กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 931.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบเอ็ด)
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 931.1 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบเอ็ด)
หลี่เซิ่งดื่มเหล้าจากร้านเหล้าไปหนึ่งชามแล้วก็ถามว่า “เอาอย่างไร?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มจนใบหน้าแก่ๆ ยับย่นเข้าด้วยกัน “โอกาสหาได้ยาก ขอให้ข้าได้แอบอู้สักหน่อยเถอะ ดื่มกันอีกสักเดี๋ยว ฮ่องเต้ไม่ควรให้กองทัพหิวโหยไม่ใช่หรือ”
ศาลบุ๋นและสวนกงเต๋อในทุกวันนี้ อันที่จริงล้วนเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ เอ่ยประโยคว่า ‘แอบอู้’ ก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ
หลี่เซิ่งลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยเตือนว่า “จำไว้ว่าอย่าทำเรื่องที่ได้คืบแล้วจะเอาศอก ศาลบุ๋นทำอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าจะไปหาเฉินผิงอัน”
มีน้อยคนนักที่จะทำให้หลี่เซิ่งยอม ‘ตักเตือน’ เพิ่มเติมเช่นนี้
เพราะถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว หลักการเหตุผลของหลี่เซิ่งก็ล้วนใช้ได้ผลเสมอ
ซิ่วไฉเฒ่าบ่น “คำพูดนี้เอ่ยได้เกินความจำเป็นแล้ว”
ยังมีคนนอกอยู่ด้วยนะ ช่วยไว้หน้าข้าหน่อยได้ไหม
หลี่เซิ่งกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเหวินเซิ่งบอกมาให้แน่ชัดหน่อยเถอะ ข้าไม่อยากให้คราวหน้าที่ศาลบุ๋นมีการประชุม ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเปิดปากขอร้องกับศาลบุ๋นก็คือช่วยอาจารย์ตัวเองเก็บกวาดเรื่องเละเทะ”
การที่จิงเซิงซีผิงเรียกตนมายังเป็นเพราะกังวลว่าซิ่วไฉเฒ่าจะวู่วาม ไม่ว่าใครก็ขวางไว้ไม่อยู่
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หลักการเหตุผลน้อยนิดแค่นี้ ข้าหรือจะไม่เข้าใจ มีเพียงหลักการเหตุผลที่ลูกศิษย์ลงมืออาจารย์ตีแผ่หมดเปลือกเท่านั้น ไหนเลยจะมีหลักการเหตุผลที่อาจารย์ลงมือลูกศิษย์เป็นคนตีแผ่หมดเปลือก”
หลี่เซิ่งเอ่ย “ดื่มเหล้าของเจ้าไปให้ดีเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าตบอกรับรอง “เหล้าดีแน่นอนว่าต้องดื่มให้ดี!”
พอหลี่เซิ่งจากไป ซิ่วไฉเฒ่าก็ยกขานั่งไขว่ห้าง ม้วนชายแขนเสื้อเตรียมจะดื่มเหล้าให้เต็มคราบ
คนหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ ก็สามารถนั่งดื่มเหล้า พูดคุยเรื่องการค้า พลิกเปิดบัญชีเก่าบนโต๊ะเดียวกันกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าที่มีอายุการฝึกตนนานนับหมื่นปีได้
คนชุดเขียวสวมงอบมีท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ เจรจาพาทีอย่างเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หย่างจื่อก็ล้วนรับฟังอย่างตั้งใจ ทั้งยังต้องใคร่ครวญให้ดี ครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา หวังว่าจะขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออกมาได้
สำหรับซิ่วไฉเฒ่าแล้ว มีกับแกล้มกินคู่กับสุราที่เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเหล้าตัวใดก็ตามในใต้หล้าก็ล้วนถือเป็นสุราดี
ซิ่วไฉเฒ่ายกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าหนึ่งอึก ดวงตาทั้งคู่พลันหรี่ลง ห่อไหล่ สยิวร่างเยือก คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
ดื่มเหล้าน่าสนใจขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ลำพังแค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวย่อมไม่มีความหมายอะไร แต่ที่น่าสนใจคือคนบนโต๊ะที่มาดื่มเหล้าและเรื่องราวนอกโต๊ะเหล้าต่างหาก
เห็นแม่นางน้อยที่เป็นแม่ย่าลำคลองเฉาชิวทำท่าจะพูดไม่พูดอยู่หลายครั้ง ซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ้มถามว่า “มีอะไรอยากถามหรือ? ถามมาได้เลย บนโต๊ะเหล้าไม่มีตำแหน่งฐานะอะไรทั้งนั้น”
เทพภูเขาผู้เฒ่าเริ่มหันมาส่งสายตาให้อีกครั้ง เตือนกานโจวว่าอย่าพูดอะไรเหลวไหล
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมากานโจวก็เป็นคนเก็บปากเก็บคำไม่ได้อยู่แล้ว “นายท่านเหวินเซิ่ง ทำไมท่านถึงไม่เห็นเหมือนภาพเหมือนที่แขวนไว้ในศาลบุ๋นสักนิดเลยล่ะเจ้าคะ?”
ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าเหวินเซิ่งได้ตำแหน่งเทพในศาลบุ๋นกลับคืนมาแล้ว นางเคยแอบดอดออกไปดูที่อำเภอมาครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าต้องไปที่ศาลบุ๋น เหวินเซิ่งที่อยู่ในภาพเหมือนคือผู้เฒ่าร่างผอมเพรียวคนหนึ่ง รูปลักษณ์สง่างาม เทียบกับผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยตัวผอมราวท่อนฟืนตรงหน้าผู้นี้แล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “นี่ต้องโทษฝีมือการวาดภาพที่ไม่ได้เรื่องของตาเฒ่าอู๋แล้ว”
แม่นางน้อยฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามอย่างใคร่รู้ “ซิ่วหู่ฉุยชาน ปีนั้นอยู่ดีๆ ทำไมถึงทรยศออกจากสายเหวินเซิ่งเล่า?”
เทพภูเขาผู้เฒ่าได้เริ่มทำการตามองจมูกจมูกมองใจแล้ว
แม้แต่หย่างจื่อก็จำต้องกระแอมหนึ่งที เตือนแม่นางน้อยว่าอย่าได้กำเริบเสิบสานเกินไปนัก
ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย มองทัศนียภาพเปลี่ยวร้างเงียบสงัดนอกร้านเหล้าที่นอกจากภูเขาแล้วก็ยังคงเป็นภูเขา สูงๆ ต่ำๆ ทับซ้อนเป็นชั้นๆ เขาเงียบไปพักใหญ่ กว่าจะคลี่ยิ้มเอ่ยเนิบช้าว่า “คนที่เป็นลูกศิษย์ถูกอาจารย์ทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง คนฉลาดมิอาจหลอกตัวเองได้ ทั้งไม่ยินดีจะพูดจาร้ายกาจกับอาจารย์ ก็ได้แต่จากไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่บอกลาสักคำ”
อะไรคือคำว่าเสียดาย ของที่มิอาจได้มาครองอีกครั้ง คนที่มิอาจได้พบเจออีกครั้ง ก็คือความเสียดาย
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจ หยิบชามเหล้าขึ้นมา ดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก “คำพูดของพวกเราทั้งสามารถกลายเป็นอุปสรรคขวางกางกั้นในพันภูเขาหมื่นสายน้ำ แล้วก็สามารถปูเส้นทางสร้างสะพาน หลิ่วโรยราบุปผาผลิบาน เป็นเหตุให้เมื่ออยู่กับคนที่ใกล้ชิดนานวันเข้าจึงไม่ควรพูดด้วยโทสะ ไม่ควรกลับคำ ไม่ควรไม่พูดจา”
กงซินโจวทอดถอนใจเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “คำกล่าวประโยคนี้ของเหวินเซิ่งคือสัจธรรมที่ไม่ว่าจะถูกกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่ปริแตกจริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะ “คือความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ของลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ข้าก็แค่ยืมเอามาใช้เท่านั้น”
กงซินโจวรีบขับเรือตามกระแสลมทันใด “มิน่าเล่าอิ่นกวานถึงกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของนายท่านเหวินเซิ่งได้”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบโบกมือปฏิเสธ “ลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอัน กว่าข้าจะหลอกเอามาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเลือกอาจารย์มากเลยล่ะ”
เทพภูเขาผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าประโยคนี้กล่าวได้ดีนัก ไม่เสียแรงที่เป็นนายท่านเหวินเซิ่งที่ไม่เคยแพ้ในการโต้วาทีของสามลัทธิ
กานโจวถามอีกว่า “ต่างก็พูดกันว่าฮ่องเต้รักบุตรคนเล็ก นายท่านเหวินเซิ่งก็เป็นเหมือนกันหรือ?”
