กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 932.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (บน)
แคว้นหวงถิง ในอำเภอเล็กแห่งหนึ่ง อำเภอมีชื่อว่าสุ้ยอัน สุ้ยที่แปลว่าสมปรารถนา อันคือสงบสุขปลอดภัย อยู่ใต้อาณัติของจังหวังเหยียนโจว และจังหวัดเหยียนโจวนี้ก็เป็นสถานที่ที่ได้เปรียบทางการด้านการศึกษา มีจ้วงหยวนและจิ้นซื่อมากที่สุดในแคว้นหวงถิง อำเภอแห่งนี้ไม่มีทางหลวง แต่มีปัญญาชนอยู่มากมาย ก่อนที่เฉินผิงอันจะเข้ามาในอำเภอก็สามารถมองเห็นเจดีย์เหวินชางที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งได้แล้ว
นับแต่โบราณมาสถานที่ที่ขนบธรรมเนียมฝ่ายบุ๋นรุ่งโรจน์ก็มักจะเป็นเช่นนี้ ยังไม่เห็นเมืองก็เห็นเจดีย์เหวินชางก่อนแล้ว
ชิงถงแผ่พลังจิตออกไปตรวจสอบในอำเภอแห่งนี้พักหนึ่ง ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือน หากจะบอกว่าเป็นเพราะ ‘ต่อให้น้ำไม่ลึก แต่เมื่อมีมังกรก็ศักดิ์สิทธิ์’ ทว่าด้วยขอบเขตและสายตาของชิงถง ตามหลักแล้วก็ควรจะมองเบาะแสออกบ้างถึงจะถูก เพียงแต่ว่าลำธารลำคลองโดยรอบอำเภอเหมือนจะไม่มีแม่ย่าลำคลองอยู่แม้แต่คนเดียว อำเภอแห่งหนึ่ง ปราณวิญญาณเบาบางอย่างถึงที่สุด โชคชะตาบู๊ก็ยิ่งเจือจางจนน่าอนาถ สามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง ส่วนโชคชะตาบุ๋นกลับมีลางเป็นกลุ่มๆ เป็นเส้นๆ เพียงแต่ว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย ส่วนใหญ่คือการสืบทอดที่ทอดยาวมาจากบุญกุศลที่บรรพบุรุษสร้างไว้ มาจากซุ้มประตูหินบางแห่ง รวมไปถึงกรอบป้ายหน้าศาลบรรพชนของพวกที่เป็นคำว่า ‘จิ้นซื่อจี๋ตี้’ เสียมากกว่า ในตระกูลคนยากจนของตรอกเก่าโทรมก็มีอยู่บ้าง ชิงถงยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าตัวเองจะตาไม่ดี มีพวกผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตยอดเขาหรือไม่ก็พวกอริยะผู้มีคุณธรรมที่ไม่เผยตัวบนโลกมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ จึงจงใจปิดบังความลับสวรรค์ส่วนนี้เอาไว้อย่างนั้นหรือ?
ชิงถงจึงอดไม่ไหวถามว่า “คราวนี้พวกเราจะมาหาใคร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่ได้มาหาใคร แค่แวะมาดูเฉยๆ รอให้เรื่องสำนักเบื้องล่างของใบถงทวีปสิ้นสุดลงแล้ว ข้ากลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว ในอนาคตจะมาอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน…ก็ไม่ถือว่านานเท่าไร ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการขานชื่อเข้าเวรของที่ว่าการมากกว่า ก็คือจะมาเปิดโรงเรียนสอนเด็กเล็กสักแห่ง”
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันยืมใช้มรรคกถาของลู่เฉินชั่วคราวทำให้อยู่ในสถานะของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ ในระหว่างการเดินทางไกลครั้งนั้นเขาก็ได้หมายตาที่แห่งนี้ เดิมทีแคว้นหวงถิงก็อยู่ติดกับอาณาเขตของต้าหลีเก่า ไม่ไกลไม่ใกล้จากภูเขาลั่วพั่ว เขาจึงคิดว่าในอนาคตจะมาเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่นี่
ชิงถงนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “โรงเรียนสอนเด็กเล็ก?! เปิดโรงเรียนสอนหนังสือ เป็นอาจารย์?”
