กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 932.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (บน)
ได้ยินการตัดสินใจนั้นของบรรพจารย์ ทุกคนซึ่งรวมถึงหวงฉู่ก็หันมามองหน้ากันตาปริบๆ
นี่บรรพจารย์คิดจะทำอะไร? ยังไม่ทันกินอาหารมื้อข้ามปีเลยนะ จะเริ่มแยกบ้านตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ?
อู๋อี้ใช้นิ้วเคาะที่พักแขนเก้าอี้เบาๆ ยกปลายเท้าขึ้นเหยียบลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
หัวใจของหวงฉู่หดตัว รีบเอ่ยทันทีว่า “ข้าจะไปเอาทำเนียบของศาลบรรพจารย์มาให้ท่านบรรพจารย์เลือกลูกศิษย์เดี๋ยวนี้”
หวงฉู่ไปเอาตำราเล่มหนึ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ใช้สองมือถวายให้กับบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาอย่างนอบน้อม
อู๋อี้คลี่กางทำเนียบจวนจื่อหยางเล่มนั้นออก เห็นชื่อของคนที่ถูกชะตาบนนั้น นางก็จะใช้นิ้วชี้แล้ววาดวงกลมลงไปบนชื่อ
ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดจนกระทั่งเข็มตกก็คงได้ยิน มีเพียงเสียงแกรกๆ ตอนท่านบรรพจารย์เปิดหน้าหนังสือเท่านั้น หวงฉู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรแง เพียงแต่ในใจพอจะสงบได้บ้างเล็กน้อย เพราะบรรพจารย์วาดวงกลมในช่วงหน้าๆ ของสมุดทำเนียบไม่เยอะนัก กลับเป็นช่วงกลางๆ ที่เลือกจำนวนคนไปเยอะที่สุด นี่หมายความว่าในอนาคตจวนจื่อหยางก็ยังมีผู้ฝึกตนและผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรและขอบเขตชมมหาสมุทรที่เป็นแกนกลางสำคัญอยู่ค่อนข้างมาก หากบรรพจารย์ยินดีรักษาสัญญาว่าต่อจากนี้จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องในจวนอีกจริงๆ การที่อีกฝ่ายเดินทางไกลไปอยู่ใบถงทวีป สำหรับเจ้าจวนที่เป็นเหมือนหุ่นเชิดอย่างหวงฉู่แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งเลยจริงๆ
อู๋อี้ยังคงอยู่ในท่วงท่าเกียจคร้านก้มหน้าเปิดสมุดอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่จู่ๆ ก็ขยับเปลือกตามองขึ้นมาด้านบน หวงฉู่กลับหลุบสายตาลงต่ำไปก่อนแล้ว
อู๋อี้โยนสมุดเล่มนั้นกลับคืนให้หวงฉู่ แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อ “นอกจากหวงฉู่แล้วคนอื่นๆ ถอยออกไปให้หมด ไปทำธุระของตัวเองต่อเถอะ”
หวงฉู่เก็บสมุดทำเนียบใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพ่งลมหายใจทำสมาธิ รอให้บรรพจารย์ออกคำสั่ง
อู๋อี้ลุกขึ้นยืน เดินลงบันไดมา หวงฉู่ถอยไปข้างหลังหลายก้าว จากนั้นเบี่ยงตัวหันข้าง รอกระทั่งบรรพจารย์เดินผ่านตัวเองไปแล้วเขาถึงค่อยหมุนตัวเดินตามไป
อู๋อี้ถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เซียวหลวนมาเองโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ นางคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หวงฉู่แข็งใจตอบกลับว่า “นางปิดปากสนิทมาก ข้าเจอกับนางสองครั้งก็ยังถามไม่รู้ความ นางบอกแค่ว่าต้องการพูดคุยกับท่านบรรพจารย์ต่อหน้า”
สีหน้าของอู๋อี้ยิ่งมืดทะมึน นางไม่เคยเห็นเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูอยู่ในสายตา ปีนั้นเซียวหลวนกลับมาเยี่ยมเยือนจวนจื่อหยาง อู๋อี้ก็เคยทำให้นางลำบากใจสุดขีด หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นเฉินผิงอันช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ เดิมทีเวลานั้นอู๋อี้ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องทำให้เซียวฮูหยินที่ถูกเรียกขานอย่างไพเราะว่า ‘สาวงามพุทธรักษา’ ผู้นี้ดื่มในห้องโถงใหญ่บ้านตนไปมากเท่าไรก็ต้องอาเจียนออกมามากเท่านั้น ต่างก็พูดกันว่าเหนียงเนียงเทพแม่น้ำอย่างเจ้ามีรูปโฉมงดงามเลอค่า บุคลิกท่วงท่าสูงส่งไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้เซียวหลวนต้องเผยความอัปลักษณ์ออกมาให้เห็น คอยดูเถอะว่าพวกคนใต้กระโปรงที่เห็นเจ้าเป็นเทพหญิงในภาพวาดพวกนั้น พอคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ ‘งดงามจนมิอาจบรรยาย’ นั้นแล้วจะมีความรู้สึกเช่นไร?
