กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 930.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบ)
ทุกครั้งที่เถียนหูจวินอยู่ในห้องนี้ แม้แต่จะดื่มเหล้าก็ยังไม่กล้าดื่มคำใหญ่จริงๆ
กลัวก็แต่ว่าจะทำให้อาจารย์ไม่พอใจ จากนั้นคิดบัญชีเก่าใหม่กับตนพร้อมกันทีเดียว
ได้ยินประโยคที่แฝงปราณสังหารนี้ของหลิวจื้อเม่า ใบหน้าของเถียนหูจวินก็ขาวซีดในฉับพลัน
คำว่า ‘คนเขา’ ที่อาจารย์พูดถึง แน่นอนว่าต้องหมายถึงอิ่นกวานผู้นั้นแล้ว
จางเย่ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เถียนหูจวินก็ไม่ถือว่าแย่สักหน่อย หรือว่าทุกวันนี้แม้แต่เซียนดินโอสถทองก็ไม่มีค่าแล้ว?”
หลิวจื้อเม่าหลุดหัวเราะพรืด “ที่ใบถงทวีปคงจะมีค่ามากเลยล่ะ เถียนเซียนดินของพวกเราไปที่นั่น คิดจะเปิดภูเขาตั้งสำนักก็ไม่ได้ยากเลย”
อันที่จริงสำหรับการเติบโตทีละก้าวของเถียนหูจวิน จางเย่ก็มีความประทับใจที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน ก็แค่ว่าจิตแห่งมรรคาของนางไม่แข็งแกร่งพอก็เท่านั้น หากจะพูดถึงใจที่คิดทำร้ายคนอื่น อันที่จริงนางไม่ได้มีมากนัก ทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ผู้ฝึกตนที่มีเพียงขอบเขต จิตใจไม่อำมหิตมากพอเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่ายากที่จะหยัดยืนอยู่ได้นาน เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผันผ่าน ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบของสำนักเจินจิ้งก็หนีไม่พ้นแค่ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่ต้องวางแผนปัดแข้งปัดขาคนอื่นมากเกินไป ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่ากับใคร กลับกลายเป็นว่าจะมีอนาคตยาวไกลได้มากกว่า
นี่ก็คงเป็นเหมือนประโยคหยอกล้อที่นักบัญชีในปีนั้นกล่าวไว้ คนของวันนี้ยากจะบอกเรื่องของวันพรุ่งนี้ได้อย่างชัดเจน
หลังจากนั้นยังมีประโยคที่มาจากใจจริงอีกประโยคว่า หากสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ววันนี้ยังคงไร้เรื่องราวใด นั่นก็คือช่วงเวลาอันดีของโลกมนุษย์
จางเย่เก็บความคิดจิตใจพวกนี้กลับคืนมา เอ่ยหยอกล้อว่า “สำนักเจินจิ้งของพวกเจ้าไม่มีความสามารถผายลมอะไรทั้งนั้น มีเพียงเปลี่ยนเจ้าสำนักบ่อยนี่แหละที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากยังเปลี่ยนคนอีก เจ้าสำนักคนถัดไปก็น่าจะถึงคราวเจ้าแล้วกระมัง?”
เจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋ง หลิวเหล่าเฉิง เก้าอี้อันดับหนึ่งในศาลบรรพจารย์ พวกเขาต่างก็นั่งกันเก้าอี้ยังไม่ทันร้อนก็ต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว
กับสหายเก่าแก่อย่างจางเย่ หลิวจื้อเม่าไม่ได้มีการปิดบังใดๆ ยิ้มเอ่ยว่า “หลิวเหล่าเฉิงเคยมาพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวอยู่ครั้งหนึ่ง ถามข้าว่ามีความต้องการนี้หรือไม่ หากว่ายินดี เขาก็สามารถวางแผนทำเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เมื่อโอกาสมาถึง หลิวเหล่าเฉิงก็จะแนะนำให้กับสำนักเบื้องบน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว ยากที่จะผ่านด่านทางฝ่ายสำนักกุยหยกไปได้ เพราะถึงอย่างไรเหวยอิ๋งผู้นั้นก็ไม่ได้กินหญ้า เขาจะต้องมีแผนการเป็นของตัวเองแน่นอน พูดถึงแค่ยอดเขาจิ่วอี้ ทุกวันนี้ก็มีเจ้าของคนใหม่แล้ว แต่ว่าข้าไม่ได้ตอบตกลงกับเรื่องนี้”
บอกตามตรง เจ้าสำนักสามรุ่นก่อนหลังของสำนักกุยหยก นับตั้งแต่สวินยวนมาจนถึงเจียงซ่างเจิน แล้วมาจนถึงเหวยอิ๋งในทุกวันนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นบุคคลที่ฝีมือร้ายกาจอย่างถึงที่สุด
จางเย่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ยื่นส่งขนมข้าวที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองชิ้นหนึ่งให้กับหลิวจื้อเม่า แล้วจึงส่งให้เถียนหูจวินหนึ่งชิ้น “ทำไมไม่ตอบตกลงล่ะ? เป็นบุคคลอันดับหนึ่งหรือบุคคลอันดับสอง รสชาติระหว่างนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะ”
หลิวจื้อเม่ารับขนมข้าวมาก้มหน้ากัดกิน “ข้ามองจนกระจ่างแล้ว สถานะทำเนียบที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือเสื้อผ้าที่ถอดไม่ออก คนอื่นมองแล้วรู้สึกว่ามันให้ความอบอุ่น แต่ตัวเองรังเกียจว่ามันร้อน อยากจะถอดกลับถอดไม่ได้ หากคิดจะถอดก็ต้องถอดทั้งเสื้อผ้าและเนื้อหนังชั้นหนึ่งออกมาพร้อมกันด้วย หากว่าข้ายังเป็นแค่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง วันหน้าไม่แน่ว่าอาจจะยังมีทางให้ถอยหนี แต่หากเป็นเจ้าสำนักคนถัดไป ชั่วชีวิตนี้ก็ต้องเดินไปบนทางสายนี้จนสุดทางนั่นแหละ”
ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับการเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ทำอะไรได้ตามใจปรารถนา จะกำเริบเสิบสานอย่างไรก็ได้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงอำนาจก็มากตามไปด้วย ในมือย่อมกุมอำนาจใหญ่ในการชี้เป็นชี้ตาย
ทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ใครที่คิดจะปีนป่ายสู่เบื้องบนก็จำเป็นต้องเหยียบย่ำผ่านเส้นทางสายโลหิตไปถึงจะได้ ลองย้อนนึกดู ปีนั้นไม่ว่าเจ้าเกาะคนใดก็ตาม จะเกาะเล็กหรือเกาะใหญ่ ใต้ฝ่าเท้าของใครบ้างที่ไม่มีโครงกระดูกเป็นหินรองเท้า?
