กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 931.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบเอ็ด)
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 931.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบเอ็ด)
และการปกป้องคนกันเองของสายเหวินเซิ่งก็เป็นเรื่องที่หลายๆ ใต้หล้าต่างรู้กันชัดเจนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ซิ่วไฉเฒ่ารักและเอ็นดูจนถึงขั้นที่ไร้ขื่อไร้แปแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของซิ่วไฉเฒ่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือศิษย์น้องเล็กที่พวก ‘ตัวประหลาด’ ทั้งหลายมีร่วมกัน
เนื่องจากหย่างจื่อรู้ชัดเจนดีว่า เกี่ยวกับสภาพการณ์ของตัวเองในเวลานี้ ในบรรดาอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋น หรือแม้กระทั่งในกลุ่มเจ้าลัทธิหลักรองทั้งสามท่านของศาลบุ๋น ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครที่ไม่มีความเห็นต่าง หากไม่เป็นเพราะหลี่เซิ่งเปิดปาก พูดถึงแค่รองเจ้าลัทธิที่ร่วมมือกับหลิ่วชีดักจับตนบนมหาสมุทร ก็คงลงมือสังหารตนทิ้งไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
คาดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะยิ้มตาหยีเอ่ยตามมาอีกว่า “ยังคงเป็นประโยคนั้น ทำดีมีความชอบ ทำชั่วมีความผิด ดีๆ เลวๆ ล้วนต้องชดใช้ พูดถึงแค่การแก้ไขความชั่วชดใช้ความผิดนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่อนคลายไปกว่าการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ แนะนำเจ้าว่าควรเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตมาโทษว่าข้าหลอกเจ้าลงคลอง ข้าคนนี้ถูกคนด่า แต่ไหนแต่ไรมาก็มีนิสัยดีๆ อย่างการปล่อยให้น้ำลายบนใบหน้าแห้งไปเองเสมอ มีเพียงอย่างเดียวที่รับไม่ได้ก็คือ ความหวังดีและการทำดีของคนบนโลกที่เดินอยู่บนวิถีทางถูกผู้แข็งแกร่งผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลลากไปเหยียบย่ำอยู่ในโคลนตมตามใจชอบ ขอแค่ข้าได้เห็นเข้า ไฟโทสะของข้าก็มักจะผุดพุ่ง และพอข้ามีไฟโทสะ เจ้าก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเอง อย่าว่าแต่หลี่เซิ่งเลย ต่อให้เป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่มาขอร้องแทนเจ้าก็ไม่มีประโยชน์”
ถึงอย่างไรหลี่เซิ่งก็ไม่อยู่ ตาเฒ่าก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ข้าดื่มเหล้าเมาแล้วพูดจาภาษาคนเมาสักสองสามประโยคจะเป็นไรไป
หย่างจื่อได้ยินถ้อยคำข่มขู่ที่ตรงไปตรงมาอย่างไม่ต้องสงสัยนี้ นางก็ไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่กล้าหงุดหงิดด้วย ไม่ว่าอย่างไร เหวินเซิ่งก็ยังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ได้กลับคืนสู่ระบบของศาลบุ๋นแล้ว
นางเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง รินเหล้าให้ซิ่วไฉเฒ่าเต็มชามอีกครั้ง ซิ่วไฉเฒ่าขอบคุณนาง จากนั้นยิ้มเอ่ยว่า “นอกจากจะขายเหล้าและอ่านตำราเบ็ดเตล็ดแล้วยังควรอ่านตำราที่เป็นการเป็นงานให้มากหน่อย อย่าให้ตัวเองกลายเป็นคนไม่มีความรู้”
หย่างจื่อยังจะทำอย่างไรได้อีก ได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ชิงถงทิ้งตำราเบ็ดเตล็ดกองใหญ่เอาไว้ให้นางใช้อ่านฆ่าเวลาจริงๆ
แม่ย่าลำคลองเฉาชิวอึ้งตะลึง นายท่านเหวินเซิ่งไม่ได้พูดกระทบกระเทียบข้าอยู่หรอกหรือ? นับแต่เด็กมาข้าก็รู้สึกว่าการอ่านหนังสือน่าเบื่อนี่นา เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเลย นายท่านเหวินเซิ่งท่านโทษข้า แล้วข้าจะไปโทษใครเล่า
กงซินโจวเห็นสีหน้าของกานโจวก็กังวลว่านางจะเข้าใจนายท่านเหวินเซิ่งผิดไป จึงรีบพูดคล้อยตามทันที “สาวงามแสนดีเป็นที่หมายปองของบุรุษ เมื่อภายในดีงามภายนอกก็งดงามตามไปด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้เรื่องของการอ่านหนังสือสามารถเพิ่มความงามให้กับสตรีได้ แน่นอนว่าต้องอ่านตำราอริยะปราชญ์ นี่เรียกว่านิสัยอ่อนโยนดุจหยกขาว ผ่านไฟเผากี่คราก็มิแปรเปลี่ยน บทความดุจเสียงสายพิณ ยิ่งดีดยิ่งนุ่มลึก ดังนั้นในบทหนึ่งของตำรา ‘ว่าด้วยจารีต’ ของนายท่านเหวินเซิ่งที่บอกว่า ‘บทขับร้องในชิงเมี่ยว หนึ่งคนร้องสามคนรับ’ แม้แต่คนหูหนวกก็ยังได้ยิน เพราะดังก้องมาจากส่วนลึกภายใน สอดคล้องอยู่ไกลๆ กับประโยคของนายท่านหลี่เซิ่งที่บอกว่า ‘เสียงพิณในชิงเมี่ยว กังวานก้องไกล’ คำว่าบทกวีขับร้องของปัญญาชนในทุกวันนี้ ไหนเลยจะเทียบเคียงได้ อยู่ห่างชั้นกันไกลนัก”
หย่างจื่อฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว คำโบราณกล่าวไว้ว่าฟังท่านบรรยายหนึ่งครั้งถ้อยคำมากกว่าการอ่านตำราสิบปี แต่ได้ฟังเทพภูเขากงผู้นี้เทกระเป๋าตำราร่ายบทความแล้วรู้สึกเสียวฟันจริงๆ ฟังเขาบรรยายหนึ่งครั้ง ตำราสิบปีที่อ่านมานับว่าเสียเปล่า
ซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ยิ้มเอ่ยว่า “อยากพ้นไปจากสามแดน ไม่อยู่ในห้าธาตุ ก็แค่อ่านตำราเท่านั้น อยากเดินขึ้นหอสูงอีกชั้น ในสายตาไม่มีสามแดนห้าธาตุ ก็มีเพียงอ่านตำราหมดสิ้นแล้ว ไม่เหลืออุปสรรคทางตัวอักษรอีกแล้ว”
เด็กสาวฟังด้วยความมึนงง เทพภูเขาผู้เฒ่ากำลังคิดว่าควรจะพูดประจบตามไปอย่างไร มีเพียงหย่างจื่อที่สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดทันใด
ซิ่วไฉเฒ่าคิดว่าจะดื่มเหล้าที่ร้านนี้สามชามแล้วก็จะกลับศาลบุ๋น ดังนั้นชามสุดท้ายที่อยู่ในมือนี้เขาจึงดื่มช้าลงแล้ว
บนโลกมีการพบพรากจากลาที่ทั้งรีบร้อนทั้งขมขื่น พบเจอกันครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งก็แก่ชราแล้ว
ประวัติศาสตร์ก็เหมือนกระถางไฟใบหนึ่งที่บรรจุขี้เถ้าซึ่งยังเหลือไอร้อนเอาไว้จนเต็ม