เคยมีเซียนกระบี่อาวุโสก่อกำเนิดจากต่างถิ่นคนหนึ่งเดินทางผ่านแคว้นหวงถิง โดยสารเรือล่องแม่น้ำ ร่ำสุราใต้แสงจันทร์กับสหาย เกิดนึกสนุกขึ้นมาในฉับพลัน โยกจอกสุราทิ้งลงน้ำ มันก็กลายร่างเป็นห่านฟ้าขาวตัวหนึ่ง (ป๋ายหู)
ภายหลังเคยมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นของแคว้นหวงหลวนอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
และ ‘สหาย’ ของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้นก็คือบิดาของอู๋อี้ เฉิงหลงโจวเจียวเฒ่าอายุหมื่นปี ซึ่งได้ขอความรู้ด้านมรรคกถาจากนักพรตเต๋าที่พเนจรท่องเที่ยวมาจนถึงที่แห่งนี้อย่างนอบน้อม
ดังนั้นในสายตาของอู๋อี้แล้ว เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูที่ความเป็นมาไม่เที่ยงตรง ไม่มีคำว่าชาติกำเนิดให้กล่าวถึงผู้นี้จะคู่ควรมานั่งทัดเทียมกับตนได้อย่างไร?
เพียงแต่จนถึงทุกวันนี้อู๋อี้ก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนักพรตผู้นั้น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ทราบ
จำได้แค่ว่าเป็นนักพรตต่างถิ่นที่มีรูปโฉมเป็นวัยกลางคน สวมเสื้อสีเหลืองรองเท้าผ้าป่าน สะพายกระบี่ถือแส้ปัดฝุ่น มีมาดของเซียนอยู่มากจริงๆ
ภายหลังอู๋อี้เคยถามบิดาอยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่กล้าถามอีก
ปีนั้นเฉิงหลงโจวแค่เอ่ยมาสองประโยคราวกับการทายคำปริศนา พูดก็เหมือนไม่ได้พูด
‘ใช้เรือนกายที่มีจำกัดหลอมเรือนแห่งเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด’
‘สร้างโอสถทองที่ไร้ผู้ใดทัดทาน เซียนดินไม่ถูกเซียนฟ้าหมิ่นเกียรติ’
เห็นได้ชัดว่าบิดาเลื่อมใสในตัวนักพรตพเนจรผู้นั้นมาก
หากไม่เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ในชั้นนี้อยู่ เซียวหลวนก็อย่าหวังว่าจะได้นั่งตำแหน่งของเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูได้อย่างมั่นคง
อู๋อี้เพิ่มน้ำหนักเสียงถามว่า “ทางฝั่งนั้นยังปิดภูเขาอยู่อีกหรือ?”
หวงฉู่พยักหน้า “ยังคงห้ามไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไป ห้ามใครมาเยี่ยมเยือน”
อู๋อี้เบ้ปาก พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “กล้าเชื่อหรือไม่?”