แล้วทุกวันนี้ล่ะ
หนึ่งคือขอบเขตของตัวเองเป็นตัวตัดสิน
นอกจากนี้ก็คือต้องอาศัยเส้นสายและการสืบทอดทางสำนักเท่านั้น
สรุปก็คือขอบเขตของผู้ฝึกตนในสำนักอักษรจง อย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก
พูดถึงบนเกาะกงหลิ่วแห่งนั้นก็มีนังหนูคนหนึ่งชื่อว่าโจวไฉ่เจิน นางมีคุณสมบัติอะไรในการฝึกตน ผลล่ะเป็นอย่างไร? ไม่พูดถึงหลี่ฝูฉวีที่เห็นนางเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง เหมือนผู้สืบทอดยิ่งกว่าผู้สืบทอด ต่อให้เป็นเจ้าสำนักหลิวเหล่าเฉิง พอเห็นนางก็ยังต้องมีสีหน้าเมตตาเป็นมิตรอยู่หลายส่วน
และยังมีลูกศิษย์คนใหม่ที่หลี่ฝูฉวีรับมา ชื่อว่ากวอฉุนซี มาจากสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าอำเภอเซียนโหยว และยังเคยเป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่ง กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามได้ก็ล้วนอาศัยเงินเทพเซียนผลักดันมาทั้งสิ้น ในอนาคตอาจจะกลายเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้ หลี่ฝูฉวียินดีรับเขาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดจริงหรือ? ก็ไม่ใช่เรื่องเละเทะที่เจียงซ่างเจินโยนมาให้หรือไร หลี่ฝูฉวีไม่กล้าเพิกเฉยก็แค่นั้น นางมิอาจไม่ใส่ใจ ไม่ออกแรง
หลักการเหตุผลเดียวกัน หลี่ฝูฉวีที่เป็นผู้ถวายงานอันดับรอง อยู่กับเจียงซ่างเจินไม่กล้าแม้แต่จะผายลมสักครั้ง แต่อยู่ในกลุ่มสมาชิกศาลบรรพจารย์ของสำนักเจินจิ้ง นางคิดจะพูดกระทบกระเทียบใครสักคน มีใครกล้าไม่เก็บเอามาใส่ใจบ้าง?
หรืออย่างเจิงเย่เจ้าคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ผู้นั้น ปีนั้นไปได้ตำราลับเล่มนั้นมาจากไหน แล้วเหตุใดถึงถูกคนอื่นเรียกขานว่า ‘สามารถเปิดประตูด้านวิชาคาถาอีกบานให้กับวิถีผี’ ได้?
หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร? ก็พอจะถือว่าใช่ได้อย่างถูไถ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเจียงซ่างเจินที่โยนมาให้เจิงเย่จริงๆ จากนั้นเจิงเย่ที่เดินเล่นอยู่ข้างทางก็เก็บเอามาได้
จางเย่มองสหายเก่าแวบหนึ่ง พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หางตาของหลิวจื้อเม่าเหลือบมองลูกศิษย์ใหญ่ นางยังนั่งกินขนมข้าวอย่างสบายอารมณ์อยู่เลยนะ
มารดาเถอะ ช่างเป็นเศษสวะที่ไร้หัวสมองจริงๆ
ทำเอาสกัดคงคาเจินจวินโมโหเกือบตาย เกือบจะอดไม่ไหวตบฉาดเข้าที่ใบหน้านางเสียแล้ว
อันที่จริงคำพูดเหล่านี้ของหลิวจื้อเม่าซุกซ่อนความหมายสองอย่างเอาไว้
หลิวเหล่าเฉิงเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้แค่ไม่กี่ปี แต่กลับมีความมั่นใจที่จะเดินสูงขึ้นไปอีกขั้น แสวงหาขอบเขตบินทะยานในตำนาน!
ไม่อย่างนั้นทำไมหลิวเหล่าเฉิงถึงต้องแสดงความเป็นมิตรต่อหลิวจื้อเม่าเช่นนี้ด้วย? ก็ไม่ใช่เพราะวันหน้าอยากเป็นไท่ซ่างหวงของสำนักเจินจิ้งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์หรือไร?