ขี้เถ้าทั้งหมดล้วนเป็นคนที่จากไปแล้วซึ่งถูกลืมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ส่วนสะเก็ดไฟเหล่านั้นก็คือร่องรอยที่คนซึ่งจากไปได้ทิ้งไว้ในฟ้าดิน
ยกตัวอย่างเช่นตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลงานที่สืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าของเหล่าอริยะปราชญ์ วลีบทกวีของป๋ายเหย่ซูจื่อ ภาพแขวนในศาลบรรพจารย์บนภูเขาทั้งหลาย อักษรแกะสลักบนหน้าผา บนป้ายศิลาระหว่างขุนเขาสายน้ำใหญ่ ชื่อบนป้ายหินหน้าหลุมศพที่มีลูกหลานมาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพทุกปี…ร้อยปีพันปีให้หลัง ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเรื่องราวเก่าก่อนเป็นคนโบราณที่ถูกคนรุ่นหลังพูดถึงจากปากคิดถึงจากใจ
อยู่ดีๆ หย่างจื่อก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “เหวินเซิ่งรับลูกศิษย์ที่ดีมา”
“คำพูดไร้สาระแบบนี้…”
ซิ่วไฉเฒ่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง กระดกดื่มเหล้าในชามจนหมด “ต่อให้ต้องฟังอีกหมื่นรอบก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย”
ธรรมชาติมิยาวนาน สหายนั่งกันเต็มห้องโถงต้องจากลาเหมือนสายน้ำ
แขกในโถงวันนี้มือไวปานสายฟ้า ขับภูเขาไล่สายน้ำมิเปลืองแรง
ความสัมพันธ์เก่าก่อนยังไล่ตามได้ทัน ลมภูเขาพัดกระโชกกลับมิอาจไขว่คว้า
ใครหนอสวมชุดเขียวขี่กระบี่กลางเมฆา หลุบตามองห้ามหาบรรพตบนปฐพี
……
ภาคกลางของใบถงทวีป ในหอสยบปีศาจเบื้องใต้ต้นอู๋ถง
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิประหนึ่งในอยู่ในเรือนแห่งใจ ปล่อยจิตเดินทางไกลนับพันหมื่นลี้ในดินแดนแห่งความฝัน
ร่างจริงและจิตหยินของชิงถงก็ได้ติดตามเข้าไปในความฝันของอิ่นกวานหนุ่ม เดินท่องไปทั่วหล้า มีเพียงผู้เฒ่าร่างกำยำที่เป็นจิตหยางกายนอกกายเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิมด้วยความอกสั่นขวัญผวา
เพราะเสี่ยวโม่ผู้นั้นถึงกับเผยร่างที่อยู่ในสภาวะขั้นสูงสุดอีกครั้ง รวบรวมกายธรรมที่ล่องลอยให้เป็นร่างของคนชุดขาวผมขาวสูงจั้งกว่า เปลือยเท้าถือกระบี่ จ้องมองจิตหยางของชิงถงอยู่อย่างนั้น บางครั้งก็เหลือบมองต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า
วางท่าชัดเจนว่าไม่เชื่อใจชิงถง ขอแค่มีความผิดปกติสักเล็กน้อยเกิดขึ้น ผู้ฝึกกระบี่ขั้นสูงสุดผู้นี้ก็จะฟันต้นอู๋ถงให้หักโค่นทันที
ผู้เฒ่าร่างกำยำเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นพันธมิตรกันแล้ว ยังทำท่าเหมือนป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น มันต้องถึงขั้นนี้เลยหรือ?”
เสี่ยวโม่วางกระบี่พาดไว้ตรงหน้า สองนิ้วลูบแสงกระบี่ที่บริสุทธิ์ ยิ้มบางๆ ถามว่า “ทุกวันนี้เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่อยู่ที่ใด?”
