กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 932.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (บน)
จากนั้นอู๋อี้ก็กลับมายังแจกันสมบัติทวีปในช่วงสิ้นปี ไปเยือนที่ตั้งใหม่ของนครมังกรเฒ่ามารอบหนึ่ง ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับฮ่องเต้แคว้นหวงถิง พูดคุยเรื่องการค้ากับตระกูลใหญ่ที่เป็นงูเจ้าถิ่น จากนั้นจึงไปหาสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่อยู่ทางตะวันออกใกล้กับเส้นทางลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร สุดท้ายจึงไปเยี่ยมเยือนหลินหลีป๋อที่ ‘มีมิตรภาพต่อกันมาหลายสมัย’ เจียวน้ำผู้เป็นเฉียนถังจ่างเก่าผู้นี้ หลังจากได้รับตำแหน่งเป็นนายท่านแห่งลำน้ำใหญ่ จวนยังคงตั้งอยู่ที่ถ้ำเฟิงสุ่ยของชีหลี่หลงเหมือนเดิม หากอิงตามลำดับอาวุโสพอจะถือว่าเป็นลุงของอู๋อี้ได้อย่างถูไถ แต่หากจะนับกันจริงๆ ทั้งสองฝ่ายถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรอายุขัยในการฝึกตนของอู๋อี้ก็ยาวนานกว่าฝ่ายหลัง เพียงแต่ว่าเจียวน้ำตนนั้นมีวาสนาดี บนเส้นทางการฝึกตนเป็นคนมาทีหลังที่ตามมาทัน ในช่วงเวลาที่อู๋อี้ยังคงดิ้นรนเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้อย่างยากลำบาก เฉียนถังจ่างผู้นี้ก็ได้เป็นเจียวน้ำก่อกำเนิดที่บรรลุมรรคาตนหนึ่งมานานแล้ว
อู๋อี้ถามอย่างเกียจคร้านว่า “เซียวหลวนไปรออยู่ที่จวนแล้วหรือ?”
เทพลำคลองผู้เฒ่าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เรียนบรรพจารย์ต้งหลิง สตรีผู้นั้นได้มารออยู่ที่จวนสามวันแล้วขอรับ รอแค่ให้บรรพจารย์เดินทางกลับจวนเท่านั้น เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาหากไม่มีเรื่องก็ไม่มีทางแวะมาเยี่ยมหา ไม่รู้ว่าคราวนี้วางมาดมาดักรอถึงที่หน้าประตูเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่”
เขาไม่ถูกกับเซียวหลวนผู้นั้น ดังนั้นขอแค่มีโอกาสก็จะต้องคอยหาเรื่องตำหนิให้อู๋อี้และจวนจื่อหยางฟังเสมอ
ศาลเทพแม่น้ำป๋ายหูและจวนวารีอยู่ห่างจากจวนจื่อหยางแค่ระยะทางน้ำสามร้อยลี้เท่านั้น ทว่าก่อนที่อู๋อี้จะ ‘ออกจากด่าน’ ในปีนั้น จวนวารีแม่น้ำป๋ายหูกลับไม่เคยมีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรกับจวนจื่อหยางมาก่อน
ก่อนหน้านี้อู๋อี้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปที่จวนจื่อหยางหนึ่งฉบับ ให้จวนของตนเตรียมอาหารคืนข้ามปีไว้โต๊ะหนึ่ง
หวงฉู่เจ้าจวนย่อมมิอาจเพิกเฉย ได้บอกให้เหล่าผู้ฝึกตนในจวนออกจากจวนไปหาอาหารล้ำค่าหายากหลายชนิดมาแล้ว ทุกวันนี้ที่ท่าเรือตระกูลเซียนหลายแห่งล้วนสามารถพบเห็นหอเจินซิวได้ ลำพังแค่เมื่อวานกับวันนี้ก็มีอาหารห้าหกกล่องทยอยส่งมาที่จวนจื่อหยาง ว่ากันว่าอาหารจานหนึ่งในนั้นก็คือปูเสื้อทองที่มีเฉพาะของทะเลสาบซูเจี่ยน อีกทั้งยังเป็น ‘กิ่งไผ่’ ที่หาได้ยากที่สุด ว่ากันว่าเป็นหอเจินซิวของนครฉือสุ่ยที่ตั้งใจส่งมาให้ที่จวนจื่อหยางโดยเฉพาะ เล่าลือกันว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยน ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางได้กินปูเสื้อทอง ‘กิ่งไผ่’ สองครั้ง เพราะได้กินครั้งเดียวก็ถือว่าโชคดีอย่างมากแล้ว
อู๋อี้เหลือบตามองเทพลำคลองเฒ่าที่เชื่อฟังทั้งยังทำงานคล่องแคล่วมาโดยตลอด “เกาเนี่ยง อาหารคืนข้ามปีของที่จวนวันนี้ก็มีส่วนของเจ้าด้วย อย่าไปสายล่ะ”