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันที่ยังไม่มียศตำแหน่งอยู่ในศาลบุ๋นกำลังจะได้ดูแลหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ทำหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา หรือถึงขั้นไม่ได้เป็นรองเจ้าขุนเขา ชิงถงก็คงไม่ถึงขั้นตื่นตะลึงถึงเพียงนี้
เฉินผิงอันพยักหน้า “ด้วยความรู้น้อยนิดนี้ของข้า น้ำหมึกมีแค่ครึ่งถัง แน่นอนว่าต้องเป็นได้แค่อาจารย์สอนหนังสือของเด็กเล็กเท่านั้น”
ชิงถงหรือจะเชื่อคำพูดประโยคนี้ของเฉินผิงอัน รีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าทันใด รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ตอนที่ตนสอดส่ายพลังจิตออกไปสำรวจต้องพลาดร่องรอยอะไรไปเป็นแน่ จึงเป็นเหตุให้หาความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของที่แห่งนี้ไม่เจอ ทันใดนั้นอำเภอสุ้ยอันทั้งแห่งก็ถูกดวงจิตเมล็ดงาของชิงถงปกคลุมไว้ภายใน ที่ว่าการ ศาล บ้านเรือน ตรอกซอกซอย ร้านรวงทั้งหลาย แม้แต่ก้นบ่อน้ำเก่าๆ ก็ยังไม่ปล่อยผ่าน เพียงแต่ว่ายังคงหาอะไรไม่เจอ เพียงไม่กี่ชั่วพริบตาผ่านไป ชิงถงยังไม่ถอดใจ ไล่ตรวจตราภูเขาและกระแสน้ำไหลทั้งหลายนอกอำเภอไปอีกรอบ มองดูเส้นทางไปมาของภูเขาและธารน้ำอย่างละเอียด สุดท้ายก็เก็บพลังจิตกลับมา ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหมายตาตัวอ่อนผู้ฝึกตนคนใดที่อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัดไว้หรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “หากเจ้าอยู่กับศิษย์พี่ชุยของข้าจะต้องได้ดิบได้ดีมากแน่นอน”
ชิงถงฟังความนัยในประโยคนี้ออก คือกำลังบอกว่าหากไม่มีผลประโยชน์ตนก็ไม่ยอมตื่นเช้าสินะ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พาชิงถงเดินเท้าเข้าไปในอำเภอ ทั้งสองฝ่ายเหมือนเดินเข้ามาในดินแดนไร้ผู้คน
บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ เพราะเป็นวันสิ้นปี ต่อให้ร้านที่อยู่สองข้างทางต่างปิดหมด แต่กระนั้นก็ยังคึกคักจอแจ
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ผ่านมายังที่แห่งนี้ เคยได้เปิดอ่านอักขรานุกรมของที่ว่าการอำเภออยู่หลายเล่ม ร้อยกว่าปีแล้วที่ไม่มีจิ้นซื่อปรากฎตัว เหมือนเป็นปีแห้งแล้งที่ได้ผลเก็บเกี่ยวมาน้อย”
ชิงถงถึงนึกขึ้นได้ว่าในม้วนภาพมายาสิบสองภาพนั้น อิ่นกวานหนุ่มที่มาจากสายเหวินเซิ่งผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับระบบของการสอบเคอจวี่อย่างมาก
หรือคิดจะปิดบังชื่อแซ่มาเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ วันๆ คลุกคลีตีโมงอยู่กับเด็กน้อยสวมกางเกงเปิดก้น ขี้มูกไหลย้อยจริงๆ?