ชิงถงส่ายหน้า “หลังจากการถามกระบี่ท่ามกลางสายฝนครานั้น เผยหมิ่นก็หายตัวไป”
ไม่รู้ว่าเหตุใด เสี่ยวโม่ถึงมักจะรู้สึกว่าในหอสยบปีศาจที่ไร้ผู้คนมีบางอย่างแปลกๆ
เพียงแต่ว่าเขาแบ่งดวงจิตไปตรวจตราทุกซอกทุกมุมของสิ่งปลูกสร้างที่กว้างใหญ่แห่งนี้หลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่พบร่องรอยความผิดปกติแม้แต่น้อย
เสี่ยวโม่ถาม “ม้วนภาพสิบสองภาพที่เจ้าตั้งใจจัดหามา ล้วนเป็นโจวจื่อที่จัดการเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ส่วนเจ้าก็แค่ทำตามเท่านั้น?”
ชิงถงเงียบไม่ตอบ
เสี่ยวโม่ถามอีกว่า “แล้วโจวจื่อรับ ‘กระดาษคำตอบ’ สิบสองแผ่นนั้นกลับไปอย่างไร?”
ชิงถงยังคงไม่เอ่ยอะไร
สายตาของเสี่ยวโม่เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา “ข้าถามเจ้า อย่าแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ต้องให้ข้าถามกระบี่กับเจ้าก่อนถึงจะยอมพูดหรือไร?”
ชิงถงไม่กล้าทำตัวเป็นคนใบ้อีก พูดด้วยสีหน้าจนใจว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าโจวจื่อคิดอะไรอยู่ แล้วในอนาคตเขาจะทำอะไรอีก เขาคือโจวจื่อนะ! โจวจื่อไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทั่วไปเสียหน่อย!”
คำกล่าวที่ชิงถงให้การประเมินโจวจื่อนี้แทบจะเรียกได้ว่าสูงเทียมฟ้าแล้ว
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้า เดิมทีก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ อันที่จริงจะเอาอะไรมาพูดว่า ‘ทั่วไป’? แต่เป็นเพราะโจวจื่อที่คนคนเดียวยึดครองแผ่นดินของสำนักหยินหยางไปเพียงลำพังผู้นี้ประหลาดเกินไปจริงๆ
ชิงถงพึมพำเสียงเบาต่อไปว่า “ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเราพูดถึงชื่อของโจวจื่อก็คือเสียงที่ดังก้องทั่วฟ้าดินอย่างหนึ่งจนไปเข้าหูโจวจื่อนานแล้วก็ได้ สามารถมองเมินปราการกั้นขวางหนาหนักระหว่างฟ้าดินไปได้เลย”
เรื่องของการหลบเลี่ยง ราชวงศ์ล่างภูเขาบางแห่งไม่เพียงแต่ต้องหลบเลี่ยงที่จะเอ่ยนามของฮ่องเต้ในตำรา ยังต้องหลบเลี่ยงการเอ่ยชื่อและนามของผู้อาวุโสในตระกูลด้วย ทว่าบนภูเขามีผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาอยู่แค่หยิบมือเท่านั้นที่ถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
หากผู้ฝึกลมปราณเอ่ยเรียกชื่อใครสักคนอย่างมุทะลุก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเห็นผลทันตา ผู้ฝึกลมปราณที่เอ่ยวาจาไร้ความยำเกรง ยิ่งขอบเขตสูงมากเท่าไรก็ดูเหมือนว่า ‘เสียงจะยิ่งดังมากเท่านั้น’ ความเป็นไปได้ที่จิตของอีกฝ่ายจะรับสัมผัสได้จะยิ่งมีสูง
และเวลานี้เอง เฉินผิงอันที่ดวงจิตยังคงจมจ่อมอยู่ในดินแดนแห่งความฝันยังคงไม่ได้ลืมตา แค่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตั้งแต่แรกเริ่มข้าก็จงใจทำให้โจวจื่อเก็บกระดาษคำตอบไปได้อย่างสะดวก เสี่ยวโม่ ยังจำตอนที่พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไหมว่าสหายชิงถงเอ่ยว่าอะไร?”