เพราะเด็กสาวแม่ย่าลำคลองนึกถึงคนต่างถิ่นก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เห็นเหมือนบัณฑิตเลย เหมือนคนที่คลุกคลีอยู่ในยุทธภพ เป็นพวกนักเลงที่เชี่ยวชาญการทะเลาะต่อยตีเสียมากกว่า
แค่โบกมือหนึ่งที เอ่ยหนึ่งประโยคก็สามารถสยบเหมยฝู่จวินไว้ได้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เดิมทีข้าก็มีลูกศิษย์ไม่มาก ไม่ถือว่าลำเอียงรักใครเป็นพิเศษ รักกันไปคนละแบบมากกว่า”
ลูกศิษย์ของตน มีไม่กี่คนที่เป็นลูกศิษย์เข้าห้อง บวกกับพวกเหมาเสี่ยวตง แน่นอนว่าความรู้ของแต่ละคนย่อมดีเยี่ยม ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
ก่อนหน้านี้เรื่องของการถามกระบี่ก็มีเจ้าทึ่มจั่ว เรื่องถามหมัดมีจวินเชี่ยน ภายหลังคนที่เก่งด้านการวางแผนมีชุยฉาน คนที่เก่งด้านการแก้ไขสถานการณ์มีฉีจิ้งชุน
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายซึ่งเสี่ยวฉีรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้รวบรวมความถนัดของเหล่าศิษย์พี่แต่ละคนเอาไว้ แน่นอนว่าตอนนี้อาจจะยังห่างชั้นอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร กลับคู่ควรให้รอคอยอย่างยิ่งแล้ว
พูดถึงแค่ทุกวันนี้ มีใครไหมที่ได้เจอเฉินผิงอันแล้วถามอย่างคลางแคลงว่าเจ้าก็คือลูกศิษย์ของใครๆๆ? ใครจะถามอย่างกังขาว่าเจ้าก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่า?
พวกลูกศิษย์ทำได้ดีมาก ยอดเยี่ยมมาก คนเป็นอาจารย์นอกจากจะปลาบปลื้มแล้วยังรู้สึกละอายใจด้วย
กานโจวรู้สึกว่านายท่านเหวินเซิ่งพูดไปตามมารยาท แค่พูดปัดๆ ให้ผ่านไปเท่านั้น ไม่ค่อยตรงไปตรงมาสักเท่าไร แม่นางน้อยจึงดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น
ซินไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม มองไปยังทิวทัศน์เปลี่ยวเหงานอกร้าน โดยทั่วไปแล้วทัศนียภาพจะมีอารมณ์อยู่สองอย่าง ก็คือท่วงทำนองสองอย่าง นี่ก็คงเป็นเหมือนใจคนและการฝึกตนแล้ว ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลอย่างเจ้าจะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ย่อมไม่มีใจเช่นนี้ไม่มีความคิดเช่นนี้ ใจแข็งปานหิน ไม่มีอิสระ ไม่น่าเศร้าหรอกหรือ
เก้าทวีปของไพศาล มองคนตายเหมือนยังมีชีวิต ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมการฝังศพ นภากาศกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่เหนือหัวของสรรพชีวิตก็คงจะเป็นสุสานน้ำแห่งหนึ่งแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่กง ขอให้ข้ายืมอ่านตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้นหน่อยได้ไหม?”