เจ้าสำนักของสำนักสองแห่งผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่ง คิดจะเสียเวลาหลายปีหรืออาจถึงขั้นหลายสิบปีเพียงเพื่ออบรมปลูกฝังนายท่านจิ้นซื่อคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันพูดกับตัวเองว่า “นามแฝงคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ชื่อว่าโต้วอี้”
ชิงถงถาม “คือคำว่าอี้จากในประโยค ‘ชาวประชามีธัญพืช ใต้หล้าก็สงบสุข’ ของบทอี้จี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันคล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง ร้องเอ๊ะหนึ่งที “คิดไม่ถึงว่าความรู้ของสหายชิงถงก็ไม่ตื้นเขินเหมือนกัน”
ชิงถงมุมปากกระตุก “อิ่นกวานชมเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เกินหรือไม่เกินไม่รู้ แต่คำชมนี้เป็นของจริง”
พอชิงถงคิดถึงประโยค ‘ล้วนสำคัญ’ ที่อิ่นกวานหนุ่มเอ่ยกับเฉินเจินหรงที่ชายฝั่งของชีหลี่หลงก่อนหน้านี้ก็ปลอบใจตัวเองว่า เทียบกับบนไม่พอ เทียบกับล่างมากเหลือแหล่
ชิงถงถามยิ้ม “หากใต้เท้าอิ่นกวานลงแรงกับการสอบเคอจวี่ จะสามารถสอบติดอันดับหนึ่งสามครั้งรวดเลยหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “สอบติดสามครั้งรวด? เรื่องที่แม้แต่จะคิดก็ไม่ต้องคิด หากว่าอยู่ในราชวงศ์ต้าหลี อย่าว่าแต่สามอันดับของขั้นที่หนึ่งเลย ข้าคิดจะสอบติดเป็นจิ้นซื่อขั้นสองก็ยังยาก แต่หากจะพูดถึงแคว้นหวงถิง ช่วยช่วงชิงกรอบป้ายจิ้นซื่อจี๋ตี้แผ่นหนึ่งกลับมาให้อำเภอสุ้ยอันกลับยังพอจะมีหวังอยู่มาก ไม่แน่เสมอไปว่าวิชาความรู้ของข้าสูงส่ง ก็แค่ว่าในเรื่องของการเขียนบทความ ยิ่งเป็นแคว้นเล็กก็ยิ่งมีเคล็ดลับมากมาย ยิ่งมีทางลัดให้เดิน รูปแบบตัวอักษรบนกระดาษข้อสอบมีการแบ่งปลีกย่อยไปอีก สามารถเขียนตามแนวทางความรู้ของพวกอาจารย์ที่คุมห้องสอบและอาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบได้ เอาเป็นว่าสามารถเขียนตามความชื่นชอบของพวกเขาได้ก็แล้วกัน”
ชิงถงเอ่ย “ได้ยินมาว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้ามีเมล็ดพันธ์บัณฑิตนามว่าเฉาฉิงหล่างอยู่คนหนึ่งที่เคยสอบติดเป็นปั้งเหยี่ยนของราชสำนักต้าหลี?”
หากรู้จักพูดแบบนี้แต่แรก ข้าก็คงเลี้ยงเหล้าผู้อาวุโสชิงถงไปนานแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอเสริมสักหน่อย นอกจากเป็นปั้งเหยียนในการสอบหน้าพระที่นั่งแล้ว ก่อนหน้านั้นเฉาฉิงหล่างยังเป็นฮุ่ยหยวนของการสอบรอบฤดูใบไม้ผลิในเมืองหลวงด้วย ดังนั้นถึงได้บอกว่าสายตาของฮ่องเต้ซ่งเหอช่างธรรมดาเสียเหลือเกิน”
หากว่าเลือกเฉาฉิงหล่างเป็นจ้วงหยวน คราวก่อนที่พบเจอกันในงานเลี้ยงแต่งงานที่เมืองหลวง ต่อให้ตนไม่ตอบตกลงกับเรื่องนั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะลุกขึ้นยืนต้อนรับ
พูดถึงแค่สำนักศึกษาชุนซานในภายหลัง เฉินผิงอันคุยเล่นกับอาจารย์เรื่องนี้ก็มีคำกล่าวที่แทบไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ? คนผู้หนึ่งเพื่อลูกศิษย์ คนผู้หนึ่งเพื่อลูกศิษย์ของลูกศิษย์ ต่างก็ช่วยพูดทวงความเป็นธรรให้แก่เขา
พาชิงถงเดินทะลุถนนตรอกซอกซอยไปด้วยความคุ้นเคยตลอดทาง ระหว่างนั้นอยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยถามเรื่องหนึ่งว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านเหล้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดคุยกับหย่างจื่อเรื่องของเสี่ยวโม่ ทั้งยังคุยกันอย่างอารมณ์ดีด้วย? มี…เรื่องราวในอดีตกันหรือ?”
ชิงถงส่ายหน้า “ไม่มี! ไม่มีเด็ดขาดเลย!”
