กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 930.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบ)
จากนั้นก็ถามจางเย่เกี่ยวกับเรื่องของพรรคหลางหวน ในฐานะเจ้าขุนเขาคนหนึ่ง เฉินผิงอันจึงรับปากแทนภูเขาลั่วพั่วว่า วันหน้าขอแค่ลูกศิษย์ของพรรคหลางหวนออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก็สามารถแวะไปที่ภูเขาลั่วพั่วได้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีคุณสมบัติไม่เลว ขอแค่จางเย่ยินดีก็สามารถไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อยู่สักสองสามปีก็ไม่เป็นปัญหา ระหว่างนั้นย่อมมีคนช่วยถามหมัดป้อนหมัดให้เอง
หลิวจื้อเม่าเอ่ยอย่างจนใจว่า “เดิมทีอยากจะขอให้ใต้เท้าอิ่นกวานช่วยข้าโน้มน้าวเขาสักสองสามประโยค ตอนนี้ดูท่าคงไม่สำเร็จแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีผู้แข็งแกร่งประเภทหนึ่งที่สามารถใช้ชีวิตอย่างยากลำบากให้ผ่านไปอย่างจริงจังได้ ไม่โทษฟ้าไม่ตำหนิคน”
จางเย่โบกมือ “ก็แค่ชีวิตที่เรียบง่ายยากจน ไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องอาหารการกินอยู่ ไม่ถือว่าเป็นชีวิตที่ยากลำบากอะไรหรอก”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ทว่าหลิวจื้อเม่ากลับหัวเราะดังลั่น
จางเย่เองก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองหนึ่งประโยค ชูชามเหล้าขึ้น “เถียงเจ้าไม่ทัน ดื่มเหล้าๆ”
หลักการเหตุผลบางอย่างก็เหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง หลักการเหตุผลอีกอย่างที่มองดูคล้ายเป็นการปฏิเสธ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นแค่กระแสน้ำทางแยกของแม่น้ำสายนั้นเท่านั้น
หลังจากเถียนหูจวินหายอึ้งแล้วก็ตั้งใจครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กว่าจะขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทันใดนั้นนางก็ยิ่งรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ คล้ายกับว่ามีเพียงตนที่หัวทึบที่สุด ย่ำแย่ที่สุด
คนคนหนึ่งที่ไม่เข้าพวกมักอยู่ในสถานการณ์แค่สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ อีกหนึ่งคือไก่ในฝูงนกกระเรียน
หลิวจื้อเม่าถามหยั่งเชิง “คิดจะมาพบหูจวินท่านใหม่หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “วางใจเถอะ ไม่จำเป็นต้องให้หลิวอันดับหนึ่งช่วยแนะนำให้หรอก”
ดื่มเหล้าไปอีกชาม เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นขอตัวลา เพียงแค่ให้จางเย่ไปส่งที่หน้าประตู
จางเย่ใช้เสียงในใจเอ่ย “หากหลังจากนี้หลิวจื้อเม่าขอให้เจ้าช่วยเหลือ เห็นแก่หน้าที่ใหญ่แค่ก้นของข้า หวังว่าหากช่วยได้เจ้าจะช่วยเขาสักหน่อย แต่หากช่วยไม่ได้ก็ช่างเถิด”
สุดท้ายผู้ฝึกตนเฒ่ายังเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “อย่างน้อย อย่างน้อยก็หวังว่าเจ้าจะไม่พลิกบัญชีเก่ากับเจ้าหมอนั่น”
เฉินผิงอันยิ้มตอบกลับด้วยเสียงในใจ “เมื่อก่อนยากจะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง ไม่ใช่ว่าหลักการเหตุผลข้อนั้นเล็กไป ตอนนี้ง่ายที่จะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อเดียวกันอย่างชัดเจน ก็ไม่ใช่ว่าเพราะหลักการเหตุผลข้อนั้นใหญ่”
