กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 930.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบ)
เฉินเหวินเชี่ยนหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “พวกเจ้าอยากได้เงินจนเป็นบ้ากันไปแล้วหรือ”
ทุกวันนี้เรื่องที่ศาลบุ๋นเริ่มการแต่งตั้งลำน้ำใหญ่อีกครั้งต้องขอบคุณคนสามคน
เหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ราชครูต้าหลี ซิ่วหู่ชุยฉาน หยวนพางแห่งสายหย่าเซิ่ง เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
คนหนึ่งวิ่งเต้นเหน็ดเหนื่อยอยู่นานหลายปีเพราะเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เหวยเซ่อจึงไม่ได้เข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋น แต่เล่าลือกันว่าเหวยเซ่อได้ยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดโดยการส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับเจ้าลัทธิศาลบุ๋นทั้งสามคน
ส่วนชุยฉานกลับไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้พูดคุยกับศาลบุ๋นด้วยซ้ำ เอาแต่ ‘ทำเรื่องของตัวเอง’ ‘ข้าทำของข้าเอง’ ก็ทำเรื่องนี้สำเร็จได้
การปรากฏตัวของลำน้ำฉีตู้กลายเป็นตัวอย่างทางตรงที่ดีที่สุด พิสูจน์ให้เห็นว่าขุนเขาสายน้ำของทวีปหนึ่งได้ครอบครองลำน้ำใหญ่หนึ่งสาย เอามาใช้รวบรวมโชคชะตาน้ำ มีประโยชน์มากกว่าผลเสีย
ต่อมาจึงเป็นหยวนพางที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเป็นทางการระหว่างการประชุมศาลบุ๋น
แต่ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันยังรู้ความลับอีกเรื่องหนึ่ง บนเรือราตรีลำนั้น เฉินผิงอันเคยเจอกับกลุ่มของเทียนซือน้อยของภูเขามังกรพยัคฆ์กับภิกษุเด็กหนุ่มมาก่อน พวกเขานอกจากจะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนของการวัดชั่งตวงชนิดใหม่ล่าสุดแล้ว ยังเคยไปเยือนลำน้ำฉีตู้โดยเฉพาะมารอบหนึ่ง ถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ต้องไปตรวจสอบ
โต้วแยนรินเหล้าให้ตัวเองจนเต็มชาม ชูชามเหล้าไปให้ใครบางคน ยิ้มมองเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มิอาจตัดสินเอาจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เฉินเหวินเชี่ยนเจ้าเป็นแค่หูจวินตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก่อนก็แล้วกัน
ใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่สู้ท่านผู้อาวุโสโปรดบอกมาให้แน่ชัดหน่อยได้ไหม?
หากว่าไม่ได้ ข้าก็จะแนะนำสหายคนนั้นว่าอย่าได้จ่ายเงินเทพเซียนให้ละลายไปพร้อมกับสายน้ำ หากสำเร็จ ยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นของข้าต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องรวบรวมเงินให้ได้ครบถ้วน
เฉินผิงอันรินเหล้าหนึ่งชาม แกว่งชามเหล้า จุ๊ปากเอ่ย “ราคาสุราของยอดเขาเตี๋ยอวิ๋น ราคาไม่ถูกเลยนะ”
เฉินเหวินเชี่ยนหยิบชามเหล้ามาเคาะลงบนโต๊ะ เตือนโต้วแยนว่าอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก ถลึงตาเอ่ย “เทพภูเขาใหญ่โต้ว อาจารย์เฉินพูดไปตั้งมากขนาดนั้นแล้ว เจ้าก็ยังจะฟังไม่เข้าใจ เป็นเทพภูเขานานเข้าก็เลยฟังภาษาคนไม่ออกแล้วใช่ไหม?”