ท่าทางร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไหนลองเล่ามาสิ ข้ารับรองว่าจะไม่เอาไปบอกเสี่ยวโม่”
เกี่ยวกับเรื่องราวของเสี่ยวโม่ อย่าว่าแต่ใต้หล้าไพศาลที่ไม่มีบันทึกใดๆ กล่าวถึงเลย ต่อให้เป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนภูเขาก็ยังไม่มีข่าวลือเล็กๆ อะไรแพร่ไป ไม่อย่างนั้นทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนต้องจดลงบันทึกไว้แล้วแน่นอน บวกกับที่ว่าตัวเสี่ยวโม่เองก็เล่าเรื่องของตัวเองน้อยครั้ง
ชิงถงยังคงส่ายหน้าราวกลองป๋องแป๋ง เพียงแค่จู่ๆ ก็หัวเราะ ก่อนจะรีบยื่นหมัดมาอุดปาก กระแอมหนึ่งที
นี่ก็ยิ่งร้อนตัวเข้าไปใหญ่
เฉินผิงอันเหล่ตามอง เอ่ยว่า “กลับไปข้าจะไปถามเสี่ยวโม่เอาเอง”
ชิงถงกลัวว่าเฉินผิงอันจะไปแต่งเสริมเติมเรื่องกับเสี่ยวโม่จึงได้แต่เอ่ยว่า “หย่างจื่อเล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง บอกว่าในอดีตเสี่ยวโม่เคยถูกผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งตามตอแย”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายทันใด ซักถามต่ออีกว่า “ตามตอแยอย่างไร? นางชื่ออะไร?”
ชิงถงจึงแข็งใจเอ่ยว่า “นามแฝงว่าป๋ายจิ่ง ส่วนฉายาของนางกลับมีค่อนข้างเยอะ เปลี่ยนบ่อยพอๆ กับสตรีเปลี่ยนชุดกระโปรง ฉายาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็มี ‘เฉายวิน’ ‘ไหว้จิ่ง’ ‘เหย้าหลิง’”
“เอาเป็นว่าข้าไม่เคยเจอนางมาก่อน แค่เคยได้ยินเรื่องเล่าบางอย่าง เวทกระบี่สูงมาก พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ นิสัยแย่สุดๆ ป๋ายจิ่งเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนเสี่ยวโม่ นางยังเป็นเจ้าของ ‘เสื้อเกราะเหว่ย’ ด้วย มีอายุการฝึกตนพอๆ กับเสี่ยวโม่ แต่นางกลับเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้เร็วกว่าเสี่ยวโม่ เคยบุกเบิกสถานประกอบพิธีกรรมอยู่ในดวงจันทร์ใหญ่ของเปลี่ยวร้าง แต่มิอาจอยู่ได้นาน ทุกๆ หลายร้อยปีจะต้องสร้างจวนขึ้นมาใหม่เสมอ ดังนั้นในเรื่องการหลอมตะวันกราบไหว้ดวงจันทร์ของเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกตนครึ่งหนึ่งล้วนหนีไม่พ้นนาง จำเป็นต้องให้ความเคารพบูชาผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้”
เฉินผิงอันได้ยินนามแฝงและฉายาของผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนี้แล้วก็ถามอย่างใคร่รู้ “หรือว่าป๋ายจิ่งคือร่างจำแลงของแก่นตะวัน?”
บุคคลที่เป็นเทพประหลาดทั้งหลายมักจะมีชาติกำเนิดที่แตกต่างกันไป
พูดถึงแค่ฉายา ‘ไหว้จิ่ง’ (ทิวทัศน์ภาพนอก) นี้ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ชิงถงส่ายหน้า “ภายนอกก็มีการคาดเดากันเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ไม่ใช่ เพราะก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่ร้านเหล้า ข้าถามเรื่องนี้กับหย่างจื่อ หย่างจื่อบอกว่ารากฐานมหามรรคาของป๋ายจิ่งผู้นี้ ร่างจริงไม่ใช่ ‘เทพ’ เป็นแค่เผ่าปีศาจที่สติปัญญาเปิดออกได้หลอมเรือนกายแล้วเดินขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว หย่างจื่อยังพูดถึงเฟยเฟยด้วย บอกว่านางอาจจะเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ป๋ายจิ่ง”
เฉินผิงอันยิ่งสงสัย “ถ้าอย่างนั้นนางมาตอแยเสี่ยวโม่ได้อย่างไร? เกิดการช่วงชิงกันบนมหามรรคาหรือ? หรือว่าเป็นบุญคุณความแค้นระหว่างผู้ฝึกกระบี่?”