ไม่ให้โอกาสเจ้านั่นได้เอ่ยประจบแม้แต่ครึ่งคำ อู๋อี้ก็ทำมุทราร่ายเวทน้ำทำให้เรือนกายเป็นเหมือนแพรต่วนเหมือนน้ำไหลสีเขียวมรกตเส้นหนึ่งที่มีสายฟ้าแลบปลาบล้อมวนรอบร่าง พริบตาเดียวก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆประดุจมังกรที่โผบินขึ้นสู่นภากาศ เป็นเหตุให้จวนจื่อหยางทั้งแห่งที่อยู่ห่างไปไกลถึงกับสั่นคลอนไม่หยุด จากนั้นอู๋อี้ก็คืนร่างกลับมาเป็นสตรีเรือนกายสูงโปร่งอีกครั้งในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง นางอ้าปากหาวหวอด
อู๋อี้อยู่ในโถงเจี้ยนชื่อ
ผู้ฝึกตนทำเนียบทั่วไปกลับมาที่ภูเขา เรื่องแรกที่จะทำ เกินครึ่งคือต้องมาที่ศาลบรรพจารย์ก่อนรอบหนึ่งเพื่อจุดธูปคารวะบรรพบุรุษ
แต่เดิมทีอู๋อี้ก็เป็นบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยางอยู่แล้ว จะให้นางกราบไหว้ตัวเองก็คงไม่ได้กระมัง ส่วนเจ้าจวนแต่ละรุ่นซึ่งไม่ต่างจากหุ่นเชิดที่ถูกชักใยพวกนั้น อันที่จริงก็มีหลายคนที่กลายมาเป็นอาหารในจาน ในท้องของนางไปแล้ว โลภมากย่อมลาภหาย ไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิตกันเลยจริงๆ มีพวกคนที่พอเรียนศาสตร์ประกอบกามกิจในห้องมาได้ก็อยากจะฝึกวิชาคู่กับนาง แล้วก็มีคนที่ฉวยโอกาสตอนนางปิดด่านหมายจะชิงบัลลังก์ และยังมีพวกคนที่สมคบคิดกับคนนอกพยายามจะหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน
บรรพจารย์ต้งหลิงกลับคืนมาที่จวนทำให้เกิดความเคลื่อนไหวครึกโครม ต่อให้เป็นอาณาเขตที่อยู่ห่างจากตำหนักใหญ่ไปค่อนข้างไกล ผู้ฝึกตนและพวกสาวใช้นักการที่อยู่ในจวนก็ยังต้องพากันหยุดงานในมือลง คุกเข่าลงกับพื้น ปากเอ่ยเรียกท่านบรรพจารย์
แล้วก็ไม่สนว่าบรรพจารย์บุกเบิกขุนเขาจะมองเห็นหรือไม่ จะได้ยินหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำใจอย่างหนึ่ง
อู๋อี้หันไปมองทางประตูของตำหนักใหญ่ รอให้พวกหวงฉู่พาคนมาต้อนรับที่นี่
ที่พูดกันว่ารังเงินรังทองก็สู้รังหญ้าบ้านตัวเองไม่ได้ ก็ถือว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
แจกันสมบัติทวีปในอดีต อย่าว่าแต่เซียนดินเลย แค่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งก็มากพอจะเดินกร่างในพื้นที่หนึ่งได้แล้ว คิดจะท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนา ทุกวันนี้จะทำได้อย่างไร ต่อให้เจ้าเป็นขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง เกรงว่าก็ยังต้องเก็บหางทำตัวสำรวมอยู่ดี
ริมลำคลองเถี่ยเชวี่ยน เนิ่นนานเกาเนี่ยงก็ยังไม่ถอนสายตากลับมา กระแสน้ำในลำคลองที่อยู่ริมฝ่าเท้าถูกลมปราณจากเวทหลบหนีของอู๋อี้ชักนำ ผิวน้ำจึงกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์มหึมาลูกแล้วลูกเล่า เทพลำคลองผู้เฒ่ามิกล้าทำให้กระแสน้ำสงบลง ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความสะท้อนใจ คาถาน้ำบทหนึ่งของบรรพจารย์ต้งหลิงช่างลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งนัก ร่ายใช้ได้อย่างคล่องแคล่วราบรื่นยิ่งกว่าองค์เทพแห่งแม่น้ำลำคลองตัวจริงอย่างตนเสียอีก เกาเนี่ยงอดทอดถอนใจ ส่ายหน้าเบาๆ พึมพำไม่ได้ว่า “ทุกคนต่างก็มีชะตาเป็นของตัวเอง อิจฉาก็อิจฉาไม่ได้”
เพียงแต่เกาเนี่ยงก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง อาหารมื้อข้ามปีของจวนจื่อหยางไม่ได้กินเปล่าๆ หากไปเยือนมือเปล่า ถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะกับหลักมารยาท
ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าการเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของซานจวินใหญ่เว่ยเลย
ข้างหูมีเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นกะทันหัน “ทำให้คนอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ”
