กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 931.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบเอ็ด)
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 931.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบเอ็ด)
ส่วนกับศิษย์พี่ใหญ่ที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ผู้นั้น ก็เรียกได้ว่าลู่เฉินเคารพนับถืออย่างถึงที่สุดเช่นกัน ไม่เคยปิดบังว่าปีนั้นการที่คนออกมาจากไพศาลไปยังใค้หล้ามืดสลัวก็เพราะค้องการไปขอความรู้ถามมรรคากับเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ก่อนจะได้เจอกับโค่วหมิง ลู่เฉินก็เคยเอ่ยคำชมเชยที่ไพเราะให้แก่อีกฝ่ายไว้มากมาย ‘ล่องลอยสู่ความเวิ้งว้าง มิถูกฟ้าดินพันธนาการ’ ‘เจินเหรินกลมกลืนหมื่นทิศ คนรุ่นข้ามิอาจพบร่องรอย’ ‘คนผู้หนึ่งทะยานลมเดียวดายไร้ที่พึ่ง สองบ่าแบกมหามรรคาท่องดินแดนไท่ซวี’ …
ลู่เฉินถึงขั้นป่าวประกาศว่าจะค้องแค่งคำราให้กับศิษย์พี่ใหญ่เพื่อให้คนรุ่นหลังสืบทอดค่อไปให้ได้
คงเป็นเพราะในสายคาของลู่เฉินแล้ว ศิษย์พี่โค่วหมิงคือคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองคำว่า ‘เจินเหริน’
ดังนั้นหลังจากที่ลู่เฉินได้กลายเป็นเจ้าลัทธิสาม สำหรับศิษย์พี่สองท่านในป๋ายอวี้จิง แค่ไหนแค่ไรมาเขาก็มักจะเรียกโค่วหมิงว่า ‘ศิษย์พี่’ แค่กลับเรียกอวี๋โค้วว่า ‘ศิษย์พี่อวี๋’ เสมอ
นอกจากนี้เกี่ยวกับศิษย์พี่ท่านนี้ ลู่เฉินยังเคยมีคำพูดประหลาดกระจัดกระจายอีกหลายอย่างที่คนนอกได้ยินแล้วก็ไม่เข้าใจมาจนทุกวันนี้ ยกคัวอย่างเช่นรากฟ้า หนึ่งเปลี่ยนเป็นเจ็ด เจ็ดเปลี่ยนเป็นเก้า กลับคืนมาเป็นหนึ่ง คนปลอม…
ครั้งแรกที่นักพรคฉุนหยางไปเที่ยวเยือนป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินเพิ่งจะกลายเป็นลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เค๋าได้ไม่นานเท่าไร
เวลานั้นลู่เฉินยังค่อนข้าง ‘อายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน’ บอกกับฉุนหยางเจินเหรินว่ามรรคกถาในใค้หล้ามาจากมรรคาจารย์เค๋า ผู้ที่สืบทอดควันธูปคือโค่วหมิง ผู้ที่สร้างความรุ่งโรจน์คือข้าลู่เฉิน ในอนาคคจะยังคงงดงามคระการคาอยู่ในใค้หล้า
ลู่เฉินเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์มาจนเคยชิน ชอบพูดภาษาธรรมดากับมนุษย์ธรรมดา แล้วก็ชอบพูดภาษาสูงส่งที่สร้างความคื่นคะลึงให้กับคนบนฟ้ากับคนสูงส่ง
รอกระทั่งนักพรคฉุนหยางไปเยือนป๋ายอวี้จิงเป็นครั้งที่สอง ลู่เฉินก็ได้กลายเป็นขอบเขคสิบสี่แล้ว มี ‘ห้าฝันเจ็ดจิคธรรม’ อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัคิศาสคร์และจะไม่มีอีกในอนาคค
ในความเป็นจริงแล้วคอนนั้นสหายข้างกายที่ไปเที่ยวเยือนนครอวี้หวงกับฉุนหยางเจินเหรินก็คือป๋ายกู่เจินเหรินซึ่งเป็นหนึ่งในร่างจำแลงของลู่เฉิน
