงินให้แตกนั่นเอง
เทพหญิงกองตราประทับขยิบตาให้ ‘สาวใช้’ อยู่หลายที ฝ่ายหลังถึงได้ออกไปจากห้องโถงอย่างอาลัยอาวรณ์
หยางฮวาปรากฏตัวที่นอกประตูห้องโถงของกรมมรรยาท เห็นว่าข้างในนั้นมีเซียนกระบี่ชุดเขียวกำลังนั่งดื่มชา ยกขาไขว่ห้าง ท่าท่างสบายอารมณ์ ไม่มีสีหน้าไม่พอใจแม้แต่น้อย
รอกระทั่งหยางฮวาก้าวข้ามธรณีประตู เฉินผิงอันก็เพียงแค่วางถ้วยชาลงเท่านั้น
ขุนนางหญิงสองคนในห้องรีบคารวะหยางฮวาแล้วขอตัวอำลา เดินออกไปจากที่แห่งนี้อย่างว่องไวด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
หยางฮวานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “วันนี้เจ้าขุนเขาเฉินมาเยือนถึงถิ่น มีอะไรจะสั่งความอีกหรือ?”
เฉินผิงอันมองข้ามคำว่า ‘อีก’ นั้นไป บอกจุดประสงค์ในการมาเยือนอย่างชัดเจน
เห็นว่าหยางฮวามีท่าทางลังเล เฉินผิงอันก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องลำบากใจ ข้าดื่มชาหมดก็จะจากไป”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
มีความเป็นไปได้ที่หยางฮวาจะต้องแจ้งไทเฮาเหนียงเนียงผู้นั้นก่อน ไม่กล้าทำเรื่องนี้เองโดยพลการ กังวลว่าหากจวนวารีมีความสัมพันธ์กับเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วมากเกินไปจะทำให้นางถูกหวาดระแวง
แต่หากหยางฮวารู้สึกลำบากใจ ธูปดอกนั้นก็จะไม่มีความหมายแล้ว
แม้จะบอกว่าในสายตาของเฉินผิงอัน หยางฮวามีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงกงโหวของลำน้ำใหญ่แล้ว แต่กลับมิอาจเดินออกมาจากเงามืดของการเป็นสาวใช้ของไทเฮาหนันจานได้เสียที นี่จะทำให้นางมีภัยไม่เล็กทิ้งไว้ภายหลัง
เพียงแต่เรื่องแบบนี้ เฉินผิงอันที่เป็นคนนอก พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามด้วย
ดื่มชาหมดแล้ว เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน
หยางฮวาพลันเอ่ยว่า “ธูปดอกนั้น ข้าไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันประหลาดใจมาก แต่ก็ยังกุมมือคารวะขอบคุณนาง
หยางฮวาคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก คารวะกลับคืนพลางเอ่ยว่า “เรื่องที่ต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไยเจ้าขุนเขาเฉินต้องเอ่ยขอบคุณ”
วันนี้อีกฝ่ายมาเยือนถึงที่ นอกจากจะรอพบตนแล้วยังนั่งไขว่ห้างดื่มชาอยู่ตรงนั้น ก็ถือว่าให้เกียรติมีมารยาทต่อกันมากแล้ว
หลังจากนั้นหยางฮวาก็เป็นฝ่ายพูดเรื่องหนึ่งกับเฉินผิงอัน ที่แท้ก่อนหน้านี้แขกกลุ่มที่นางต้องต้อนรับด้วยตัวเองก็มาจากอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง นอกจากผู้ฝึกตนหญิงสองคนของอารามชิงเหมยแล้วยังมีสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบหนันถังด้วย เทพวารีท่านนี้ ทุกวันนี้ถือว่าเป็นขุนนางใต้อาณัติของจวนฉางชุนโหวแล้ว พวกนางเพิ่งจะออกจากสำนักมาได้ไม่นาน และคนที่ร่วมเดินทางด้วยก็ยังมีเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่จากสำนักกระบี่หลงเซี่ยงและถัวเหยียนฮูหยินที่ใช้นามแฝงว่า ‘เหมยชิงเค่อ’
ในเอกสารผ่านด่านฉบับนั้น ถัวเหยียนฮูหยินใช้นามแฝงว่า ‘เหมยชิงเค่อ’ และฉายาว่า ‘ฉวีเซียน’
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำต้องถามประโยคหนึ่งว่า “เพราะรีบร้อนเดินทาง อีกเดี๋ยวพอข้าออกไปจากห้องโถงแล้วจะทะยานลมจากไปทันที โหวจวินจะถือสาหรือไม่?”
หยางฮวาไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ จึงได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร
ในระเบียงของห้องโถง คนชุดเขียวกุมหมัดคารวะหยางฮวา ก่อนจะกลายร่างเป็นแสงกระบี่ที่พุ่งห่างไปไกลร้อยพันลี้ในเสี้ยววินาที
หลังจากที่หยางฮวาออกไปจากที่ว่าการกองมรรยาทแล้ว พวกเทพหญิงทั้งหลายก็พากันกลับมาที่ห้องโถงแห่งนี้ ขุนนางหญิงกองมรรยาทที่แสร้งทำเป็นสาวใช้ยกน้ำชามาให้ ทั้งยังมาเติมน้ำชาให้อีกครั้งยกมือขึ้นปิดปากหหัวเราะคิกคัก บอกว่าตอนที่ได้เห็นอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น นางขนลุกสยิวไปหมดทั้งร่าง ขุนนางหญิงอันดับสองของกองมรรยาทที่เป็นหัวหน้าของนางยิ้มด่าว่าบ้าผู้ชาย
ไล่ตามเรือข้ามฟากส่วนตัวของอารามชิงเหมยที่อยู่กลางทะเลเมฆไปทัน คนชุดเขียวชายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัด พลิ้วกายลงบนหัวเรือ
เส้าอวิ๋นเหยียนสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นลมปราณที่ผิดปกติก็หดย่อพื้นที่มายังดาดฟ้าตรงหัวเรือ แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานมาได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่บังเอิญเท่านั้น เท้าหน้าของพวกเจ้าเพิ่งจากไป เท้าหลังของข้าก็เดินเข้าจวนโหวพอดี”
เจ้าอารามของอารามชิงเหมยคือผู้ฝึกตนหญิงลักษณะเป็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เพียงแต่ศีรษะของนางเป็นสีหิมะขาวโพลน เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ที่ถูกบีบให้ย้ายออกจากศาลบรรพจารย์ได้ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของนาง เจ้าอารามท่านนี้นอกจากฝึกวิชาน้ำแล้วยังมีชะตาที่สอดคล้องอยู่กับทะเลสาบหนันถังด้วย ผู้ฝึกตนหญิงในอารามย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เป็นแค่การย้ายบ้านครั้งหนึ่งเท่านั้น ทว่าสำหรับนางแล้วกลับทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิด ต่อให้ไม่ได้ลงมือเข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจก็เกือบจะต้องขอบเขตถดถอยอยู่แล้ว
——