เพราะเฉินเหวินเชี่ยนมั่นใจได้เลยว่า ขอแค่ไม่ผิดไปจากที่คาด ใบถงทวีปอย่าได้หวังว่าจะบุกเบิกลำน้ำใหญ่ เมื่อครู่คำพูดประโยคนั้นของเซียนกระบี่เฉินได้เปิดเผยความลับสวรรค์มาแล้ว ถือเป็นการให้คำยืนยันกับเรื่องนี้
พันธมิตรใบท้อครั้งนั้นมีกองกำลังของบนภูเขาและล่างภูเขาอยู่แค่ไม่กี่แห่ง ไหนเลยจะมีปัญญาสร้างวีรกรรมเช่นนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ คำว่าหนึ่งในระเบียบวาระ ก็คือการลงแรงที่แสดงออกภายนอก นำมาใช้รวบรวมใจคน
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่ถึงจะมีหวังสร้างลำน้ำใหญ่สายหนึ่งให้กับใบถงทวีปได้สำเร็จ นั่นก็คือให้ผู้นำอย่างสำนักกุยหยก อีกทั้งยังต้องให้เหวยอิ๋งออกหน้าเอง ยอมเผาผลาญคุณความชอบของสำนักตัวเองอย่างไม่เสียดาย จากนั้นลากเอามังกรข้ามแม่น้ำที่มือเติบใจป้ำอย่างสกุลหลิวธวัลทวีปมา แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่ายังต้องลากเอาพันธมิตรพันธมิตรทางเหนืออย่างราชสำนักต้าหลีให้มานั่งแบ่งทรัพย์สินกันด้วย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่เพียงแค่พี่ใหญ่โต้วเท่านั้น หากอาจารย์เฉินมีเงินที่พอเหลืออยู่ในมือก็สามารถเอามารวมได้”
เฉินเหวินเชี่ยนอึ้งตะลึง หูจวินท่านใหม่เริ่มสับสนเสียแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยต่อไปว่า “เทพภูเขาโต้ว ท่านต้องรับปากกับข้าว่า จะไปยืมเงินกับใครที่ไหนก็ได้ แต่ต่อให้เป็นสหายรักคนนั้นของท่านกลับอย่าได้เปิดปากแม้แต่ครึ่งคำ ต่อให้ไม่อาจต้านทานการซักถามของอีกฝ่ายได้ ท่านก็ตอบรับอย่างขอไปทีแล้วกัน บอกไปแค่ว่าได้ยินข่าวลือเล็กๆ มาเรื่องหนึ่ง ไม่อาจแน่ใจได้ เชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าวันไหนดื่มเหล้าจนเมามายแล้วเผลอเอาเรื่องที่พวกเราคุยกันวันนี้ไปโพนทะนากับคนอื่นล่ะ”
โต้วแยนพยักหน้าเหมือนโขลกกระเทียม พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หากว่ากฎในวงการขุนนางน้อยนิดแค่นี้ยังไม่เข้าใจ ข้าก็คงเป็นเทพภูเขาของยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นมาอย่างเสียเปล่าแล้ว”
เฉินเหวินเชี่ยนถามอย่างใคร่รู้ “นี่คือ?”
ผลคืออีกฝ่ายยิ้มให้คำตอบ
“ข้าจะกระตุ้นเรื่องนี้ให้สำเร็จ”
เฉินเหวินเชี่ยนอึ้งงันไร้คำพูด รู้สึกว่าเหลือเชื่อมาก ไม่กล้าเชื่อ เพียงแต่จำต้องเชื่อ
ความนัยในประโยคนี้ของเซียนกระบี่หนุ่มชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เรื่องที่เจ้าขุนเขาทั้งสามท่านต่างก็ไม่กล้าพยักหน้าตอบตกลง ข้าทำได้
เฉินเหวินเชี่ยนเงียบงันไปนาน ผลคือพอท่านหูจวินเอ่ยประโยคนี้ก็เกือบจะทำให้โต้วแยนพ่นเหล้าที่อยู่ในปากออกมา
“อาจารย์เฉิน กระเป๋าเงินของข้าฟีบแบนมานานแล้ว ท่านต้องให้ข้ายืมเงินสักหน่อย แน่นอนว่าต้องเป็นเงินฝนธัญพืช”
มือที่เพิ่งจะคีบปลาหลูนึ่งของเฉินผิงอันลอยค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ “ปลาจานนี้ก็ไม่ถูกเลยจริงๆ”
สุดท้ายพอเฉินผิงอันออกไปจากยอดเขาเตี๋ยอวิ๋นแล้ว
โต้วแยนก็เอ่ยอย่างกังขาว่า “ประหลาดใจนัก ทำไมข้าถึงมักจะมีความรู้สึกลวงตาบางอย่างล่ะ ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทั้งๆ ที่ดื่มเหล้าโต๊ะเดียวกัน แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก?”