หวงฉู่ปิดปากอย่างรู้กาลเทศะ
ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบปี ภูเขาลั่วพั่วก็เปลี่ยนจากภูเขาที่ไม่มีชื่อเสียงกลายมาเป็นสำนักอักษรจงแห่งหนึ่ง
จวนเซียนบนภูเขาหลายแห่งที่กว่าจะก่อตั้งสำนักได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเวลาสามสิบปีผ่านไปอาจจะได้แค่รับลูกศิษย์มาไม่กี่คน สร้างจวนซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม สร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาได้สำเร็จ แค่พอจะถือว่ามีรูปมีร่างอย่างถูไถ และหากสามารถหยัดยืนอยู่ในพื้นที่ได้อย่างมั่นคง คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับจวนเซียนหรือแคว้นล่างภูเขาใกล้เคียงก็ต้องจุดธูปขอบคุณพระขอบคุณเจ้าแล้ว
ดังนั้นหวงฉู่ย่อมไม่กล้าเชื่อ
เพียงแต่เขาหรือจะกล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์การลุกผงาดของภูเขาลั่วพั่ว
อันที่จริงสำหรับภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น ปีนั้นอู๋อี้และจวนจื่อหยางไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักเท่าไร แล้วก็ไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์ดึงมาเป็นพวก ประคับประคองความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันด้วย
แต่พอมาถึงวันนี้ ต่อให้จวนจื่อหยางอยากจะไปตีสนิทด้วยก็ไม่มีทางปีนป่ายได้ถึง
ภูเขาลั่วพั่วที่ไม่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นแห่งนั้น ตอนไม่ส่งเสียงก็เงียบงัน พอส่งเสียงทีกลับสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คน ภูเขาตะวันเที่ยงที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นสำนักก็เหมือนหินรองเท้าน่าเวทนาที่ได้แต่ช่วยขับดันให้ภูเขาลั่วพั่วโดดเด่นขึ้น
ก็เหมือนอย่างฝั่งของศาลลมหิมะที่เอ่ยประโยคเป็นธรรม บอกว่าการจัดงานพิธีเฉลิมฉลองของเจ้าสำนักจู๋หวงครั้งนี้คือการจัดงานให้กับภูเขาลั่วพั่วโดยแท้
อู๋อี้รีบให้เจ้าจวนคนปัจจุบันของหวงฉู่เดินทางไปเยือนเขตหลงโจวเก่าด้วยตัวเองรอบหนึ่งทันที เพื่อนำของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่มาถึงอย่างเชื่องช้าไปมอบให้ ต่อให้จะไม่เป็นที่ชื่นชอบ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครยื่นมือมาตบหน้าคนที่ยิ้มให้
ตอนนั้นเจ้าขุนเขาหนุ่มไม่อยู่บ้าน ออกเดินทางไกลอีกครั้งแล้ว คนที่รับรองแขกของฝั่งภูเขาลั่วพั่วคือผู้ดูแลจูเหลี่ยน ซึ่งก็ถือว่าเป็นคุ้นหน้าคุ้นตากันครึ่งตัว ปีนั้นเขาเคยติดตามเฉินผิงอันมาเป็นแขกที่จวนจื่อหยางด้วย จึงพูดคุยกับหวงฉู่คล้ายรำลึกความหลัง ถือว่าคุยกันได้ถูกคออยู่มาก
การที่อู๋อี้ไม่ได้ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง จะว่าไปแล้วก็น่าขำ เพราะว่านางวางหน้าไม่ลง แล้วก็ยิ่งเพราะนาง…ไม่กล้าไป