เกาเนี่ยงหันขวับกลับไป เห็นคนต่างถิ่นคนหนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง พอมองให้ชัดอีกทีก็แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายทันใด
นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายมีสถานะเยอะเกินไปจริงๆ แค่ยกมาสักสถานะหนึ่งก็มากพอจะทำให้ตนต้องแบกรับผลที่ตามมาแล้ว เทพลำคลองเฒ่ารู้สึกเพียงว่าคุณความดีที่ทำมาตลอดชีวิต ถึงกับเอามาใช้ไม่ได้สักส่วนเดียว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เทพลำคลองเกาไม่ต้องตื่นตระหนก”
เกาเนี่ยงถามอย่างระมัดระวัง “ครั้งนี้เจ้าขุนเขาเฉินออกจากบ้านมาเพราะจะมารำลึกความหลังกับบรรพจารย์ต้งหลิงหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “จะมาคุยธุระกับอู๋อี้สักเล็กน้อย”
เกาเนี่ยงเอ่ยทันใดว่า “เทพน้อยยินดีนำทางให้เจ้าขุนเขาเฉิน!”
เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่ขึ้นชื่อในราชสำนักว่า ‘สหายตายผินเต้าไม่ตาย ผินเต้ายังช่วยเจ้าเก็บกระเป๋าเงิน’ ผู้นี้ ระดับขั้นบนทำเนียบหยกทองเป็นรองเทพวารีของแม่น้ำอย่างแม่น้ำป๋ายหู ระดับความสูงของเทวรูปในศาลก็ต่ำกว่าสามส่วน แต่หากจะพูดกันถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างทอง กลับไม่เป็นรองให้เซียวหลวนเลยแม้แต่น้อย นี่ก็คือข้อดีของการมีที่พึ่งแล้ว การทำงานในสถานที่ราชการของราชวงศ์โลกมนุษย์มีข้อพิถีพิถันในเรื่องที่ว่าในราชสำนักมีคนให้พึ่งพาก็เป็นขุนนางที่ดีได้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ หากว่าบนภูเขามีคนรู้จักก็เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัวเหมือนกัน ก็เหมือนอย่างลำคลองเถี่ยเชวี่ยนแห่งนี้ที่เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับจวนจื่อหยาง ในคลังสมบัติของศาลลำคลองจึงมีเงินเทพเซียน พอมีเงินก็สามารถดึงพวกเซียนซือบนภูเขาและขุนนางชนชั้นสูงทั้งหลายให้มาเป็นพวก ช่วยสร้างชื่อเสียง เมื่อชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ข้างนอก มีผู้มีจิตศรัทธาก็มีควันธูป ขอแค่ควันธูปโชติช่วงก็จะมีชายหญิงผู้แสวงบุญมาเยือนมากกว่าเดิม เมื่อมาจุดธูปด้วยความเคารพนับถือ สิ่งที่ขอพรเอาไว้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นได้หลายส่วน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้รีบไปที่จวนจื่อหยาง อยากจะรบกวนให้เทพลำคลองเกาช่วยพาข้าเดินเที่ยวดูลำคลองเถี่ยเชวี่ยนสักหน่อย”
“นับเป็นเกียรติอย่างสูงสุดของข้า”
เกาเนี่ยงไม่กล้าพูดเสียงดังด้วยซ้ำ ได้แต่เอ่ยเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เทพน้อยกลัวก็แต่ว่าทัศนียภาพของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนจะธรรมดา ไม่เข้าตาเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “คราวก่อนรีบร้อนเดินทาง ได้แค่ชมทัศนียภาพของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างลวกๆ เท่านั้น ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดเชยให้ดี”
หลังจากนั้นก็พูดคุยกันไปถึงอาหารมื้อข้ามปีที่อุดมสมบูรณ์อย่างมากของจวนจื่อหยาง เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยากอยู่หลายส่วน
ทุกวันนี้ในรายงานภูเขาสายน้ำหลายฉบับจะต้องมีประโยคหนึ่งแทรกไว้ว่า ‘ชีวิตคนยากจะเจอกับปูกิ่งไผ่ได้สองครั้ง’
คาดว่าลำพังเพียงแค่ประโยคนี้ก็สามารถทำให้ยอดขายปูเสื้อทองของทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่มขึ้นพรวดพราดได้แล้ว อย่าว่าแต่พวกขุนนางชั้นสูงเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ขอแค่มีเงินมีเส้นสาย ใครจะเชื่อคำกล่าวนี้?