โต้วแยนตบโต๊ะ “พูดตรงเผงเลย! ข้าก็มีความรู้สึกเช่นนี้แหละ! เหวินเชี่ยน พวกเราสองคนคงไม่ได้ฝันไปหรอกกระมัง?”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มถาม “หากต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ว่าเป็นจริงหรือเท็จก็ง่ายดายมากเลย ยื่นหน้ามา ข้าจะตบหน้าเจ้าสักที”
โต้วแยนด่าขำๆ ไปสองสามประโยค พอหุบยิ้มแล้วก็ถามเสียงเบาว่า “พวกเราสองคนมีเรื่องดีๆ แบบนี้ก็เพราะบัณฑิตแซ่ชุยในปีนั้นกระมัง?”
เฉินเหวินเชี่ยนพยักหน้ารับ
โต้วแยนเงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยออกมาประโยคเดียวว่า “คนแซ่เฉินผู้นี้นับว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ไม่น้อย”
……
ทะเลสาบซูเจี่ยน ก่อนหน้านี้ไม่นานได้มีหูจวินคนแรก
สำหรับสำนักเจินจิ้งที่อาณาเขตควบรวมทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งหมดเอาไว้แล้วย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ถูกแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งไปเท่านั้น เรียกได้ว่าข้างเตียงนอนมีเตียงอีกหลังเพิ่มมาด้วยซ้ำ
หูจวินคนใหม่ หากอิงตามการแบ่งระดับขั้นในทำเนียบหยกทองใหม่ล่าสุดของศาลบุ๋นมีระดับสูงถึงขั้นสามชั้นโท ระดับขั้นเท่าเทียมกับเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู เฉียนถังฉางเก่าของต้าหลี
ในเรื่องนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลในพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีปที่รอดูเรื่องครึกครื้นแค่ไหนก็ยังอดรู้สึกเห็นใจสำนักเจินจิ้งไม่ได้ ราชสำนักต้าหลีจึงตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าข้ามแม่น้ำรื้อสะพานอยู่บ้าง
ว่ากันว่าคนที่กระตุ้นเรื่องนี้ให้สำเร็จกับมือตัวเอง คือหลิ่วชิงเฟิงอดีตเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ป่วยตายไปแล้วคนนั้น
ก็แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าสำนักคนปัจจุบันหรือก็คือเจ้าสำนักคนที่สามของสำนักเจินจิ้งอย่างหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วจะคิดอย่างไร
ทางฝั่งของสำนักกุยหยกจะเกิดความเคียดแค้นและมีรอยร้าวกับสกุลซ่งต้าหลีเพราะเหตุนี้หรือไม่
ถึงอย่างไรช่วงที่ผ่านมาไม่กี่เดือนนี้ ในอาณาเขตของสำนักเจินจิ้ง นครโดยรอบทะเลสาบซูเจี่ยน บรรยากาศก็มีความประหลาดอยู่บ้างหลายส่วน คล้ายกับว่าเสียงเล่นทายหมัดบนโต๊ะเหล้าแต่ละตัวจะลดน้อยลงไปเยอะมาก
ในอาณาเขตของภูเขาหูลั่วมีพรรคเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เพิ่งก่อตั้งได้แค่ไม่กี่ปี ประมุขพรรคคือผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ ชื่อว่าจางเย่
เหตุเปลี่ยนแปลงในทะเลสาบซูเจี่ยนคล้ายกับฝนกระหน่ำที่ก่อตัวรอเวลาที่จะเทลงมานานแล้ว ใครมีบ้านหลังใหญ่ ลานบ้านเยอะ ฝนก็จะตกลงมาเยอะ กลับกลายเป็นว่าบ้านหลังเล็กไม่ได้เจอปัญหาสักเท่าไร
แทบทุกปีจะต้องมีสหายเก่าคนหนึ่งมาเยี่ยมเยียนที่นี่ มาเยี่ยมจางเย่