ปีนั้นข้างกายของเฉินผิงอันมีแม่นางน้อยถ่านดำติดตามมาด้วย ใครจะไปคิดว่านางก็คือเจิ้งเฉียนปรมาจารย์ใหญ่หญิงในภายหลัง! คือเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว
สงครามที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปครั้งนั้น อู๋อี้เคยออกแรงมาก่อน แล้วก็เคยเห็นเจิ้งเฉียนปล่อยหมัดอยู่บนสนามรบไกลๆ มาก่อน
หญิงสาวที่มวยผมทรงกลมกลางศีรษะมักจะทำสองเรื่องทั้งฆ่าปีศาจและช่วยคนอย่างไม่ถ่วงรั้งกันเอง
ในทางส่วนตัว ระหว่างที่หยุดพักจากสงคราม เซียนซือทำเนียบหลายคนของแจกันสมบัติทวีปมารวมตัวกัน พูดไปพูดมา สุดท้ายคงเพราะเกิดความรู้สึกร่วมกันถึงได้รู้สึกว่าโชคดีที่เจิ้งเฉียนเป็นคนกันเอง
เมืองหลวงสำรองต้าหลียังถึงขั้นเคยมีมติอย่างหนึ่งให้นางเป็นกรณีพิเศษ อนุญาตให้ตอนที่กระโจนลงสู่สนามรบ เจิ้งเฉียนสามารถเปิดเส้นทางการสู้รบเส้นหนึ่งเพียงลำพังได้
ไม่ว่าอย่างไรอู๋อี้ก็มิอาจนำภาพของปรมาจารย์ใหญ่หญิงอายุน้อยที่ท่วงท่าองอาจสง่างาม ทุกครั้งที่ลงมือจะมาพร้อมกับพลานุภาพดุจอสนีบาตเสมอ มาทับซ้อนเข้ากับถ่านดำน้อยในปีนั้นได้
อู๋อี้ยังจำได้ว่าในงานเลี้ยงสุราคืนนั้น ข้างกายของเฉินผิงอันมีขวดน้ำมันน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วยจริงๆ คือแม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง นางใช้ข้ออ้างที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย อยากจะขออนุญาตอาจารย์อย่างเฉินผิงอันดื่มเหล้าหมักเซียนของที่จวนสักหนึ่งจอก ผลคือสุดท้ายก็ยังได้แต่ดื่มสุราหมักผลไม้จอกหนึ่งแก้กระหายเท่านั้น
ปีนั้นอู๋อี้อยู่ในเมืองหลวงสำรอง มีครั้งหนึ่งนั่งรถม้าไปเยี่ยมหาสหาย บังเอิญเจอกับปรมาจารย์อายุน้อยที่เดินเท้าอยู่ ตอนนั้นอู๋อี้ยังมึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเจิ้งเฉียนที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุยผู้นั้น เหตุใดถึงได้ยินดีเป็นฝ่ายผงกศีรษะทักทายตน บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลายส่วน บางทีอีกฝ่ายอาจจะจริงใจ แต่พออยู่ในสายตาของคนนอก อันที่จริงกลับน่าขนลุกอย่างมาก
เนื่องจากรอกระทั่งเจิ้งเฉียลงมือหลายครั้งเข้า ทางเมืองหลวงสำรองของต้าหลีก็เริ่มมีคำพูดหยอกล้ออย่างหนึ่งแพร่หลายออกไป ‘เจิ้งเฉียนคลี่ยิ้ม สนามรบประสบหายนะ’
ทุกครั้งที่นางพาตัวเข้าสู่สนามรบก็ล้วนมีผลลัพธ์ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายทุกครั้ง สถานที่ที่นางเยื้องกรายผ่านล้วนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อมีแต่ซากปรักหักพัง
มีเพียงตอนที่เจอเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งหรือไม่ก็ตอนที่นางได้รับบาดเจ็บไม่เบาเท่านั้น เจิ้งเฉียนถึงจะพอมีรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับในที่สุดก็รู้สึกว่าพอจะน่าสนใจได้บ้างแล้ว
หวงฉู่เอ่ยถาม “บรรพจารย์จะไปพบเซียวหลวนเมื่อไหร่หรือ?”