จางเย่ได้ยินก็เข้าใจถึงความหมายลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ พยักหน้า “คราวหน้าจะไปดื่มเหล้ากับเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าจะต้องแจ้งให้ทางภูเขาลั่วพั่วทราบก่อน ไม่ใช่ว่าข้าวางมาด แต่เป็นเพราะข้ามักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ไม่แน่เสมอไปว่าจะอยู่บนภูเขา”
จางเย่ยิ้มตอบตกลง
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าประมุขพรรคอย่างเจ้ากลับว่างงานนัก”
จางเย่หัวเราะ ทุกวันนี้แม้จะบอกว่ามีพรรคบนภูเขา แต่ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ล้วนผ่านการคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบมาก่อน บอกตามตรงว่า ในพรรคจำเป็นต้องเช่าที่ดินดีๆ ไว้กี่มากน้อย มีเรือนให้คนข้างนอกเช่ากี่หลัง ล้วนต้องให้จางเย่ตรวจสอบกับตัวเองทั้งหมด ทุกครั้งที่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว จางเย่ยังถึงขั้นยินดีจะลงนาเองด้วยซ้ำ ภาพเหตุการณ์นั้นก็เหมือนกับชาวนาผมขาวยืนตระหง่านกลางคันนาดุจนกกระยาง
แล้วก็เป็นอย่างที่จางเย่คาดการณ์ไว้จริงๆ ออกจากห้องไปได้ไม่นานเท่าไร หลิวจื้อเม่าก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “สกัดคงคาเจินจวินไปเยือนก็จะรู้ได้เอง”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีพูดมาก หลิวจื้อเม่าก็ทำอะไรไม่ได้ อันที่จริงก็แค่อยากจะลองถามดูเท่านั้นว่าตอนนี้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของที่นั่นมีเยอะหรือไม่ แน่นอนว่าหากสามารถตีสนิทกับนครบินทะยานได้สักเล็กน้อย หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ สามารถผูกบุญสัมพันธ์กับคฤหาสน์หลบร้อนที่อยู่ในนครบินทะยานได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ปรารถนามานาน ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว หากตนได้ไปที่ใต้หล้าห้าสีจริง ขอแค่ไม่ถูกอิ่นกวานหนุ่มแอบขัดขาในทางลับก็น่าจะต้องจุดธูปขอบคุณพระขอบคุณเจ้าแล้วกระมัง?
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัดคารวะ เรือนกายเปล่งวูบหายไป
หลิวจื้อเม่าจึงอำพรางเรือนกายพาเถียนหูจวินทะยานลมกลับไปที่เกาะชิงเสีย
หลุบตาลงมองทะเลสาบซูเจี่ยน เกาะแห่งหนึ่งในนั้น รอบริมน้ำมีต้นหลิวไหวพลิ้วคล้ายเอวบางของดรุณี
ส่วนจวนวารีของหูจวินท่านนั้นตั้งอยู่ในจุดลึกใต้น้ำของทะเลสาบซูเจี่ยน รากภูเขาและรากน้ำล้วนยอดเยี่ยม เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งเรียงรายติดกันซึ่ง ‘สร้างขึ้นลดหลั่นตามภูเขา’ เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่โอ่อ่าหรูหรา แต่ก็ไม่ธรรมดา
เกาะหลายแห่งที่อยู่ใกล้เคียงบนผิวน้ำ สำนักเจินจิ้งล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว บนเกาะใหญ่แห่งหนึ่งในนั้นก็ได้สร้างศาลหูจวินแห่งใหม่ขึ้นมา ถือว่าสำนักเจินจิ้งมีความจริงใจอย่างยิ่งแล้ว
เซี่ยฝานหูจวินคนใหม่กับอู๋กวานฉีที่เป็นกุนซือ เวลานี้กำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง
หูจวินมีรูปโฉมอ่อนเยาว์สวมชุดคลุมมังกรสีมรกต การกระทำเช่นนี้ไม่ถือว่าล้ำเส้น
ปัญญาชนชุดขาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขามีรูปโฉมของวัยกลางคน มือข้างหนึ่งถือพัดพับ มืออีกข้างคีบเม็ดหมาก
เซี่ยฝานวางเม็ดหมากลงบนกระดานเบาๆ ถามว่า “จะหยั่งเชิงหลิวเหล่าเฉิงอีกรอบหรือไม่?”