เถียนหูจวินเจ้าเกาะหญิงของเกาะซู่หลินที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่ของหลิวจื้อเม่า นางคือเซียนดินโอสถทองในท้องถิ่นคนหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน
วันนี้นางมาที่นี่ก็ทำเหมือนอาจารย์ นั่นคือร่ายเวทอำพรางตา เพราะคนที่มาพบก็คือจางเย่
ในบรรดาผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสีย จางเย่ที่ทำให้หน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักอยู่ในห้องตกปลา ก็คือ ‘ขุนนางผู้ติดตามมังกร’ ที่ติดตามหลิวจื้อเม่ามาตั้งแต่แรกเริ่มสุด ถึงขั้นไม่มีหนึ่งในด้วยซ้ำ
หากไม่มีจางเย่ที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบ บางทีก็อาจจะไม่มีสกัดคงคาเจินจวินในภายหลัง และก็ยิ่งไม่มีผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้งในวันนี้
จางเย่อยู่ในห้องที่ไม่ใหญ่นัก เขากับหลิวจื้อเม่าเจ้านายเก่าและเถียนหูจวิน คนทั้งสามนั่งล้อมอยู่ข้างกระถางไฟใบหนึ่ง จางเหย่ดื่มเหล้าอีกาครวญของนครฉือสุ่ยหนึ่งชาม เหล้าหมักเซียนประเภทนี้ราคาแพงหูฉี่ หากไม่ใช่แขกผู้สูงศักดิ์ที่มาเยือนก็จะไม่มีทางเอาออกมารับรองแขกง่ายๆ เป็นแค่พรรคเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทุกหนทุกแห่งต่างก็จำเป็นต้องใช้เงิน เจ้าประมุขอย่างเขามิอาจใช้จ่ายมือเติบ การฝึกตนของพวกลูกศิษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุวิเศษ ค่าอาหารที่เป็นยาในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการไปมาหาสู่กับจวนเซียนที่เป็นเพื่อนบ้านของภูเขาหูลั่ว…มีตรงใดบ้างที่ไม่ต้องใช้เงินเทพเซียน
แม้ว่าจะข้นแค้นไปบ้าง แต่ว่าชีวิตก็ผ่านไปได้อย่างดี จางเย่ถึงขั้นไม่รู้สึกว่าเป็นการหาความสุขในความทุกข์อะไร
บนเส้นทางชีวิตคน คราวก่อนที่ในชีวิตมีสภาพจิตใจเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตอนนั้นเพิ่งได้รู้จักกับหลิวจื้อเม่า
คนผู้หนึ่งทะเยอทะยาน คนผู้หนึ่งมีปณิธานสูงส่งยาวไกล คนยากจนสองคนที่ตั้งตัวด้วยสองมือเปล่าพากันวาดฝันถึงอนาคต
จางเย่ยกชามเหล้าขึ้น หยิบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งโยนเข้าปาก เอ่ยอย่างใคร่รู้ว่า “หูจวินที่เลื่อนขั้นใหม่ผู้นี้ มีความเป็นมาและภูมิหลังอย่างไร ทำไมถึงไม่มีข่าวในวงการขุนนางแม้แต่นิดเดียว”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยเย้ยหยัน “จางเย่เจ้าประมุขแห่งพรรคหลางหวน บุคคลอันดับสองของเกาะชิงเสียในอดีต จางเย่ผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น (จางเย่เจ้าประมุขพรรคหลางหวนกับจางเย่ผู้ฝึกตนอิสระของเกาะชิงเสีย คนคนเดียวกันชื่อเดียวกันแต่ตัวอักษรจีนของชื่อเขียนคนละแบบ) ถึงเวลากลับมากึ่งซื้อกึ่งเช่าอาณาเขตใหญ่เท่าก้นจากมือของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรอยู่ที่ภูเขาหูลั่ว เจ้าประมุขจาง เจ้าลองบอกมาสิว่ามีเส้นทางในวงการขุนนางอะไรบ้าง? ทุกวันนี้รายงานขุนเขาสายน้ำพวกนั้นล้วนยืมอ่านเอาจากผู้ฝึกตนของภูเขาหูลั่วกระมัง?”