อู๋อี้หัวเราะหยัน “ปล่อยให้นางรอไปอีกหลายๆ ชั่วยามก็แล้วกัน รอให้ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงคืนข้ามปีค่อยส่งแขก มาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับข้า? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะให้โอกาสนางได้พูดสามประโยค”
ครั้งนี้เซียวหลวนมาเยือนจวนจื่อหยางพาผู้ติดตามอย่างซุนเติงมาแค่คนเดียว คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของจวนวารีแม่น้ำป๋ายหูด้วย
ทางจวนช่วยจัดหาที่พักให้ นั่นคือสถานที่ที่เงียบสงบซึ่งจะดีจะชั่วก็เป็นเรือนเดี่ยวเหมือนอย่างคราวก่อน ชื่อเสียงของเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหู ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดในแคว้นหวงหลวนก็ล้วนได้รับความนิยมอย่างมาก ต่อให้เป็นในตำหนักใหญ่ของวังหลวงแคว้นหวงถิง เซียวหลวนก็ยังเป็นแขกผู้มีเกียรติของจักรพรรดิ มีเพียงอยู่ในจวนจื่อหยางแห่งนี้เท่านั้นที่ใช้ไม่ได้ผล
การสร้างบุญคุณกับคนบนโลกมีนับพันนับหมื่นชนิด มีเพียงเรื่องขอร้องคนอื่นที่ได้แต่ต้องยอมก้มหัวเท่านั้น
เซียวหลวนจุดธูปต้มชาอยู่ในห้อง อุปกรณ์ชงชาและน้ำที่ใช้ในการชงชา เซียวหลวนล้วนพกเอามาเอง เวลานี้นางกำลังดื่มชาอยู่กับซุนเติง พอวางถ้วยชาลงแล้วก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เดือดร้อนให้ผู้ถวายงานซุนต้องถูกคนหัวเราะเยาะไปด้วยแล้ว”
เมื่อครู่ที่จวนเกิดความเคลื่อนไหวครึกโครมขนาดนั้น เสียงตะโกนเรียกขานบรรพจารย์ต้งหลิงก็ดังสนั่นฟ้า บวกกับที่ริ้วกระเพื่อมของคาถาน้ำยามที่อู๋อี้เยื้องกรายมาถึง แต่เซียวหลวนกลับมั่นใจได้เลยว่าในช่วงเวลาอันใกล้นี้ตนไม่มีทางได้พบหน้าอู๋อี้แน่นอน
ซุนเติงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าหัวเราะคนอื่น คนอื่นหัวเราะข้า จิตใจที่นิ่งสงบมองเรื่องที่ปกติธรรมดา”
ดวงตางดงามคู่นั้นของเซียวหลวนทอประกายระยับ ยิ้มเอ่ยว่า “หากผู้ถวายงานซุนเป็นผู้ฝึกตน จวนวารีแม่น้ำป๋ายหูก็จะกลายเป็นวัดเล็กไปเสียแล้ว”
ซุนเติงส่ายหน้า “เป็นฝึกยุทธยังไม่ได้ดิบได้ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝึกตนเลย”
เดินขึ้นเขาฝึกตนพิถีพิถันในเรื่องคุณสมบัติฐานกระดูกและวาสนาตระกูลเซียนมากเกินไป ซุนเติงรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่มีชะตาเช่นนั้น
เซียวหลวนเติมน้ำชาให้กับซุนเติง หลังจากคุยเล่นกันไปสองสามประโยค เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูท่านนี้ก็ยังยากจะปกปิดสีหน้ากลัดกลุ้มเอาไว้ได้
คราวก่อนนางโชคดี พอจะกล้อมแกล้มผ่านด่านไปได้ แต่คราวนี้ล่ะ?