อู๋กวานฉีพยักหน้ารับ “แน่นอน แต่อย่าได้รีบร้อนเกินไป หนึ่งเพราะไม่มองหน้าภิกษุก็ต้องมองหน้าพระพุทธรูป เหวยอิ๋งแห่งสำนักเบื้องบนมีความห้าวหาญไม่น้อย อีกอย่างไม่ว่าอย่างไรหลิวเหล่าเฉิงก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง ทั้งยังมีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ โชคชะตาอยู่บนร่างของเขา มิอาจดูแคลนได้ หากคิดอยากจะฝ่าสถานการณ์ใหญ่ออกไปให้ได้ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้แรงมาก แค่หาจุดตัดเหมาะๆ ก็ฝ่าออกไปได้อย่างง่ายดายแล้ว”
เซี่ยฝานยิ้มเอ่ย “หลิวเหล่าเฉิงรู้กาลเทศะดียิ่งนัก ดูเหมือนว่าพวกเราจะหาโอกาสเป็นขุนนางใหม่ไฟแรงสามกองไม่ได้เลย”
ตอนที่ตนมารับตำแหน่ง หลิวเหล่าเฉิงก็เป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนถึงที่ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกโฉนดที่ดินมอบเกาะพวกนั้นมาให้
เซี่ยฝานถามต่ออีกว่า “อาจารย์อู๋มีโอกาสจะได้พูดคุยกับหลิวจื้อเม่า ดึงตัวเขามาเป็นพวกบ้างหรือไม่?”
อู๋กวานฉีส่ายหน้า “จวนหูจวินมิอาจมอบสิ่งที่หลิวจื้อเม่าต้องการได้ พวกเราก็อย่าหาเรื่องอัปยศใส่ตัวเลย จะทำให้สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นเห็นเรื่องตลกเสียเปล่า”
สถานการณ์หมากต่อจากนั้นก็เป็นเซี่ยฝานที่ต้องใช้เวลาคิดนานอยู่หลายครั้ง ทว่าอู๋กวานฉีกลับวางเม็ดหมากแต่ละเม็ดรวดเร็วราวกับบิน
เพียงแต่ว่าสองฝ่ายที่เล่นหมากล้อมกันกลับไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่งของกระดานหมากมี ‘วิญญูชนที่แท้จริง’ ที่ไม่ส่งเสียงยามดูคนอื่นเล่นหมากล้อมยืนอยู่เช่นนั้น
ชิงถงอดไม่ไหวเอ่ยเตือนอีกครั้งว่า “ทำไมถึงปล่อยให้เวลาเสียเปล่าไปเช่นนี้?”
เฉินผิงอันเพียงแค่เอาสองมือไพล่หลัง มองสถานการณ์หมากบนโต๊ะ เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ไม่รีบร้อน รอให้พวกเขารู้ผลแพ้ชนะก่อนก็แล้วกัน”
แต่ละคนต่างก็วางหมากกันอีกสิบกว่าครั้ง
เฉินผิงอันมองภาพรวมออกแล้ว เหลือบตามองพัดพับในมือของอู๋กวานฉี ก่อนหน้านี้คนผู้นี้บอกว่าเหวยอิ๋งห้าวหาญไม่น้อย อันที่จริงเขาเองก็ไม่เบาเหมือนกัน ด้านหนึ่งของหน้าพัดมีตัวอักษรแปดคำเขียนไว้ว่า
‘ท่ามกลางหมู่มวลบุปผา ข้าคือราชาบูรพา’
พริบตานั้นเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมมาเป็นระลอก อู๋กวานฉีเปิดปากพูดก่อนเซี่ยฝานผู้เป็นหูจวิน
“ใคร?!”