จางเหย่หยิบขนมข้าวจากในจานขึ้นมาสองแผ่นแยกกันจิ้มเต้าหู้หมัก ก่อนจะเอาไปวางย่างไว้บนตะแกรงเหล็กที่วางไว้บนเตาไฟ “นี่เรียกว่ายอมเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ อีกอย่างพรรคของข้าแม้จะเล็ก แต่ตั้งชื่อได้ยิ่งใหญ่นะ ส่วนค่าใช้จ่ายในการซื้อรายงานขุนเขาสายน้ำ หากประหยัดได้ก็ต้องประหยัด ยืมคนอื่นมาอ่าน ในรายงานข่าวก็ไม่มีตัวอักษรตัวไหนหายไป ไม่อ่านก็เสียเปล่าน่ะสิ”
พื้นที่มงคลหลางหวนของหลิวเสียทวีป ตั้งชื่อว่าพรรคหลางหวน แต่กลับมีความหมายว่าพรรคแห่งนี้ของจางเย่ วันหน้าอย่าได้คิดอยากจะเลื่อนขั้นเป็นสำนักอีกเลย เว้นเสียจากว่าจะเปลี่ยนชื่อชั่วคราว
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่จางเย่ไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนก็จะไปเยือนแค่สองสถานที่เท่านั้น ไปเจอกับเจิงเย่ผู้ฝึกตนผีที่ถือว่าตนได้ ‘พาขึ้นเขาเหยียบย่างขึ้นไปบนเส้นทางการฝึกตน’ เด็กหนุ่มที่ซื่อบริสุทธิ์ขลาดกลัวในปีนั้นก็เพราะเจิงเย่พาออกไปจากเกาะเยว่เหมา พอไปถึงเกาะชิงเสีย ได้เจอกับนักบัญชีคนนั้น ภายหลังถึงได้พบเจอโชควาสนาและโอกาส และยังมีซากปรักเกาะเหิงโปในอดีต อันที่จริงทุกวันนี้ก็เป็นแค่ผิวน้ำแห่งหนึ่งเท่านั้น
ถึงอย่างไรจางเย่ก็จงใจอ้อมผ่านเกาะชิงเสียไป เห็นได้ชัดว่าตัดสินใจแล้วว่าจะขีดเส้นแบ่งอาณาเขตกับอดีตอย่างชัดเจน
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “เซี่ยฝานหูจวินคนใหม่คือผีตนหนึ่ง ได้ยินมาว่ามีชาติกำเนิดมาจากทหารลาดตระเวนชายแดน ตอนมีชีวิตอยู่เคยสร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่ไม่เล็ก พาคนไปลอบโจมตีเผ่าปีศาจขอบเขตก่อกำเนิดตนหนึ่ง ครั้งนี้หลังจากมารับตำแหน่งก็ปรากฎตัวอยู่ข้างนอกไม่บ่อยนัก ตอนนี้จึงยังไม่รู้นิสัยที่แท้จริง แต่สรุปแล้วก็คือไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไร คือเสือหน้ายิ้มคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างกายเขายังมีกุนซือที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าหูกวานฉีอะไรสักอย่าง แล้วก็ไม่มีฉายาอะไรด้วย ได้ยินมาว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระ หากจะถามข้านะ เกินครึ่งก็คือคนอำมหิตที่เคยเป็นสายลับของต้าหลีมาก่อน เคยได้ยินหลิวเหล่าเฉิงบอกว่าเซี่ยฝานสามารถโดดเด่นในบรรดาวิญญาณวีรบุรุษ ได้เติมเต็มความขาดแคลนที่ใหญ่เทียมฟ้านี้ ดูเหมือนว่าไทเฮาต้าหลีผู้นั้นจะแอบออกแรงไปไม่น้อย”