ครั้งนี้นางมาเยือนถึงที่ก็เพราะต้องการจะปรึกษาเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของตัวเองกับอู๋อี้ เพราะเซียวหลวนเพิ่งจะได้ข่าวลับมาจากที่ว่าการกรมพิธีการแคว้นหวงหลวนว่า ตำแหน่งเทพวารีที่สำคัญหลายตำแหน่งซึ่งต้าหลีเว้นว่างมานานหลายปี ยกตัวอย่างเช่นจวนวารีแม่น้ำเถี่ยฝูที่ไม่มีเจ้าของชั่วคราว และยังมีตำแหน่งเฉียนถังจ่างของเฉาหย่งหลินหลีป๋อที่ว่างอยู่ อีกไม่นานก็จะมีการเสริมตำแหน่งที่ว่างตามลำดับแล้ว ราชสำนักต้าหลีวางแผนเพื่อเรื่องนี้มานานมากแล้ว ในฐานะเทพวารีของสถานที่แห่งหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ทำเนียบขุนเขาสายน้ำของเซียวหลวนเป็นแค่ขั้นหก แน่นอนว่านางมิกล้าเพ้อฝันไปมากกว่านี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดยังเป็นข่าวลือเล็กๆ อย่างหนึ่งที่ลือกันได้น่าเชื่อถือ บอกว่าเย่ชิงจู๋เหนียงเนียงเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่เหมือนจะตั้งใจอยากเปลี่ยนน่านน้ำที่ปกครองดูแล ยินดีจะย้ายไปอยู่ที่อื่น นางถึงขั้นยอมลดระดับขั้นลง แต่ก็ต้องไปจากแม่น้ำอวี้เย่ให้จงได้
แม่น้ำหันสือซึ่งเป็นเทพวารีระดับหนึ่งของแคว้นหวงถิงอยากจะเข้าเสริมตำแหน่งของแม่น้ำเถี่ยฝู และแม่น้ำป๋ายหูของเซียวหลวนก็มีธาตุน้ำที่ใกล้เคียงกับแม่น้ำหันสือ หากเทพวารีแม่น้ำหันสือได้เลื่อนขั้น เซียวหลวนก็มีหวังที่จะได้พัฒนาไปอีกขั้น เปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งทั้งของร่างทองเทพวารีและจวนวารีไปพร้อมๆ กัน และยังได้ยกระดับความสูงของเทวรูปขึ้นไปอีกหนึ่งฉื่อได้ตามกฎ
เซียวหลวนยินดีให้คำสัญญากับจวนจื่อหยางว่าตนเองยินดีไปพบฮ่องเต้ที่เมืองหลวงแคว้นหวงถิง ให้การสนับสนุนเทพวารีลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างเต็มกำลัง เขาเองก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปอีกระดับ มารับหน้าที่เป็นเทพของแม่น้ำป๋ายหู ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าละเมิดกฎ
วงการขุนนางก็เป็นเช่นนี้ ขุนนางคนหนึ่งถูกเปลี่ยนสถานะ ย้ายตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าจะได้เลื่อนขั้นหรือสูญเสียตำแหน่งขุนนางไป ส่วนใหญ่ก็มักจะ ‘สร้างความผาสุก’ ให้กับขุนนางกลุ่มที่อยู่เบื้องล่างได้เสมอ
และวงการขุนนางของขุนเขาสายน้ำก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าหากผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว ส่วนใหญ่แล้วหากพลาดแล้วก็พลาดเลย หลังจากนั้นก็ได้แต่เบิกตารอจนตาแห้งนานเป็นร้อยปีหรืออาจถึงขั้นได้แต่ร้อนใจเปล่าๆ นานหลายร้อยปี
เซียวหลวนจึงอยากจะลองมาพูดคุยเสี่ยงดวงกับทางฝ่ายนี้ดู เพราะคราวก่อนเคยเสียเปรียบ หากไม่เป็นเพราะใครบางคนช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ ตนจะได้เดินออกไปจากจวนจื่อหยางหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก อันที่จริงหลายปีมานี้เซียวหลวนก็พยายามแก้ไขอยู่หลายครั้ง เป็นฝ่ายซ่อมแซมความสัมพันธ์กับจวนจื่อหยาง ทว่ากลับไม่เคยได้พบหน้าอู๋อี้เลยสักครั้ง