“ข้า”
อู๋กวานฉีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ดูท่าจะโมโหไม่เบา
กลับเป็นหูจวินเซี่ยฝานที่เจออันตรายแต่กลับไม่แตกตื่น ยังมีอารมณ์สนุกมองไปยังบุรุษชุดเขียวที่ค่อยๆ เผยตัวตนและโฉมหน้าให้เห็น
รอกระทั่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว เซี่ยฝานก็ลุกขึ้นยืนทันที ประสานมือคารวะ “เทพน้อยคารวะอิ่นกวาน”
อู๋กวานฉียิ้มบางๆ หุบพัดพับลง ก้มหน้ากุมหมัดเอ่ย “คารวะเซียนกระบี่เฉิน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน เอ่ยว่า “สถานการณ์ในตอนนี้ได้มาไม่ง่าย ขอเซี่ยหูจวินโปรดทะนุถนอมให้มาก”
เซี่ยฝานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อยู่ในตำแหน่งใดก็ทำหน้าที่นั้น คือจุดประสงค์หลักของข้า”
อันที่จริงก่อนที่เฉินผิงอันจะเผยกายก็แทบจะมั่นใจได้แล้วว่าตัวเองต้องมาเสียเที่ยว
เซี่ยฝานหูจวินคนใหม่ กุนซืออู๋กวานฉี ล้วนเป็นคนฉลาดก็จริง โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่เรียกได้ว่าความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบ
ก่อนจะมาที่นี่ อันที่จริงเฉินผิงอันไปได้เยือนที่ว่าการของกองงานต่างๆ ในจวนหูจวินมาแล้วรอบหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องเก็บเอกสารที่มีบันทึกลับเก็บไว้เยอะมาก ยกตัวอย่างเช่นเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่มาจากเกาะเหมาเยว่ที่มีชื่อติดอันดับด้วย นอกจากนี้เขาก็ยังเปิดเจอชื่อที่ตัวเองคุ้นเคยอีกไม่น้อย เรื่องของการเก็บรวบรวมรายงานข่าวเรียกได้ว่าทุ่มกำลังอย่างไม่ออมมือ อีกทั้งผลเก็บเกี่ยวที่ได้ยังอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
คือความสุดโต่งสองขั้วกับพี่ฉีไฉแห่งยอดเขาสุ่ยหลงของภูเขาตะวันเที่ยง
อีกทั้งดูจากลายมือในเอกสารพวกนั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามาจากลายมือของคนคนเดียว
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่โจวไฉ่เจินแห่งเกาะกงหลิ่วก็ยังมีบันทึกอยู่ไม่น้อย ในสมุดเล่มนั้นยังมีการคาดเดาบางอย่างของผู้เขียน ดูจากรอยน้ำหมึกบนบันทึกแล้วเป็นการเขียนเพิ่มเติมไปในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของเจียงซ่างเจิน นามแฝงโจวเฝย กับลี่ไฉเซียนกระบี่หญิงแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง บวกกับข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจัดกระจาย คนผู้นี้ก็อนุมานออกมาได้ว่าแม่นางน้อยที่เจียงซ่างเจินรักและเอ็นดูจนสามารถพูดได้ว่าเลี้ยงดูเหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองคนนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าบ้านเกิดที่แท้จริงจะเป็นอุตรกุรุทวีป
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้คิดมาก เพราะอู๋กวานฉีที่เป็นกุนซืออยู่เบื้องหลังจวนน้ำย่อมมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อให้ระมัดระวังมากแค่ไหนก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
เฉินผิงอันจะไม่รู้รากฐานของจวนวารีทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างไร มีแต่จะรู้ความจริงยิ่งกว่าหลิวจื้อเม่า ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยฝาน นอกจากจะเป็นคนที่ไทเฮาเหนียงเนียงเลือกตัวมาด้วยตัวเองแล้ว ภูมิลำเนาบ้านเกิด ประวัติในสนามรบ เขาก็ล้วนรู้อย่างชัดเจน ส่วนอู๋กวานฉี เรื่องวงในที่ภูเขาลั่วพั่วรู้กลับน้อยกว่าหน่อย ดูเหมือนว่าจะเคยดูแลรายงานข่าวภาคกลางของในทวีปให้กับราชสำนักต้าหลี ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกับหลี่เป่าเจิน
เฉินผิงอันมองไปยังอู๋กวานฉี “ในใจไม่เห็นด้วย?”