จางเย่ยิ้มเอ่ย “เทพเซียนตีกันไปมาอยู่ในเมฆในหมอกเช่นนี้ พวกเราที่เป็นแค่ปลาเล็กปลาน้อยหาของกินอยู่ในน้ำตื้นริมฝั่ง แค่ดูเรื่องสนุกไปก็พอแล้ว”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะร่า “มีอิสระกว่าข้าเยอะเลยล่ะ”
หลายปีมานี้หลิวจื้อเม่ามักจะโน้มน้าวให้จางเย่หวนกลับไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอยู่ตลอด ต่อให้ไม่ได้เป็นเซียนซือทำเนียบของสำนักเจินจิ้ง ในบรรดาเกาะใต้อาณัติมากมายของจวนเหิงโปเกาะชิงเสีย จะเลือกที่ไหนสักแห่ง เหมือนอย่างเถียนหูจวินที่คว้าตำแหน่งของเจ้าของเกาะมาเป็นก็สามารถเปิดภูเขาตั้งพรรคได้เช่นกันไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรก็ดีกว่ามาปิดบังชื่อแซ่ เป็นผู้นำให้คนรุ่นเยาว์กับเด็กตัวเท่าก้นที่พอจะมีคุณสมบัติด้านการฝึกตนอยู่บ้างเล็กน้อย วันๆ เอาแต่ไปมาหาสู่กับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง แบบนี้มันสมควรแล้วหรือ?
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักดีชั่วเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ หลิวจื้อเม่าคงตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวไปนานแล้ว
แต่ได้ยินว่าสถานที่ที่นกไม่มาขี้แห่งนี้ แรกเริ่มสุดเป็นคนผู้นั้นที่แนะนำ
และเนื่องจากจางเย่ตั้งชื่อพรรคเช่นนี้ให้ตัวเอง หลิวจื้อเม่าจึงเคยเชิญให้ตี้ซือท่านหนึ่งมาตรวจสอบพื้นที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง แต่กลับมองอะไรไม่ออกสักอย่าง
ด้วยนิสัยความเคยชินของหลิวจื้อเม่าที่เคยเป็นมา ภูเขาหูลั่วน่าจะต้องเปลี่ยนเจ้านายได้แล้ว
เมื่อก่อนคือผู้ฝึกตนอิสระ ทุกวันนี้สถานะเปลี่ยนไปแล้ว ต้องมีคุณธรรมสักหน่อย ก็แค่ต้องจ่ายเงินเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายจะกล้าเรียกราคาสูงได้หรือ?
อย่าไม่เห็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักอักษรจงอยู่ในสายตาเด็ดขาด
หลิวจื้อเม่าเหล่ตามองลูกศิษย์ใหญ่ของตน “ลองดูตัวเจ้าเอง แล้วลองดูคนอื่นเขาสิ ต่างก็พูดกันว่าคนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตายไปสักที”
——