แต่หากจะบอกว่าให้เซียวหลวนเอาอย่างเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงที่เผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูป ใช้สถานะของเทพวารีไปขอเอกสารผ่านด่านข้ามขุนเขามาจากทางราชสำนัก วิ่งไปตีสนิทกับใครบางคน เซียวหลวนมิอาจทำเรื่องหน้าไม่อายแบบนี้ออกมาได้จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังกลัวว่าจะเป็นการปล่อยไก่เสียเปล่า พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วได้กินน้ำแกงประตูปิดยังไม่นับเป็นอะไรได้ กลัวก็แต่ว่าจะทำให้เจ้าขุนเขาหนุ่มที่ทั่วร่างเหมือน...มีแต่กลิ่นอายเที่ยงธรรมผู้นั้นโมโหเอาได้
หลายปีมานี้เซียวหลวนฮูหยินทั้งมีมารยาททั้งเคารพนับถือซุนเติงเค่อชิงอันดับหนึ่งของจวนวารีบ้านตนอย่างมาก เพราะผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มาพึ่งพิงแม่น้ำป๋ายหูกลางคันผู้นี้ต่างหากจึงจะเป็นผู้สูงศักดิ์อันดับหนึ่งของจวนเทพวารีบ้านตนอย่างแท้จริง
อีกทั้งซุนเติงก็เคยอยู่ในกองทัพของแคว้นหวงถิง เคยนำทัพทำสงครามด้วยตัวเองมาก่อน หลายปีมานี้ก็จัดการจวนวารีที่เดิมทีกฎเกณฑ์หละหลวมให้กลับมามีระเบียบ ดำเนินการได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยจริงๆ
นับแต่โบราณมามีวีรบุรุษผู้มากความสามารถมากแค่ไหนที่เป็นดั่งเมฆสลายหิมะละลายบุปผาร่วงโรยจันทร์ส่องแสงอ่อนจาง คนแยกจากจอกสุราว่างเปล่า
เซียวหลวนไม่อยากให้ซุนเติงต้องหดหู่ใจกับการมาเยือนที่แห่งนี้เกินไปจึงฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเป่า คุยเรื่องประหลาดและคนที่น่าสนใจซึ่งเกิดขึ้นใหม่ที่ราชวงศ์ต้าสุยกับเขา
ทางฝั่งของลำคลองเถี่ยเชวี่ยน เดินเล่นกับเกาเนี่ยงไปพักหนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยขอตัวลา เข้ามาในจวนจื่อหยางพร้อมกับชิงถงโดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น ตรงดิ่งมาถึงนอกโถงเจี้ยนชื่อ หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นอู๋อี้ก็เดินข้ามธรณีประตูของห้องโถงใหญ่ออกมาพร้อมเจ้าจวนหวงฉู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วมีคนนอกสองคนมายืนอยู่ข้างๆ ในระยะประชิด
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่นอกประตู มองกรอบป้ายของศาลบรรพจารย์ที่แขวนไว้สูง แค่มองก็รู้ว่าเป็นลายมือของเฉิงหลงโจวเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู
ก่อนหน้านี้อยู่ในอำเภอสุ้ยอัน เฉินผิงอันพาชิงถงไปหยุดอยู่นอกโรงเรียนเก่าโทรมแห่งหนึ่งที่ประตูใหญ่ปิดแน่น
ตอนนั้นเฉินผิงอันยืนอยู่นอกรั้วไม้ต่ำเตี้ย มองอย่างเหม่อลอย
ความมานะทั้งชีวิตอยู่ในผืนนาแห่งหัวใจ เรือนแห่งใจก็คือห้องขัดกระบี่
คืนนี้คือคืนสิ้นปีวันที่สามสิบที่ทุกคนในครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้ากัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิที่ได้บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว
หลังจากวันที่สองเดือนสองซึ่งเป็นวันมังกรเชิดหัวของทุกปีก็คือเทศกาลซ่างซื่อ รวมไปถึงเทศกาลชิงหมิงที่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเวลาระหว่างนี้ผู้คนที่เดินทางไปข้างนอกล้วนจะเรียกว่าย่ำวสันต์
หลังจากนั้นก็เป็นวันที่ห้าเดือนห้าแล้ว
โดยไม่ทันรู้ตัวก็ถึงวัยไม่สับสน (หมายถึงคนอายุสี่สิบปี ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่เมื่อเผชิญกับเรื่องต่างๆ ก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนไม่มีความสับสนแล้ว) ครึ่งหนึ่งของชีวิตล้วนอยู่ท่ามกลางการท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ
——