เสี่ยวโม่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน
ก่อนที่ชิงถงผู้นี้จะจัดวางม้วนภาพ แรกเริ่มก็ได้ถามเฉินผิงอันว่า ‘เคยได้ยินคำทำนายประโยคหนึ่งของโจวจื่อมาก่อนหรือไม่’
ทว่านับตั้งแต่นาทีนั้นมาก็เหมือนฟ้าดินได้แผ่ปูออกไป
เหมือนการสอบเคอจวี่ครั้งหนึ่งที่ชิงถงเป็นแค่ขุนนางผู้ตรวจกระดาษข้อสอบในสนามสอบ คนที่ตั้งคำถามข้อสอบและขุนนางผู้ตัดสินซึ่งดำเนินการสอบอย่างแท้จริงล้วนเป็นโจวจื่อ
คำถามของข้อสอบก็คือคำทำนายประโยคนั้นของโจวจื่อ
ดังนั้นเมื่อย้อนมองดูประโยคที่ไขคำถามของเฉินผิงอันก็เท่ากับว่าเป็นการจรดพู่กันเขียนลงบนกระดาษคำตอบไปนานแล้วเช่นกัน
ก็คืออาศัยประโยคนั้นของเจิ้งจวีจงที่บอกว่า ‘ก็แค่ไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง’
นี่หมายความว่า จะคิดเป็นจริงเป็นจังหรือไม่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้าโจวจื่อ
ในฟ้าดินสิบสองแห่งต่อจากนั้น คำพูดและการกระทำทั้งหลายของเฉินผิงอัน จิตแห่งมรรคาที่มีขึ้นมีลง สรุปแล้วออกมาจากเจตจำนงเดิมของเฉินผิงอันหรือไม่ คือจริงหรือเท็จ ก็เหมือนว่าเฉินผิงอันกำลังย้อนถามโจวจื่ออยู่
ในเมื่อคุณชายบ้านตนสัมผัสได้นานแล้ว แล้วก็มีวิธีรับมือ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวโม่ก็ไม่คิดจะเป็นคนเขลาเบาปัญญาที่ได้แต่เป็นทุกข์อีกแล้ว
อีกทั้งการที่ชิงถงพูดขึ้นมาเองก็พอจะถือว่าเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ที่ทำการล้อมคอกเมื่อวัวหายครั้งหนึ่งได้
เสี่ยวโม่เพียงแค่ใช้สายตามองคนปัญญาอ่อนมองชิงถง
ชิงถงอึ้งงันไปทันใด ก็ได้ ข้าคือคนปัญญาอ่อน
เพียงแต่เจ้าเสี่ยวโม่ดีกว่าข้าสักเท่าไรกันเชียว?
เสี่ยวโม่หัวเราะ
ไม่บังเอิญเลย ข้าคือผู้ฝึกกระบี่
การคิดเรื่องต่างๆ และการแก้ไขปริศนาไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด แต่หากจะพูดถึงเรื่องถามกระบี่ฟันคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนับข้าไปด้วยคนหนึ่ง
ในระเบียงชั้นบนสุดของห้องแห่งหนึ่งในหอสยบปีศาจ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยืนพิงราวรั้วอยู่กับนักพรตฉุนหยาง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองฝ่ายจะใช้สถานะและสายตาของคนในอดีตมามองเรื่องราวในอนาคต เสี่ยวโม่ในเวลานี้จึงมิอาจค้นพบตัวพวกเขา
นักพรตวัยกลางคนที่ถูกเฉินผิงอันเรียกด้วยความเคารพว่าหลวี่จู่ถือแส้สะพายกระบี่ เห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็เอ่ยชมชมเชยว่า “สหายสี่จู๋ผู้นี้ มีการรับสัมผัสที่เฉียบไวมาก”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้า “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดพวกนี้ ไม่มีใครสักคนที่กินหญ้า”