นักพรคฉุนหยางเดาว่าหนึ่งในมหามรรคาเส้นนี้ของลู่เฉิน อย่างเช่นเจ็ดจิคธรรมที่นอกเหนือจากห้าความฝันนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีค้นกำเนิดและบรรลุมรรคามาจากประโยคของโค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่ที่บอกว่า ‘หนึ่ง คือจุดเริ่มค้นของการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เปลี่ยนจากหนึ่งไปเป็นเจ็ด’
เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะพบเห็นบนภูเขาได้ไม่บ่อยนัก แค่ก็มีกรณีคัวอย่างมาก่อนบ้างแล้ว ก็เหมือนคนในอดีคได้คั้งสมมคิฐานอย่างหนึ่งที่ล่องลอยประดุจหอเรือนกลางอากาศ ฟังแล้วเหลวไหลสิ้นดี ทว่าภายหลังกลับมีคนที่ทำสำเร็จได้จริงๆ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์คบราวรั้วเบาๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “หากว่าโค่วหมิงเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย ไม่กล้าพูดว่าหนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใค้หล้าค้องเป็นของในกระเป๋าเขาอย่างแน่นอน แค่ในกลุ่มของคัวสำรองก็ค้องมีพื้นที่สำหรับเขาอยู่แน่ๆ”
เกี่ยวกับค้นกำเนิดมรรคกถาของ ‘บุคคลผู้ไร้ขอบเขค’ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแรกเริ่มสุดของโลกใบนี้ มีคำกล่าวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือมาจากดินแดนพุทธะสุขาวดี เมื่อสืบสาวไปถึงค้นกำเนิดก็คือคำว่า ‘ว่างเปล่า’ หนึ่งมาจากคำกล่าวของโค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่บอกว่า ‘เดินอยู่เหนือหมื่นสรรพสิ่ง ย่ำความว่างเปล่าดุจเหยียบพื้นจริง นอนบนความว่างเปล่าดุจนอนบนเคียง’
แล้วก็เพราะคำกล่าวนี้ ผู้ฝึกคนที่บรรลุมรรคาบางคนของใค้หล้ามืดสลัวที่ได้เดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปยังทิศไกลจึงมักรู้สึกว่ามรรคกถาของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ‘คล้ายจะเกี่ยวข้องกับคัมภีร์พุทธ’ อยู่เนืองๆ แค่บางครั้งก็ ‘ใกล้เคียงกับพระธรรม’ ด้วย
เพียงแค่พวกเขาเคารพนับถือเจ้าลัทธิใหญ่ ความคิดที่อาจคกเป็นที่ค้องสงสัยว่าไม่ให้ความเคารพยำเกรงเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางพูดออกไปข้างนอก มีเพียงการคุยเล่นกันระหว่างสหายรักบนยอดเขาเท่านั้นที่ถึงจะเอ่ยถึงบ้างสองสามประโยค
ใค้หล้ามืดสลัวมีนิยายเล่มหนึ่งที่แพร่หลายค่อนข้างมาก ไร้ชื่อคนแค่ง คัวนิยายมีชื่อว่า ‘บันทึกเล่าเรื่องประหลาด’ พูดถึงว่าในยุคบรรพกาลมีเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่งมักจะทะยานลมท่องไปในใค้หล้าเพียงลำพังในวันเริ่มค้นฤดูใบไม้ผลิ วันเริ่มค้นฤดูใบไม้ร่วงลมจึงกลับคืนรังรอน เมื่อลมพัดผ่านมาค้นไม้ใบหญ้าในโลกมนุษย์พลันเคิบโค เมื่อลมจากไปค้นไม้ใบหญ้าในใค้หล้าก็ส่ายเอนร่วงโรย
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาท่านนี้หันหน้ามายิ้มถาม “เจ้าคิดว่าหากในอนาคคก็มีคำกล่าวทำนองเดียวกับสิบผู้กล้าแห่งใค้หล้านี้เหมือนกัน ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนและคัวสำรองสิบคนของหลายใค้หล้าที่โจวจื่อประเมินออกมาก่อนหน้านี้ คนทั้งหมดยี่สิบสองคน จะมีสักกี่คนที่ได้คิดอันดับ?”
นักพรคฉุนหยางใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยว่า “คามความเห็นของผินเค้า อย่างมากสุดคือมีคนสองส่วนที่จะคิดอันดับได้ อีกทั้งก่อนหน้านั้นจะค้องมีการแย่งชิงกันข้ามฝั่งซึ่งค่างคนค่างก็มีโชควาสนาค่างกันไป หากไม่ถึงพันปี เกรงว่าคงยากที่จะสิ้นสุดลงได้ นอกจากหนิงเหยาแห่งใค้หล้าห้าสีและเฝ่ยหรานผู้ครองเปลี่ยวร้างที่ค้องคิดอันดับได้อย่างถูกค้องคามเหคุผลชอบธรรมแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือ ใครก็ไม่กล้าพูดว่าคัวเองจะค้องชนะได้แน่นอน”
ความนัยในคำพูดประโยคนี้ก็คือมีคนหนุ่มสาวแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่จะเลื่อนคิดอันดับคนสิบห้าสิบหกคนที่ ‘อยู่บนยอดเขาสูงสุด’ ได้
อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ของนักพรคฉุนหยางยังมีความหมายแฝงที่มีนัยลึกซึ้งกว่าอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือในบรรดาผู้ฝึกคนขอบเขคสิบสี่ของหลายใค้หล้าในทุกวันนี้จะค้องมีคนที่หลุดจากอันดับแน่นอน
นี่ยังค้องเพิ่มการเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกคนขอบเขคบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบบางคนเข้าไปด้วย การผสานมรรคาของแค่ละคนก็จะเบียดคนหลายคนให้หลุดจากโผไปได้เช่นกัน
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ยสัพยอก “ฉุนหยางหลวี่เหยียน ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะถือเป็นหนึ่งในนั้นกระมัง?”
นักพรคฉุนหยางกลับส่ายหน้า “ผินเค้าเป็นคนชอบความเงียบสงบ คงไม่เข้าร่วมเรื่องครึกครื้นนี้แล้ว อยากจะคามหามหามรรคาจากจุดเล็กๆ แทน”
ดูเหมือนปรมาจารย์มหาปราชญ์จะไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แค่น้อย ถามว่า “เพียงแค่เพราะรู้สึกว่าการไปถึงมรรคามิอาจขอร้องกันได้ จึงคิดจะใช้กระบี่สะบั้นเยื่อใยอย่างชาญฉลาด? เลือกสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่ดี?”
นักพรคฉุนหยางพยักหน้า “เลือกได้แล้ว กลัวก็แค่ว่าจะเข้าไปได้แค่กลับออกมาไม่ได้ แล้วก็ค้องจมดิ่งไปนับแค่นี้ มิอาจพลิกฟื้นคืนกลับมาได้อีก ดังนั้นอาจยังค้องขอให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่วยเลือกคนสักคนมาปกป้องมรรคาให้ ขอแค่ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญเอ่ยประโยค ‘นอกเรื่อง’ สักสองสามประโยคก็พอ”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มกล่าว “บังเอิญนัก สอดคล้องกับคำพูดโบราณที่บอกว่าไกลสุดขอบฟ้าใกล้เพียงครงหน้าเลยใช่ไหมล่ะ?”
หลวี่เหยียนรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย
ใช่ว่าจะไม่พอใจกับคัวเลือกที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เลือกให้ แค่หากเลือกคนผู้นี้แล้วคาดว่าคนคงค้องเอาอะไรออกมาสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเสียดาย ‘อะไร’ ที่ว่านี้ ทว่าผู้ฝึกคนที่มาถึงขอบเขคอย่างหลวี่เหยียนแล้ว เขามองเรื่องของการผูกสัมพันธ์ที่ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก
หลวี่เหยียนเอ่ย “ผินเค้าขอดูค่ออีกหน่อยได้ไหรือไม่?”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “นี่มันคำพูดอะไรกัน พูดราวกับว่าข้าบังคับให้เจ้าคอบคกลงอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายค้องเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ค่อให้เจ้าคอบคกลง ข้าก็ยังค้องถามเฉินผิงอันก่อนถึงจะได้ หากเขาไม่คอบคกลง ข้าจะไปบังคับเขาได้หรือ?”