อีกอย่างก็คือคำว่าทางถอยของหลิวจื้อเม่า เถียนหูจวินไม่เข้าใจ แต่จางเย่แค่ชี้นำเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้งทันที พูดถึงการเปิดประตูคราวหน้าของใต้หล้าห้าสี
มีความเป็นไปได้มากว่าหลิวจื้อเม่าจะไปก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ที่นั่น! ให้ตัวเองเป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักแห่งนั้น ไม่ใช่เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่สี่ของสำนักเบื้องล่างผายลมสุนัขนี่
เรื่องนี้มีโอกาสจะเป็นไปได้จริงๆ อีกทั้งไม่ต้องฉีกหน้าแตกหักกับสำนักกุยหยกด้วย ขาดผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างไปคนหนึ่ง แต่กลับมีสหายบนภูเขาที่ได้ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าห้าสีมาคนหนึ่ง แม้จะบอกว่าการเปิดและปิดประตูคราวหน้า หากคิดจะเดินทางข้ามผ่านใต้หล้าใหญ่สองแห่ง ถ้าไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานก็ไม่มีทางทำได้ แต่เรื่องราวในใต้หล้าล้วนไม่มีอะไรที่แน่นอน ยกตัวอย่างเช่นหากหลิวจื้อเม่าโชคดีได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานจริงๆ เล่า? หรือยกตัวอย่างเช่นว่าอยู่ดีๆ ทางฝั่งของศาลบุ๋นเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน อยากจะเปิดประตูเชื่อมโยงเพื่อไปมาหาสู่กับใต้หล้าห้าสีไปอีกนาน? ก็เหมือนอย่างการแลกเปลี่ยนสินค้าตามชายแดนของราชวงศ์ในโลกมนุษย์?
เห็นได้ชัดว่าเถียนหูจวินสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของอาจารย์ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน นางอัดอั้นยิ่งนัก รู้สึกเพียงว่าชีวิตของตัวเองช่างขมขื่น แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่น้อย ทำเพียงก้มหน้ากินขนมข้าว รสชาติเหมือนกลืนเทียน
จางเย่นึกถึงเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าคนมหัศจรรย์ที่เตร็ดเตร่อยู่ในนครฉือสุ่ยมานานหลายปีผู้นั้น ทุกวันนี้ได้กลายมาเป็นแขก (ชิงเค่อ หมายถึงแขกที่ตระกูลชั้นสูงหรือตระกูลขุนนางในสมัยโบราณจะเชิญให้มากินอยู่ในบ้านเพื่อช่วยออกหัวคิดทำเรื่องต่างๆ) ในจวนหูจวินแล้ว มีความเป็นมาอย่างไร หรือจะเป็นเหมือนคำกล่าวโบราณที่เอ่ยว่า นับแต่โบราณมาคนมหัศจรรย์ส่วนใหญ่ล้วนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มอาชีพต่ำต้อยจริงๆ?”
เมื่อหลายปีก่อนนครฉือสุ่ยมีคนต่างถิ่นที่เป็นคนมหัศจรรย์ยากจะบอกได้ว่าตบะตื้นหรือลึกคนหนึ่งมาเยือน เขาสามารถเป่าขลุ่ยเหล็กได้ นิสัยประหลาด บางครั้งชอบสวมชุดสีแดงสดเหมือนลูกหลานตระกูลชั้นสูง บนศีรษะปักปิ่นดอกไม้ วางตัวเย่อหยิ่งจองหอง แต่บางครั้งกลับสวมเสื้อผ้าเก่าขาดเหมือนขอทาน เจอใครก็ขอเงินจากคนอื่นเขา หากว่ามีใครยินดีให้เงินก็จะช่วยทำนายชะตาให้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังหรือไม่ก็จะไล่ตามไปเอ่ยประโยคที่คล้ายคำทำนายให้ฟัง