กงซินโจวรีบหยิบตำราตราประทับเล่มนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อยื่นส่งให้เหวินเซิ่ง เอ่ยอย่างตระหนกลน “มิคู่ควร มิคู่ควรกับคำเรียกขานว่าพี่ใหญ่”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยสัพยอก “มีอะไรให้ไม่คู่ควรกันเล่า ข้าก็ถูกคนเรียกว่าเฒ่าบ่อยๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือ” (คำว่าเฒ่า ภาษาจีนคือคำว่าเหล่า คำว่าพี่ใหญ่ใช้คำว่าเหล่าเกอ)
กงซินโจวพยักหน้าเหมือนโขลกกระเทียม ใบหน้าแดงก่ำ พูดจาสะเปะสะปะ “เทพน้อยได้รับเกียรติเช่นนี้ รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าพลางเปิดหน้าหนังสือไปด้วย เพียงไม่นานก็เปิดมาถึงหน้าสุดท้าย เห็นตราประทับนั้นของเฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างเข้าใจ คืนตำราตราประทับให้กับกงซินโจว “เก็บรักษาไว้ให้ดีๆ วันหน้าเมื่อพี่ใหญ่กงได้เลื่อนขั้นขุนนางแล้วก็สามารถเอาอย่างเหมยเฮ้อที่บุกเบิกจวน ตามกฎแล้วสามารถขอของสิ่งหนึ่งจากสำนักศึกษาในท้องถิ่นของพวกเจ้าได้ หากจะถามข้า ตำราอริยะปราชญ์ที่มาจากศาลบุ๋นพวกนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นของไม่มีชีวิต ไยพี่ใหญ่กงต้องสละใกล้ไปแสวงหาสิ่งที่อยู่ไกลตัวด้วยเล่า…”
กงซินโจวเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เทพน้อยจะต้องบูชาไว้เป็นอย่างดี ให้เป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขา”
ซิ่วไฉเฒ่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ดื่มเหล้าไปสองชาม ความคิดถึงได้พรั่งพรูราวกับสายน้ำมิอาจเก็บกลั้นไว้ได้แล้ว มองไปทางศาลเทพภูเขาที่อยู่บนภูเขาของกงซินโจว เอ่ยสองประโยคออกมาอย่างเนิบช้าว่า
ภูเขาดีบ้านใครกัน ข้ายินดีเป็นเพื่อนบ้าน กลิ่นอายภูเขารั้งตะวันรอน นกบินเคียงคู่กลับคืนรัง ขุนเขาตระหง่านโอฬาร เชิญท่านร่วมชมทัศนียภาพด้วยกัน
ขุนเขาสูงดุจกำแพงตั้งสูงเด่น ตะวันจันทราไต่เหนือยอดเขา พงไพรเขียวสูงทะลุนภากาศ เอื้อมมือเหมือนจะคว้าตะวันจันทรามาไว้ครอง ดุจค้ำประคองฟ้าดินให้คนดู เปิดด่านฟ้าด่านสวรรค์ให้แก่ข้า
เทวรูปเทพภูเขาปั้นดินลงสีที่อยู่ในศาลพลันมีแสงสีทองเปล่งประกายพร่างพราว กงซินโจวที่อยู่ในร้านเหล้ารีบลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะเหวินเซิ่ง ประหนึ่งได้รับโองการ
นี่ก็คือปากอมกฎสวรรค์ของอริยะผู้มีคุณธรรมของศาลบุ๋นแล้ว
หากอยู่ในสามทวีปที่ซิ่วไฉเฒ่าผสานมรรคาด้วย แค่ประโยคเดียวก็สามารถยกระดับตำแหน่งเทพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำให้สูงขึ้น พริบตาเดียวก็ยกระดับขั้นในทำเนียบหยกทองได้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ารีบยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “อย่าได้เกรงใจ แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ยกระดับความสูงให้กับเทวรูปของพี่ใหญ่กงเสียหน่อย ข้าก็แค่เอ่ยถ้อยคำไพเราะไม่กี่ประโยค เป็นเรื่องเล็กที่มอบผลประโยชน์ให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียหายอะไร”
เพราะถึงอย่างไรทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เป็นรากฐานการผสานมรรคาของหย่าเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าไม่สะดวกจะทำอะไรล้ำเส้น
ซิ่วไฉเฒ่ามองแม่ย่าลำคลองเฉาชิวที่มีแค่ความรู้สึกดีใจแทนเทพภูเขาเฒ่า ไม่ได้มีความอิจฉาหรือริษยา ซิ่วไฉเฒ่าก็แอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง แล้วจึงเหล่ตามองไปยังหย่างจื่อ