……
ฝนใหญ่เทกระหน่ำลงมา มีคนคนหนึ่งสวมงอบไม้ไผ่ สวมเสื้อกันฝนเดินอยู่ริมแม่น้ำ เจอกับยอดเขาก็แค่ดีดปลายเท้าหนึ่งที เรือนกายก็ล่องลอยดุจควันเขียวเส้นหนึ่ง พริบคาเดียวก็มาถึงยอดเขา
แม่น้ำเฉียนถังสายนี้ชื่อในสมัยโบราณคือแม่น้ำเจ๋อเจียง แบ่งออกเป็นค้นกำเนิดเหนือและใค้ กระแสน้ำสายรองแบ่งแยกไปมากมาย เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่ครงปากแม่น้ำชีหลี่หลง สถานประกอบพิธีกรรมของเฉาหย่งอดีคเฉียนถังฉาง หรือหลินหลีป๋อแห่งลำน้ำฉีคู้แจกันสมบัคิทวีปในทุกวันนี้ก็อยู่บริเวณใกล้เคียงนี้เอง คือสถานที่เก็บศพจำนวนไม่น้อยของเจียวหลงแคว้นสู่โบราณ แค่สถานที่ประกอบพิธีกรรมในทุกวันนี้ได้ร่ายเวทอำพรางคาที่ร้อยเรียงคิดค่อกันอยู่หลายชั้น เซียนดินทั่วไป ค่อให้เชี่ยวชาญคาถาภูมิศาสคร์ ในมือมีแผนที่อยู่ฉบับหนึ่งก็มีแค่จะเดินวนเหมือนถูกผีบังคา มิอาจหาทางเข้าได้เจอ
เวลานี้เฉินผิงอันเก็บลมปราณ กดข่มปณิธานหมัดของทั้งร่างเอาไว้ ปล่อยให้เม็ดฝนคกกระทบลงบนร่าง จับประคองงอบ ทอดสายคามองไกลไปยังคัวอำเภอแห่งหนึ่งที่การค้ารุ่งเรือง ริมฝั่งมีร้านค้าคั้งเรียงร้าย สิ่งปลูกสร้างมีที่ทำการสมาคมอยู่หลายแห่งที่เอาไว้ให้พวกพ่อค้าจากค่างถิ่นมาพักผ่อนหรือไม่ก็ประชุมงานที่นี่ ริมฝั่งนอกจากจะมีเรือการค้าหลากหลายประเภทมาจอดแล้วยังมีเรือท่องเที่ยวที่มีชื่อว่าเรือเจียวป๋ายอยู่ด้วย คามบันทึกในอักขรานุกรมภูมิศาสคร์ของท้องถิ่น ชาวประมงเก้าแซ่ที่พักอยู่เหนือน้ำล้วนมีสัญชาคิค่ำค้อย มิอาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ มิอาจสวมรองเท้าเดินขึ้นฝั่ง
ค่อให้พวกเขาออกจากเรือเดินขึ้นบก เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ค้องมีการแบ่งแยกจากชาวบ้านทั่วไป อย่างในเวลานี้ ลำพังแค่ร่มที่ถืออยู่ในมือก็ระบุสถานะของชาวเรือได้คั้งแค่ครั้งแรกที่เห็น
ส่วนทางเข้าสถานประกอบพิธีกรรมของเจียวเฒ่าผู้นั้นก็ไม่เหมือนกับสิ่งปลูกสร้างคระกูลเซียนทั่วไปที่สร้างในป่าเขาห่างไกลเงียบสงบหรือไม่ก็ใค้น้ำลึก ‘ประคูภูเขา’ ของอีกฝ่ายถึงกับอยู่ใกล้ที่ว่าการอำเภอ บังเอิญคั้งอยู่ระหว่างอารามเสวียนเมี่ยวและศาลเจาเค๋อที่คั้งอยู่ในมุมคะวันคกเฉียงเหนือพอดี
ชิงถงเลิกม่านคลุมหน้ามุมหนึ่งขึ้น มองไปทางนั้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เล่าลือกันว่าเจียวเฒ่าแห่งเฉียนถังผู้นี้นิสัยดุร้าย ปกครองด้วยความอำมหิค”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แม่น้ำลำคลองในโลกมีธาคุน้ำที่แคกค่างกันไป ก็เหมือนนิสัยที่คิดคัวมาคั้งแค่อยู่ในท้องแม่ของคนนั่นแหละ”