อู๋ถวานฉีให้คำกล่าวที่น่าสนใจมาก “มิกล้า”
ผลคือเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วกลับเอ่ยประโยคที่น่าสนใจยิ่งกว่า
“ข้าคิดว่าเจ้ากล้า”
อู๋กวานฉีหัวเราะหยัน “ต้าหลีของเราไม่เคยมีกรณีที่กล่าวโทษคนที่ไม่มีเจตนามาก่อน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นก็เพราะว่าตำแหน่งที่เจ้ายืนอยู่ไม่สูงมากพอ ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงกฎเกณฑ์ที่แท้จริงของศิษย์พี่ข้า ต้องรู้ว่าจุดที่ร้ายกาจที่สุดของทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศ เดิมทีก็มุ่งตรงไปที่ ‘เจตนา’ หากแม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ ก็ไม่มีทางเป็นนักบัญชีของจวนวารีหูจวินแห่งนี้ได้ดีหรอก”
อู๋กวานฉีเงียบงันไม่ตอบโต้
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่หากมีวันใดข้าไม่ทันระวังเป็นราชครูคนใหม่ของต้าหลีขึ้นมา ถึงเวลานั้นตั้งกรณีตัวอย่างมาให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้าจะทำอย่างไร จะไม่กระอักกระอ่วนยิ่งหรอกหรือ? ใบหน้าที่หล่นอยู่บนพื้นสามารถเก็บกลับมาได้ แต่คำพูดบางอย่างที่พูดออกไปแล้วจะกลืนกลับลงท้องไปได้อย่างไร ถูกไหม?”
อู๋กวานฉีทำท่าจะพูดไม่พูด ท่าทางอ่อนลงกว่าเดิมมาก
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือมากดไหล่คนผู้นี้ “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า คนหนุ่มอย่าได้ฉายประกายเฉียบคมมากเกินไป ก็เหมือนการถือโคมเดินบนถนนตอนกลางวันแสกๆ ที่จะเป็นที่ต้องสงสัยว่าโอ้อวดตัวเองนั่นแหละ ต้องหัดเรียนรู้ที่จะถือเทียนเดินท่องยามราตรี”
อู๋กวานฉีที่ถูกคนหนุ่มเรียกว่า ‘คนหนุ่ม’ สีหน้าขึงตึง คาดว่าหากยังคุยกันเช่นนี้ต่อไป สีหน้าคงเขียวคล้ำแล้ว
โชคดีที่แขกไม่ได้รับเชิญคนนั้นเอ่ยอำลาแล้วเรือนกายก็หายวับไป
จวนวารีใต้ทะเลสาบมีตราผนึกหนาชั้น แต่เขากลับมองเป็นเพียงภาพมายาว่างเปล่า
ในนครฉือสุ่ย บนถนนวานรร่ำไห้ที่ยาวหลายลี้มีร้านรวงตั้งเรียงราย
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสามสิบวันสิ้นปี ทุกร้านจึงปิดแทบทั้งหมด เฉินผิงอันมาหยุดอยู่หน้าประตูร้านแห่งหนึ่ง เขาเคยซื้อกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ที่มีชื่อว่า ‘เลียนแบบฉวีหวง’ ที่นี่
จากนั้นเดินไปอีกประมาณห้าสิบหกสิบก้าว เฉินผิงอันก็ไปนั่งลงบนขั้นบันไดระหว่างร้านค้าสองร้าน
เคยมีจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นคนหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นคนวัยกลางคนมานั่งอยู่ตรงนี้ จากนั้นก็ไปหาเรื่องใส่ตัว
ชิงถงปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง ยังคงสวมหมวกคลุมหน้ามองไม่เห็นโฉมหน้าจริงอยู่เหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าเหตุใดชิงถงถึงได้รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่คนนี้คล้ายจะเสียใจอยู่บ้าง เป็นความเสียใจที่ไม่มากไม่น้อย ไม่ถือว่าเสียใจมากสักเท่าไร
เหมือนกับผีขี้เหล้าที่น้ำลายสออยากดื่มเหล้าแต่ไม่มีเงินซื้อ ก็เลยได้แต่ปิดประตูแล้วมานั่งอัดอั้นอยู่กับตัวเอง?
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน
ชิงถงถาม “ไม่ได้จะเร่งนะ ก็แค่ถามดู ต่อจากนี้จะไปเยือนสถานที่อีกกี่แห่ง?”
เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มตอบ “ใกล้แล้ว”
เรื่องสองสามเรื่องที่ทำยามเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์พลุ่งพล่าน ดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งชามใหญ่ ขุนเขาสายน้ำโอฬารหมื่นปีไม่เสื่อมสลาย ความสง่างามอยู่ที่ใด
จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นมือกระบี่เหมือนกัน
——