หย่างจื่อเข้าใจความนัยโดยพลัน ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ข้ายินดีรับกานโจวเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ จะช่วยถ่ายทอดวิชาน้ำให้นางหลายๆ บท”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ในซากปรักเตาหลอมโอสถของมรรคาจารย์เต๋า กลับมีแม่ย่าลำคลองคนหนึ่งที่ได้ครอบครองคันฉ่องงูรัดหนึ่งบาน ทั้งยังอยู่ร่วมกับเจ้าหย่างจื่อมานาน หากว่านี่ยังไม่ถือเป็นโชควาสนา แล้วแบบไหนจึงจะถือว่าเป็นโชควาสนา ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเตือนเจ้าเรื่องนี้ คาดว่าเจ้าคงยังรู้สึกลำบากใจ ไม่เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังนัก เจ้าไม่เคยได้ยินประโยคที่บอกว่า ‘วัตถุมีรากและปลาย เรื่องราวมีเริ่มต้นและจุดจบ’ หรอกหรือ? เจ้าไม่ลองคิดดูเล่าว่าทำไมหลี่เซิ่งถึงได้จับเจ้ามาขังไว้ที่นี่ แต่กลับไม่จำกัดอิสระของเจ้ามากเกินไป นี่เพราะอะไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ก็วาดวงกลมวงหนึ่งลงบนโต๊ะ “หยินหยางตัดสลับเหมือนวงกลมหลายวง เรื่องราวและบุคคลโคจรเป็นวงเหมือนงูขดตัว หลายปีมานี้เจ้าเอาแต่โทษคนบ่นฟ้า จิตแห่งมรรคาหม่นหมอง แต่กลับไม่รู้ว่าหลี่เซิ่งมอบความหวังดีที่ไม่เล็กให้กับเจ้า เขาหวังว่าเจ้าที่อยู่ที่นี่จะได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ เดินไปบนเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง ไม่ได้อยู่บนเส้นทางของเวทคาถาแต่อยู่บนเส้นทางของจิตแห่งมรรคา เดินไปบนทางที่กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม นั่นต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของโอกาสอย่างแท้จริง ไม่ต้องเอาแต่อาศัยของนอกกายมาเป็นเส้นทางในการฝ่าทะลุขอบเขตอีกต่อไป เจ้าเคยคิดเรื่องหนึ่งอย่างละเอียดมาก่อนหรือไม่ ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของเปลี่ยวร้างอย่างพวกเจ้า ทำไมเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนบนยอดเขาของสามใต้หล้าที่เหลือแล้ว เนื่องจากเกิดมาก็มีอายุขัยยาวนาน เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็ง่ายดาย ทว่าถึงเวลากลับเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ยากขนาดนี้ ปมของปัญหาอยู่ที่ใด?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “หนึ่งเพราะต้องชดใช้หนี้ นอกจากนี้ก็เพราะพวกเจ้าหลอมร่างมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือนมนุษย์ ในเรื่องนี้หลิวชากลับทำได้ดีกว่าพวกเจ้ามากนัก พวกเจ้าต่างก็คิดว่าเพราะเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ได้รับเงื่อนไขที่พิเศษ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ เพราะจิตแห่งมรรคาของหลิวชาไม่ต่างจากมนุษย์มานานแล้วต่างหาก”
หย่างจื่อถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ลุกขึ้นยอบกายคารวะซิ่วไฉเฒ่า นางซาบซึ้งในคำชี้แนะของอีกฝ่ายจากใจจริง “ขอบคุณเหวินเซิ่งที่ช่วยชี้แนะ”
อันที่จริงราชาบนบัลลังก์เก่าผู้นี้กลับโล่งใจมากกว่า ในที่สุดก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้วว่าตนที่อยู่ในซากปรักเตาหลอมโอสถแห่งนี้จู่ๆ วันใดวันหนึ่งจะถูกใครบางคนจับ ‘หลอม’
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ข้าก็แค่ช่วยชี้ทิศทางให้เจ้าเท่านั้น การฝึกตนต่อจากนี้ก็ยังไม่ง่ายอยู่เหมือนเดิม เห็นแก่สุรานี้ ไม่สู้ข้าบอกเจ้าอีกประโยค ลงแรงกับแค่สองคำว่า ‘ฝืน’ ของฝืนนิสัย และคำว่า ‘ขัดเกลา’ ของขัดเกลาจิตแห่งมรรคาก็พอ”
หย่างจื่อคล้ายได้กินยาสงบใจเม็ดใหญ่เท่าฟ้าไปเม็ดหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าพูดกับตนด้วยสีหน้าเป็นมิตรเช่นนี้ คิดดูแล้ววันหน้าอยู่ที่ศาลบุ๋นก็ไม่เท่ากับว่าตนมียันต์คุ้มกันกายเพิ่มมาอีกแผ่นหนึ่งหรอกหรือ?
หลายปีมานี้หย่างจื่อขายเหล้าอยู่ที่นี่ ก็เหมือนอยู่ในดินแดนที่เกิดภัยแล้ง รสชาติที่ต้องรอคอยให้ฝนตกลงมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ได้ดีสักเท่าไร
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมหย่างจื่อถึงยินดีทำการค้ากับเฉินผิงอัน ขอแค่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ก็เท่ากับว่าได้ผูกบุญสัมพันธ์กับสายเหวินเซิ่งแล้ว
——