รอกระทั่งฉุนหยางเจินเหรินได้ยินประโยคนั้นของเฉินผิงอันก็พลันรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก อดพูดอย่างสะท้อนใจไม่ได้ว่า “ประหนึ่งมนุษย์ธรรมดาที่เดินวนเวียนอยู่ตามขุนเขาตระหง่านโอฬารในวันที่ฝนและหิมะตก หากไม่ทันระวังเท้าลื่นไถลก็จะพลัดตกจากหน้าผา ร่างกายแหลกยับไม่เหลือชิ้นดี ประลองปัญญาปัดแข้งปัดขากับโจวจื่อเช่นนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวของโค่วหมิงที่ว่า ‘เมื่อปล่อยไปตามธรรมชาติ ย่อมตระหนักและเข้าใจได้ตามธรรมชาติ’ แน่นอนว่าสามารถมองเป็นประโยคของซิ่วไฉเฒ่าที่บอกว่า ‘ผู้ที่รู้ตัวเองไม่โทษคน ผู้ที่รู้ชะตากรรมไม่บ่นฟ้า’ ก็ได้เหมือนกัน หากจะพูดให้ตรงไปตรงมาอีกหน่อยก็หนีไม่พ้นว่าแดดส่องสูงตากผ้า ฝนตกออกจากบ้านเก็บผ้า แต่หากว่า…ลืมแล้ว ลืมไปแล้ว”
ฉุนหยางเจินเหรินไม่อยากให้ประโยคนี้ทอดยาวออกไปจริงๆ จึงถือโอกาสนี้ขอความรู้เกี่ยวกับรากฐานความรู้ของสามลัทธิจากปรมาจารย์มหาปราชญ์เพิ่มเติมอีกหน่อย
แต่ดูเหมือนปรมาจารย์มหาปราชญ์จะไม่อยากคุยเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการยิ้มถามแล้วว่า “เจ้าเดินทางท่องอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวมานาน ไม่เคยแอบไปฟังการถ่ายทอดมรรคาของโค่วหมิงที่นครอวี้หวงบ้างเลยหรือ?”
ระหว่างที่สายตาพร่าเลือนยังพอจะมีมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีนักพรตคนหนึ่งดื่มเหล้าเพียงลำพังอยู่ใต้ต้นอู๋ถง ลมเย็นแดดอ่อนจาง สหายเก่าไม่มา ยืนรอจนเงาต้นอู๋ถงลาลับ
เกาเจินผู้บรรลุมรรคาที่มีรูปโฉมเป็นวัยกลางคนผู้นี้สมกับคำกล่าวที่ว่า ‘ต้นไม้หยกรับลม ต้นไม้ใหญ่เรียกลม’ อย่างยิ่ง
นักพรตฉุนหยางยิ้มเอ่ย “เคยไปฟังมาสามครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนมีเจ้าลัทธิลู่อยู่เป็นเพื่อนด้วย”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “เพราะตอนนั้นลู่เฉินคาดการณ์ถึงเรื่องราวในอนาคตได้นานแล้ว ยังกังวลว่าอนาคตเมื่อเจ้าหวนกลับมายังไพศาลจะแบ่งเอาปราณเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวและของป๋ายอวี้จิงไปมากเกินไป”
นักพรตฉุนหยางกล่าว “หากว่าลู่เฉินไม่เคยจากไป อย่างน้อยก็สามารถเพิ่มภูเขามังกรพยัคฆ์อีกครึ่งแห่งให้กับใต้หล้าไพศาลได้”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ “ได้มาคือความโชคดีของข้า เสียไปคือชะตาของข้า บุปผาที่ไปเบ่งบานนอกกำแพงก็ถือว่าได้เบ่งบานเหมือนกัน”
นักพรตฉุนหยางถอนหายใจ “จิตแห่งมรรคาของลู่เฉินยากจะคาดเดา มีเพียงกับศิษย์พี่ที่เป็นเจ้าลัทธิผู้นี้เท่านั้นที่เขาชื่นชอบมากเป็นพิเศษ”
หากอิงตามคำกล่าวของลู่เฉินในปีนั้นคือ อาจารย์ของเขา มรรคกถาเป็นธรรมชาติ แทบจะใกล้หนึ่งแล้ว มรรคกถาสูงมากเท่าไร ความสามารถในการต่อสู้ก็มากเท่านั้น
——