ชิงถงหัวเราะหึหึ “ดูเหมือนว่าป๋ายจิ่งจะถูกใจเสี่ยวโม่เข้าให้แล้ว อยากจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเสี่ยวโม่ แต่เสี่ยวโม่ไม่ยอม ระหว่างนั้นมีการถามกระบี่กันสามครั้ง สู้ก็สู้ไม่ได้ก็เลยได้แต่หนีไปตลอดทาง เขาถึงได้ไปหลบอยู่ที่หาดลั่วเป่า หมักเหล้าร่วมกับเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวผู้นั้นอย่างไรเล่า”
อันที่จริงหย่างจื่อเล่าอย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้ ประโยคเดียวก็พูดจนความอัดอั้นที่สุมอกชิงถงหายวับไป ดังนั้นภายหลังพอติดตามเฉินผิงอันเดินทางจึงมีอารมณ์ไม่เลวมาโดยตลอด
และประโยคนั้นของหย่างจื่อก็คือ ‘ป๋ายจิ่งเกือบจะได้นอนกับเสี่ยวโม่’
เฉินผิงอันเอ่ย “หย่างจื่อปากมาก เจ้าก็เอาอย่างนางด้วยหรือ?”
ชิงถงพลันอึ้งงันไร้คำพูด ถ้าเจ้าไม่ถาม แล้วข้าจะพูดเรื่องพวกนี้หรือ?
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง จุ๊ปากพูด “คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวโม่ของพวกเราก็จะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ด้วย”
แคว้นหวงถิงแห่งนี้ ในอาณาเขตของแคว้นมีแม่น้ำหันสือ แม่น้ำอวี้เจียงและแม่น้ำป๋ายกู่ และยังมีลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่เป็นตอนบนของแม่น้ำป๋ายกู่ ล้วนเป็นแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆ
ในฐานะหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ต้าหลี ได้ครอบครองโชคชะตาน้ำมากมายขนาดนี้ก็ถือว่าบรรพบุรุษสะสมบุญกุศลมาไว้มากแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ได้สืบทอด ‘กิจการบรรพบุรุษ’ ส่วนหนึ่งจากแคว้นเสินสุ่ยในอดีต
บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยาง ผู้ฝึกตนหญิงอู๋อี้กลับมาจากเดินทางไกล นั่งโดยสารเรือข้ามฟากส่วนตัวที่ลักษณะเป็นเรือหอเรือนหลากสีลำหนึ่ง กลับมายังอาณาเขตบ้านตน ตอนที่ผ่านลำคลองเถี่ยเชวี่ยน อู๋อี้พลิ้วกายลงจากเรือ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปลี่ยนสาวใช้หลายสิบคนที่อยู่บนเรือให้เป็นยันต์คนกระดาษก่อน จากนั้นทำมุทราเงียบๆ เปลี่ยนเรือสามชั้นที่แกะสลักงดงามให้กลายเป็นเรือน้อยจากแกนไม้ท้อแกะสลักลำหนึ่ง เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อพร้อมกับยันต์
ศาลเทพลำคลองของแม่น้ำเถี่ยเชวี่ยนมีชื่อว่าศาลจีเซียง ในศาลตั้งบูชาเทวรูปลงสีองค์หนึ่งที่มีลักษณะเป็นขุนนางบุ๋นวัยชราคล้ายลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมรรคาอันเข้มข้นของบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยาง บนเทวรูปก็มีแสงสีทองเปล่งประกาย ไอน้ำแผ่อบอวล ผู้เฒ่าร่างสูงผอมคนหนึ่งเดินออกมา เขาก็คือเทพลำคลองของที่แห่งนี้ พริบตาเดียวก็พลิ้วกายออกจากศาลไปไกลร้อยกว่าลี้ เห็นสตรีร่างสูงโปร่งที่คิ้วตาเย็นชาบนชายฝั่ง ผู้เฒ่ารีบประสานมือโค้งกายก้มตัวคารวะต่ำสุดด้วยพิธีการใหญ่ ตะเบ็งเสียงดังลั่นว่า “เกาเหนียงเทพน้อยแห่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนขอต้อนรับต้งหลิงหยวนจวิน!”