กินไปแล้วครั้งหนึ่งก็ต้องการกินครั้งที่สอง แต่พอกินไปสามครั้ง สี่ครั้ง บางทีอาจรู้สึกว่ารสชาติก็มีเพียงเท่านั้น แต่หากสามารถกินปูกิ่งไผ่ได้หลายครั้ง เวลาคนข้างกายของพวกเขาเจอกับเรื่องอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าควรจะมอบของขวัญอะไรดี หรือบางทีอาจเป็นช่วงที่เหมาะแก่การเก็บเกี่ยว ต่างฝ่ายต่างผูกสัมพันธ์ ส่งมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญให้กัน ทั้งยังไม่ใช่เงินทองของธรรมดาสามัญ คิดดูแล้วก็น่าจะไม่ถือว่าผิดพลาดเป็นแน่
แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคัมภีร์การค้าของต่งสุ่ยจิ่งท่านนั้นของพวกเรา
อะไรที่เรียกว่าพรสวรรค์เลิศล้ำ คาดว่าก็คงเป็นเช่นนี้เอง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าการเดินทางของพวกเราครั้งนี้ ระหว่างทางเจอเรื่องบังเอิญเยอะไปสักหน่อย”
ทางฝั่งของตำหนักปี้เซียวลำคลองฉีตู้ เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยิน สุ่ยจวินแห่งทะเลสาบหนันถังต่างก็ไปเป็นแขกที่นั่นพอดี ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายไปเยือนทะเลสาบหนันถังด้วยตัวเองเป็นแน่
หลังจากนั้นไปยังถ้ำเฟิงสุ่ยที่ชีหลี่หลง นอกจากโชควาสนาระหว่างเฉาหย่งกับนักพรตฉุนหยางแล้ว ยังได้เจอกับกลุ่มของเฉินเจินเหริน ฉินปู้อี๋
รวมไปถึงการมาเยือนจวนจื่อหยางครั้งนี้ก็บังเอิญอีกเหมือนกันที่เซียวหลวนเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูก็อยู่ด้วย
อันที่จริงชิงถงเดินอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา ศีรษะยังคงสวมงอบปิดบังใบหน้า สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต เดินนวยนาดอยู่ริมตลิ่ง
ชิงถงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอับจนขมขื่น “เรื่องของม้วนภาพเป็นการจัดการของโจวจื่อจริงๆ ทว่านอกจากเรื่องนี้แล้วข้าก็ไม่รู้อะไรด้วยเลยสักนิด หรือว่าความบังเอิญที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันนี้ก็จะเป็นฝีมือของโจวจื่อด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
ชิงถงติดตามคนผู้นี้มาตลอดทาง ได้เห็นเฉินผิงอันคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนและเทพวารีแต่ละคนกับตาได้ยินกับหูของตัวเอง ความคิดบางอย่างในใจของชิงถงยิ่งนานก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ต่างก็พูดกันว่าข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงดูคนร้อยรูปแบบ เหตุใดพอมาถึงเจ้าหมอนี่กลับกลายเป็นว่าข้าวร้อยชนิดเลี้ยงดูคนแบบเดียว? ในใจชิงถงพลันเป็นกังวล เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้สังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะใจลอยอยู่บ้าง
การที่บอกว่าไม่มีทางไปเยือนทะเลสาบหนันถังแน่นอน เพราะเฉินผิงอันนึกถึงเหตุผลข้อหนึ่งที่…น่าเตะอย่างมาก
คือเหตุผลผายลมสุนัขที่ ‘ในตำราไม่มีกล่าวไว้ คำโบราณก็ไม่เคยเอ่ยถึง’
เรื่องดีบางอย่างที่ตัวเองยินดีจะทำ ถ้าอย่างนั้นคนที่ลงมือทำ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าทำเรื่องดีโดยเห็นว่าเป็นเรื่องดี แค่นี้ก็จะสามารถลดทอนปัญหายุ่งยากมากมายให้กับตัวเองได้
ทั้งสอดคล้องกับหลักการเหตุผลในตำราที่บอกว่าวิญญูชนทำดีไม่หวังสิ่งดีตอบแทน กุญแจสำคัญคือสามารถรับประกันได้ด้วยว่าในอนาคตไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีความผิดหวังใดๆ หากมีคนอื่นตอบแทนความดีก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน
การที่เฉินผิงอันคิดอย่างนี้ก็เพราะในอดีตชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์เคยเอ่ยประโยคที่ ‘แทงใจ’ ทั้งยังใจร้ายอย่างมากประโยคหนึ่ง บอกว่าคนดีไม่น้อยในใต้หล้าทำเรื่องดี คนดีเป็นเรื่องจริง เรื่องดีก็เป็นเรื่องจริง ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือบางทีพวกเขาอาจจะไม่ต้องการการตอบแทนในด้านผลประโยชน์แม้สักเล็กน้อย แต่ย่อมอดที่จะแสวงหาการตอบสนองบางอย่างในใจคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นในสายตาของคนที่ได้รับบุญคุณก็อาจถึงขั้นที่ว่ายังไม่ตรงไปตรงมา ไม่ผ่อนคลายเท่าอย่างแรกเลยด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันคุยเล่นกับเกาเนี่ยงไปพลางขออักขรานุกรมท้องถิ่นจากอำเภอโดยรอบลำคลองเถี่ยเชวี่ยนจากเทพลำคลองท่านนี้มาหลายเล่ม แน่นอนว่าเกาเนี่ยงต้องตอบตกลง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เบาบางเหมือนขนห่านอย่างแท้จริง
จังหวัดเหยียนโจวซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอสุ้ยอัน อันที่จริงอยู่ห่างจากลำคลองเถี่ยเชวี่ยนและจวนจื่อหยางโดยมีแค่เขตอวิ้นโจวกางกั้นเท่านั้น
ในอาณาเขตของอวิ้นโจว ราชสำนักต้าหลีเคยตามหาซากปรักวังมังกรของแคว้นสู่โบราณแห่งหนึ่งเจอ ดูเหมือนว่าลำธารสายนั้นเพิ่งจะได้รับการตั้งชื่อว่าลำธารอู๋ซี คุณภาพน้ำดีเยี่ยม เหมือนน้ำพุหวาน
เหมือนกับลำคลองหลงซวีบ้านเกิดของตน นั่นคือมีสะพานหินโค้งที่ลักษณะคล้ายคลึงกันสร้างเอาไว้ เพียงแต่ว่าด้านใต้สะพานไม่มีกระบี่โบราณแขวนไว้ก็เท่านั้น
ชิงถงถาม “ก่อนหน้านี้ไปที่เมืองหงจู๋แล้วไม่คิดจะกลับไปดูที่ภูเขาลั่วพั่วบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “นี่เรียกว่ายิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดยิ่งขลาดกลัว”
ทางฝั่งของโถงเจี้ยนชื่อจวนจื่อหยาง อู๋อี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสูง หวงฉู่นำพาสมาชิกศาลบรรพจารย์กลุ่มใหญ่เดินมาด้วยฝีเท้าเร่งร้อน เดินเรียงกันตามลำดับอาวุโสเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างมีระเบียบ จากนั้นก็พากันหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง ก่อนจะก้มลงกราบคำนับบรรพจารย์ต้งหลิงพร้อมกับเจ้าจวนหวงฉู่
อู๋อี้ยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
เพราะนึกถึงทัศนียภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาที่หากสั้นหน่อยก็สิบปี ยาวหน่อยก็ยี่สิบปี เชื่อว่าจะต้องมีพลังอำนาจน่าเกรงขามมากกว่าหมาน้อยแมวน้อยสองสามตัวในวันนี้แน่นอน
ถึงเวลานั้นนางจะยืนอยู่บนราชสำนักใหม่เอี่ยมของแคว้นหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียวก็คือสถานะของนางจะเปลี่ยนไป กลายมาเป็นราชครูหญิง บางทีอู๋อี้อาจจะสวมชุดสีม่วงถือหยกเขียว อยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่นก็เป็นได้
บิดาที่รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมแคว้นหวงถิงมานานหลายปีเคยเปิดเผยความลับสวรรค์อย่างหนึ่งกับอู๋อี้ บอกว่าปีนั้นอวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เคยไปเป็นแขกในคฤหาสน์กลางป่า แท้จริงแล้วคือรัชทายาทแห่งราชวงศ์สกุลหลูเก่าที่แคว้นเล่มสลาย
ปราณมังกรบนร่างของอวี๋ลู่ สำหรับอู๋อี้แล้วคือของบำรุงที่รสชาติยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าจริงๆ
เพียงแต่ตอนนั้นบิดาไม่ได้ลงมือ แน่นอนว่าอู๋อี้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม แย่งอาหารกับบิดา อยากตายหรือ?