หลิวจื้อเม่าหลุดหัวเราะพรืด “ก็แค่โอสถทองแก่คนหนึ่ง พอจะเป็นนรลักษณ์ศาสตร์อยู่บ้างเล็กน้อย ชอบแสร้งทำเป็นหลอกผีหลอกเจ้า หลอกพวกพ่อค้าหาบเร่ก็พอได้อยู่หรอก ภายนอกทำเป็นไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ลึกลงไปในกระดูกกลับเป็นบัณฑิตตกยากที่ชีวิตนี้เจ้ารังเกียจที่สุด พิถีพิถันว่าไม่เรื่องอะไรก็ต้องมีระบบระเบียบ หากคนข้างกายประสานมือคารวะพวกชาวไร่ชาวนาหรือคนที่เทอาจมก็จะเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘แม้แต่ใบหน้าของข้าก็ไร้แสงแล้ว’”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “คนที่เคยอ่านตำรามาแค่ไม่กี่เล่มอย่างพวกเจ้า ไม่ต้องสนใจหรอกว่าด่าตัวเองด่าคนอื่นหรือไม่ แค่พูดจาก็ทำให้คนสะอิดสะเอียนได้แล้ว”
จางเย่ดื่มเหล้าในชามหมดก็แกว่งกาเหล้า เหลือเหล้าอยู่อีกไม่มากจึงรินเหล้าชามสุดท้าย อยู่ดีๆ ก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ชีวิตคนไม่ใช่การอ่านตำราชมภาพวาด ขุนเขาตระหง่านโอฬารที่เห็นอยู่ในสายตา ไม่รู้ถึงความยากลำบากของคนที่ต้องเดินเท้าอย่างแท้จริง ก็เหมือนอย่างคำพร่ำรำพรรณถึงความทุกข์ความยากจนกลัดกลุ้ม แม้อยู่ในบทกวีจะไพเราะน่าฟัง แต่คนร่ายบทกวีกลับไม่เคยรู้ถึงรสชาติของมัน”
“เหตุผลเป็นเหตุผลเช่นนี้จริง แต่ฟังแล้วขัดหูพิกล”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้า “จางเย่ บอกตามตรงนะ เจ้าเป็นผู้ฝึกตนทำเนียบมาทั้งชีวิต ต่อให้ปีนั้นติดตามข้าสร้างเกาะชิงเสียขึ้นมาด้วยกันจนมีกิจการใหญ่โต แต่อันที่จริงเจ้าไม่เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระแม้แต่วันเดียว”
จางเย่ยิ้มย้อนถาม “แล้วเจ้าล่ะ? ทุกวันนี้กลายมาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักแห่งหนึ่งแล้ว เคยเป็นเซียนซือทำเนียบสักวันหนึ่งไหม?”
หลิวจื้อเม่าบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้
จางเย่ยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องราวนอกบ้านมีมากมาย จดจ่อแค่จอกสุราตรงหน้าไม่ดีกว่าหรือ”
หลิวจื้อเม่าชนชามเหล้ากับอีกฝ่ายเบาๆ “เจ้านี่มันพูดจาเจ้าบทเจ้ากลอนจนติดใจแล้วสินะ”
จางเย่แหงนหน้าดื่มเหล้าจนหมดแล้วถามว่า “ไม่คิดจะกลับจวนเหิงโปเกาะชิงเสียไปกินอาหารมื้อข้ามปีหรือ? หรือว่าจะอยู่เฝ้าคืนเป็นเพื่อนข้าที่นี่?”
หลิวจื้อเม่ายิ้มเอ่ย “ทำไมจะไม่ได้เล่า?”
จางเย่โบกมือ “อย่าดีกว่า ข้ายังมีอาหารมื้อข้ามปีที่ต้องกินกันอย่างจริงจัง มีพวกเจ้าสองคนมาขอกินเปล่าดื่มเปล่าด้วย คาดว่าคงไม่มีรสชาติของคืนปีใหม่แล้ว”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะ เตรียมจะลุกขึ้นจากไป
ก็จริงนะ ไม่รู้ว่าอาหารมื้อข้ามปีที่กินไปคราวก่อนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี่ปีมาแล้ว
เพียงแต่ว่าเวลานี้ตรงหน้าประตูกลับมีคนมายืนพิงประตูอย่างลึกลับ สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หลิวอันดับหนึ่งมีปณิธานสูงส่งยาวไกลเสียจริง เวลานี้ก็คิดอยากจะไปเยือนใต้หล้าห้าสีแล้ว แผนการลึกล้ำยิ่งนัก ปณิธานดีเยี่ยม แผนการยอดเยี่ยม”
จางเย่เพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็มีใบหน้าประดับยิ้มจริงใจ
ทว่าหลิวจื้อเม่ากลับเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลังในเสี้ยววินาที ทั้งกริ่งเกรงเจ้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง และยิ่งกริ่งเกรงที่คนผู้นั้นถึงกับมายืนเงียบอยู่นอกห้องได้นานขนาดนั้น
หากว่าอีกฝ่ายออกกระบี่สักทีจะไม่ใช่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องหวังแล้วหรอกหรือ?
เถียนหูจวินสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยอย่างที่มิอาจปิดบัง จิตแห่งมรรคาสั่นสะเทือนอย่างที่มิอาจควบคุมได้
แต่เพียงไม่นานหลิวจื้อเม่าก็กลับคืนมามีสีหน้าเป็นปกติ หันหน้าไปมองคนคุ้นเคยที่อยู่นอกประตู
ครั้งแรกที่พบกัน อีกฝ่ายก็เป็นแค่มดตัวน้อยที่คล้ายวิ่งวุ่นอยู่ข้างฝ่าเท้าของตน จะเหยียบให้ตายหรือไม่เหยียบล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตนเท่านั้น
ครั้งที่สองที่พบกัน อีกฝ่ายต้องเค้นสมองครุ่นคิด ใช้กลอุบายหมดสิ้น พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นบนเกาะชิงเสีย กว่าจะได้มานั่งดื่มเหล้าทัดเทียมกับตนอย่างถูไถ
ครั้งที่สามก็คือที่ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นแขก เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วกลับสามารถจูงจมูกตนเดินได้แล้ว
ส่วนวันนี้
บางทีอีกฝ่ายอาจมองผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เป็นแค่มดตัวน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น?
เด็กบ้านนอกจากตรอกเก่าโทรม นักบัญชีแห่งเกาะชิงเสีย เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว
อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงคนล่าสุด
สภาพจิตใจของเถียนหูจวินกลับแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
เพราะเรื่องที่ทำให้เถียนหูจวินกริ่งเกรงมากที่สุดไม่ใช่เรื่องราวหรือสถานะที่น่าตะลึงพรึงเพริดพวกนั้น แต่เป็น ‘เรื่องเล็ก’ ที่คาดว่าคงมีคนรู้แค่ไม่กี่คน
บุรุษชุดเขียวตรงหน้า ต่อให้ไม่พูดถึงตัวตนและวีรกรรมทั้งหมดของเขา
แต่เขาก็ยังคงเป็นคนคนหนึ่งที่สามารถตบหน้ากู้ช่านต่อหน้าต่อตาคนมากมายโดยที่กู้ช่านยังคลี่ยิ้มอย่างจริงใจให้กับเขา
หลิวจื้อเม่าลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวกลับมา กุมหมัดหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “คารวะอิ่นกวาน!”
จางเย่ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นแขกที่หาได้ยากจริงๆ คราวก่อนสำนักของพวกเราก่อตั้งก็ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ภูเขาลั่วพั่ว แต่ก็ยังไม่อาจเชิญนักบัญชีเฉินมาได้ อีกเดี๋ยวต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งชาม”
เถียนหูจวินลุกขึ้นยืน พยายามฝืนประคองจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง เอ่ยเสียงเบาว่า “คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือมากดลงบนความว่างเปล่าสองสามที ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คนทั้งห้องล้วนเป็นสหายเก่ากันแล้ว จะเกรงใจกันไปไย”
ผลคือต่อให้เป็นจางเย่ก็ยังต้องรอให้เฉินผิงอันนั่งลงก่อนถึงจะนั่งตาม นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิวอันดับหนึ่งและเถียนเซียนดินเลย
“ตอนนั้นข้าไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว จะเชิญมาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าวางมาดหรอกนะ จะวางมาดกับใครก็ไม่มีทางวางมาดกับพี่จาง”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งชามจริงๆ แล้วจึงยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก “เหล้าอีกาครวญของนครฉือสุ่ยนอกจากแพงแล้วก็ไม่มีอะไรให้พูดอีก”
——