ความจริงใจเพียงพอหรือไม่ก็ต้องดูว่าเสียงดังพอหรือไม่
แม้ว่าเขาจะเป็นเทพลำคลองที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากราชสำนักแคว้นหวงถิง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับอยู่ใต้อาณัติของจวนจื่อหยาง ศาลเทพลำคลองแห่งนี้จึงค่อนข้างคล้ายคลึงกับ ‘ศาลประจำบ้าน’ แล้ว
อู๋อี้คือบุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าเฉิงหลงโจว มีฉายาว่าต้งหลิง ทั้งยังเป็นบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยาง เนื่องจากเป็นผู้ฝึกตนหญิง เชี่ยวชาญวิชาคาถาจึงถูกเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่าต้งหลิงหยวนจวิน
แน่นอนว่าเป็นการล้ำเส้นอย่างหนึ่ง ยศหยวนจวินนี้ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนหญิงคนใดจะสวมไว้บนศีรษะก็ได้ แต่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ขอแค่ไม่ใช่นักพรตหญิงลัทธิเต๋าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ทางฝั่งศาลบุ๋นก็จะไม่ถือสามากนัก ข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับศาลเถื่อนที่ราชสำนักในท้องถิ่นของแต่ละแคว้นพยายามห้ามปรามแต่ก็ห้ามไม่ไหว แต่หากว่าอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวที่ระบบพิธีการของลัทธิเต๋ายึดถือกันอย่างเคร่งครัดแล้ว หากไม่ใช่นักพรตหญิงห้าขอบเขตบนจะไม่อาจได้รับยศหยวนจวินเด็ดขาด นี่เป็นกฎเหล็กที่เจ้าลัทธิใหญ่ตั้งไว้
เมื่อก่อนอู๋อี้ลำพองใจกับคำเรียกขานอย่างเคารพนับถือว่า ‘ต้งหลิงหยวนจวิน’ นี้มาโดยตลอด ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาทอะไร คนนอกอย่างมากก็แค่เรียกมาก่อนล่วงหน้าหลายร้อยปีเท่านั้น ถึงอย่างไรสักวันหนึ่งตนก็ต้องได้ตำแหน่งหยวนจวินมาครองอย่างถูกต้องชอบธรรม
ทว่าวันนี้อู๋อี้กลับขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยตำหนิว่า “หยวนจวินอะไรกัน ไม่เข้าใจกฎระเบียบบ้างเลยหรือไร”
เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “เทพน้อยคารวะบรรพจารย์ต้งหลิง!”
การที่อู๋อี้เปลี่ยนนิสัย แน่นอนว่าเป็นคำสั่งที่ได้มาจากบิดา เฉิงหลงโจวสั่งนางว่าอยู่ในบ้านเกิดต้องเคารพกฎระเบียบให้มากหน่อย วางมาดที่ไร้สาระว่างเปล่านั้นลงซะ ไม่อย่างนั้นหากวันใดเขารู้เข้า และทำให้เขาได้คำประเมินที่ไม่ดีจากเว่ยซานจวินแห่งขุนเขาเหนือและกรมพิธีการต้าหลี ก็จะให้นางไปปิดประตูอ่านตำราอยู่ที่สำนักศึกษาต้าฝูนานร้อยปี หลีกเลี่ยงไม่ให้คนนอกตำหนิว่าเขาเฉิงหลงโจวสอนบุตรได้ไม่ดี
ก่อนหน้านี้ไม่นานอู๋อี้เพิ่งจะนั่งเรือข้ามฟากของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าข้ามมหาสมุทรไปเยือนใบถงทวีปเพื่อพบบิดามารอบหนึ่ง ถือว่าเป็นการแสดงความยินดีที่บิดาได้เลื่อนตำแหน่งสูง แน่นอนว่าอู๋อี้ไม่กล้าไปมือเปล่า ได้เอาสมบัติในคลังลับของจวนจื่อหยางเกินครึ่งไปมอบเป็นของขวัญแสดงความยินดีด้วย น้องชายที่เนื่องจากเป็นเทพวารีแม่น้ำหันสือ มิอาจออกจากอาณาเขตได้โดยพลการ ยิ่งมิอาจเดินทางไกลข้ามทวีปได้ จึงได้แต่ให้พี่สาวอย่างอู๋อี้นำของขวัญไปมอบให้แ
เฉิงหลงโจวผู้เป็นบิดาได้เลื่อนขั้นจากรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นมาเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูแห่งใบถงทวีปหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ
อันที่จริงสำหรับพี่น้องทั้งสองแล้ว ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของเรื่องนี้ก็คือพวกเขาไม่ต้องกังวลว่าวันใดตัวเองจะถูกบิดาจับกินเป็นอาหารบำรุงกำลังอีก
——