เมื่อหลายปีก่อนในที่สุดอู๋อี้ก็อาศัยวิชานอกรีตบทหนึ่งฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้สำเร็จ และโอกาสบนมหามรรคาในการเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบของนางในอนาคตก็คือการปรากฏของลำน้ำฉีตู้สายนั้น ขอแค่ในอนาคตนางสามารถเดินลงน้ำในลำน้ำใหญ่สายนั้นได้สำเร็จ เชื่อว่าก็สามารถกลายมาเป็นหนึ่งในเจียวน้ำห้าขอบเขตบนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในอาณาเขตของหนึ่งทวีปได้เลย
ส่วนน้องชายที่ย้ายไปรับตำแหน่งเป็นเทพวารีของแม่น้ำหันสือ มหามรรคาสายนี้ไม่มีวาสนากับเขาแล้ว ต่อให้เสียใจก็สายไปแล้ว
ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว กากเดนของวังมังกรและเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่อยู่ในสี่มหาสมุทรและบนบกหลายแห่งอย่างพวกเขาก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ต้องรู้ว่าในช่วงเวลาอันยาวนานที่บนโลกไม่มีมังกรที่แท้จริงหลงเหลืออยู่ และคนพิฆาตมังกรผู้นั้นก็เป็นดั่งกฎแห่งสวรรค์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมด เป็นเหตุให้ขอบเขตก่อกำเนิดก็คือปลายทางของมหามรรคาแล้ว บิดาเป็นเช่นนี้ เถียนถังจ่างแห่งถ้ำเฟิงสุ่ยก็เป็นเช่นนี้ ได้แต่หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตนี้ มิกล้าเดินลงน้ำเด็ดขาด
แล้วนับประสาอะไรกับที่ครั้งนี้นางเดินทางข้ามทวีปไปอวยพรบิดาก็ยังมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันซึ่งใหญ่เทียมฟ้าอีกเรื่องหนึ่ง บิดาแนะนำสั่งสอนต่อหน้านาง ชี้เส้นทางกว้างใหญ่ที่มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนให้กับนาง
ดังนั้นหวนกลับคืนมายังจวนจื่อหยางในครั้งนี้ อู๋อี้จึงต้องการจะปรึกษาเรื่องการย้ายถิ่นกับหวงฉู่ นอกจากอู๋อี้จะต้องกวาดเอาทรัพย์สินในคลังสมบัติไปจนเกลี้ยงแล้วยังจะพาผู้ฝึกตนทำเนียบอีกครึ่งหนึ่งของจวนเดินทางไปยังใบถงทวีปด้วยกัน รอคอยเรื่องหนึ่งอย่างเงียบสงบ แม้จะพูดว่า ‘ปรึกษา’ แต่ในความเป็นจริงแล้วอู๋อี้แค่ออกคำสั่งคำเดียว จวนจื่อหยางก็ต้องทำตาม ส่วนจวนจื่อหยางอีกครึ่งหนึ่งที่เหมือนเหลือแต่เปลือก อู๋อี้รับปากเจ้าจวนหวงฉู่ว่าวันหน้ากิจธุระน้อยใหญ่ของที่นี่ล้วนไม่จำเป็นต้องสอบถามบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาอย่างนาง และนางก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด เท่ากับยกอำนาจให้หวงฉู่อย่างเบ็ดเสร็จ ให้เจ้าจวนที่มีแต่ชื่อไม่มีอำนาจแท้จริงคนหนึ่งได้กุมอำนาจอย่างจริงจัง นี่ก็มากพอจะให้หวงฉู่เรียกลมเรียกฝนอยู่ในอาณาเขตของแคว้นหวงถิงได้แล้ว
——