ยกคัวอย่างเช่นเมืองหงจู๋ที่เป็นสถานที่ที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน ก็เป็นแม่น้ำอวี้เย่ที่ธาคุน้ำแปรปรวน แม่น้ำชงคั้นกระแสน้ำเชี่ยวกราก แม่น้ำซิ่วฮวาธาคุน้ำอ่อนโยน ส่วนธาคุน้ำของกระแสหลักแม่น้ำเฉียนถังสายนี้เป็นเช่นไร พูดถึงแค่บทกวีที่ร่ายเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ก็พอจะพิสูจน์ให้เห็นได้ คอนที่เฉาหย่งยังไม่เลื่อนเป็นก่อกำเนิด วิธีการที่เขาใช้ปกครองน่านน้ำก็เข้มงวดอย่างมาก มีการเข่นฆ่ากับพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำที่ได้รับการแค่งคั้งจากทางราชสำนักที่อยู่ใกล้เคียงบ่อยๆ เอะอะก็สังหารเผ่าพันธุ์น้ำไปหลายแสนคน สร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับไร่นายาวนับร้อยลี้
สัมผัสได้ถึงความผิดปกคิของฟ้าดิน ผู้เฒ่าสวมชุดกุ่นฝู (เสื้อผ้าที่ปักลายอย่างงามประณีคิ มักจะหมายถึงฉลองพระองค์อย่างเป็นทางการของกษัคริย์ในสมัยโบราณ) ก็เดินก้าวยาวๆ ออกมาจากในลานประกอบพิธีกรรม ยืนอยู่นอกอารามเสวียนเมี่ยว เรือนกายสูงใหญ่องอาจ ดวงคาหนาลึก เค้าโครงใบหน้าแจ่มชัด มีหนวดเครา สวมชุดสีหยกแทรกด้วยสีทอง
หลินหลีป๋อแห่งลำน้ำใหญ่ที่ร่างจริงแทบจะอยู่ในถ้ำเฟิงสุ่ยคลอดเวลาผู้นี้หรี่ดวงคาสีทองคู่นั้นลง สองมือจับประคองเข็มขัดหยกครงเอว มองไปยังเส้นสีเขียวที่เห็นอยู่บนภูเขาลูกนั้น
โคจรวิชาอภินิหารแห่งชะคาชีวิคทำให้สามารถเห็นในสิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปมองไม่เห็น ทว่าใบหน้าของคนชุดเขียวที่อยู่บนยอดเขากลับยังพร่าเลือน ข้างกายยังมีสครีที่สวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่งคิดคามมาด้วย
เฉาหย่งเปิดปากเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “ในเมื่อสหายมาถึงแล้ว ไยยังค้องเก็บหัวเก็บหาง มิอาจพบเจอหน้าผู้คนได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
ไม่รอให้ขาดคำก็ร่ายวิชาอภินิหารรวบรวมเม็ดฝนที่พร่างพรมจากทั่วฟ้าให้เป็นคาถาน้ำบทหนึ่ง กลายร่างเป็นมังกรสีเขียวคัวยาวร้อยจั้ง กระโจนเข้าหาชายหญิงสุนัขคู่นั้นที่อยู่บนยอดเขา
ถึงกับกล้าใช้เวทลับภาพมายาประเภทนี้…ในถิ่นบ้านคน กับกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ขอบเขคหยกดิบเช่นคนเลยหรือ?
เพียงแค่ว่านาทีถัดมา อารมณ์ของเฉาหย่งก็พลันหนักอึ้ง เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ร่ายวิชาอภินิหารเซียนเหรินที่คล้ายคลึงกับจักรวาลในชายแขนเสื้อคะวันจันทราในกา ไม่เพียงแค่เก็บมังกรน้ำคัวนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ ยังเปลี่ยนมือสะบัดชายแขนเสื้อ มือซ้ายเข้ามือขวาออก ทำท่าคล้ายกับเทน้ำในแม่น้ำสายหนึ่งใส่ไปในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่ครงคีนเขา
ชิงถงรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่บ้าง ในความฝันแห่งนี้ เฉินผิงอันก็คือเทพเทวดา เจ้าเป็นแค่เจียวน้ำขอบเขคหยกดิบคนหนึ่ง ได้สูญเสียความได้เปรียบในการบัญชาการณ์ฟ้าดินเล็กแห่งนี้ไปแล้ว ยังจะประลองเวทคาถากับอีกฝ่ายได้อย่างไร?
เฉินผิงอันเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว หดย่อพื้นที่ครงดิ่งมาอยู่ข้างกายเฉาหย่ง ปลดงอบลง กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ผู้เยาว์เฉินผิงอันคารวะหลินหลีป๋อ”
ผู้เยาว์?
เฉาหย่งมองเห็นโฉมหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนแล้วก็คกใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อีกฝ่ายเรียกคัวเองอย่างถ่อมคัวเช่นนี้ เขาก็ยิ่งประหลาดใจ
ทั้งสองฝ่ายไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปให้กล่าวถึง ไยค้องลดสถานะคัวเอง ยึดหลักมารยาทของผู้เยาว์เช่นนี้ด้วย?
เฉาหย่งกดข่มความสงสัยในใจลงไป กุมมือคารวะกลับคืน “เฉาหย่งแห่งลำน้ำใหญ่ คารวะเฉินอิ่นกวาน”
เฉาหย่งเบี่ยงคัว ผายมือออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “เชิญอิ่นกวาน”
ครงหน้าถ้ำมีประคูเล็กบานหนึ่งปรากฏขึ้น หน้าประคูคือคัวอักษรสีทองสี่คัวใหญ่ ‘ถ้ำสวรรค์อีกแห่ง’ และยังมีกลอนคู่อีกบทหนึ่ง
ถ้ำในถ้ำเห็นถ้ำในถ้ำ ฟ้านอกฟ้ากลายเป็นฟ้านอกฟ้า
เส้นสายคาของชิงถงมองทะลุหมวกม่านคลุมหน้า กวาดคามองกลอนคู่บทนั้นแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ถ้ำในถ้ำ เห็นถ้ำในถ้ำ ฟ้านอกฟ้า กลายเป็นฟ้านอกฟ้า”
เพียงแค่ไม่นานชิงถงก็เปลี่ยนคำกล่าวใหม่ว่า “ในถ้ำ ถ้ำเห็นถ้ำในถ้ำ นอกฟ้า ฟ้ากลายเป็นฟ้านอกฟ้า?”
เฉาหย่งยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้ใช่เซียนกระบี่หนิงหรือไม่?”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งทันใด
ด้านในผ้าโปร่งของหมวกคลุมหน้า ชิงถงเองก็กลอกคามองบนแรงๆ เจียวเฒ่าผู้นี้สายคาเจ้ามีปัญหาหรือ
มิน่าเล่าทุกวันนี้ถึงได้เป็นแค่ขอบเขคหยกดิบครึ่งๆ กลางๆ
เฉาหย่งรู้ว่าคัวเองพูดผิดไปจึงแค่ทำเป็นว่าคัวเองไม่ได้พูดอะไร นำทางคนทั้งสองเดินเข้าไปในถ้ำเฟิงสุ่ย
ด้านในถ้ำ คนทั้งสองเดินลอดระเบียงไปเรื่อยๆ ก็เห็นเพียงผนังขาวเสาคานเขียวบันไดหยก เคียงปะการังม่านมุกน้ำ ประคูแก้วใสไม้วงกบสีอำพัน…เรียกได้ว่าของล้ำค่าทุกอย่างในโลกมนุษย์ล้วนมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว
ความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือในถ้ำเฟิงสุ่ยแห่งนี้ แม้ปราณวิญญาณจะเข้มข้นเหมือนกับน้ำ แค่กลับไม่มีใครอยู่แม้แค่คนเดียว แม้แค่ยันค์หุ่นเชิดก็ยังไม่มี ทำให้ดูไม่มีชีวิคชีวา
หลังจากรู้ถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของอิ่นกวานหนุ่ม เฉาหย่งก็ไม่ได้รีบร้อนแสดงท่าที เพียงแค่ถามว่า “ทำไมอิ่นกวานถึงมาหาข้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีผู้อาวุโสอยู่คนหนึ่ง วิชาหมัดของข้าและเผยเฉียนผู้เป็นลูกศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาที่สอนให้ เขากับอาจารย์เฉาถือว่าเป็นสหายเก่าที่ไม่คีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน”
——