กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 933.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (กลาง)
เฉินผิงอันไม่ได้เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในโถงเจี้ยนชื่อ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์จวนจื่อหยาง เขาหมุนตัวกลับ ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราไปเปิดหูเปิดตาที่ห้องครัวกันเถอะ”
รูปเหมือนของบรรพจารย์ที่แขวนไว้ด้านใน ภาพที่อยู่ตรงกลางก็คือภาพของอู๋อี้ที่สวมชุดคลุมเต๋าสวมรองเท้าย่ำเมฆา นอกจากนี้ก็คือภาพเหมือนของเจ้าจวนแต่ละรุ่นที่เรียงกันตามลำดับซ้ายขวา
และพรุ่งนี้ทางฝั่งของภูเขาเซียนตู ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ชิงผิงก็จะมีภาพเหมือนของเฉินผิงอันถูกแขวนไว้ตรงกลางเหมือนกัน
ตอนที่ชิงถงขยับเท้าก็ได้หันไปเหลือบมองกรอบป้าย โถงเจี้ยนชื่อ? (กระบี่ตวาด)
ในนิยายมักจะมีประโยคว่าแม่ทัพบู๊หรือไม่ก็จอมยุทธพเนจร ‘ยื่นมือกดกระบี่ตวาดคำราม’ อย่างไรๆ อยู่
เพียงแต่จวนจื่อหยางแห่งนี้ไม่มีแม้แต่ผู้ฝึกกระบี่สักคน แต่กลับกล้าตั้งชื่อห้องโถงเช่นนี้? นี่เรียกว่าคุณธรรมไม่สมตำแหน่งเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
แต่ก็มองออกว่าอู๋อี้ที่มีฉายาว่าต้งหลิงผู้นี้คล้ายจะได้สืบทอดโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งมาจากเจียวเฒ่าหมื่นปี ส่วนที่เหลืออยู่เจ้าขุนเขาเฉิงแห่งสำนักศึกษาต้าฝูก็น่าจะมอบให้กับเทพวารีแม่น้ำหันสือ
อาหารคืนข้ามปีของจวนจื่อหยางจัดอยู่ในห้องโถงเซวี่ยหมางที่เดิมทีเอาไว้ใช้รับรองแขกสูงศักดิ์มาโดยตลอด
เพราะถึงอย่างไรจวนบนภูเขาที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ก็มีแค่ไม่กี่แห่งที่จะกินอาหารคืนข้ามปีกันอย่างจริงจัง
ผู้ฝึกตนทำเนียบหากไม่ได้ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก็คือปิดด่านฝึกตน ไม่อย่างนั้นก็เข้าร่วมงานพิธีต่างๆ
บริเวณใกล้เคียงกับโถงเซวี่ยหมางมีห้องครัวตั้งเรียงรายกันอยู่แถวหนึ่ง แบ่งออกเป็นห้องสำหรับอาหารล้ำค่าหายาก ห้องสำหรับสุราและผลไม้ สาวใช้ในจวนที่มาทำหน้าที่เป็นแม่ครัวเดินสวนกันขวักไขว่เหมือนฝูงปลาแหวกว่าย
ตระกูลร่ำรวยที่ฐานกำลังทรัพย์แน่นหนา มักจะต้องพิถีพิถันในเรื่องที่ว่าอาหารชั้นเลิศต้องเนื้อสดหั่นประณีติ อาหารง่ายๆ ต้องปรุงสดทำอย่างบรรจง หรือหากจะพิถีพิถันอีกสักหน่อยก็มักจะลงแรงกับการจัดหาอาหารรสจืดเรียบง่ายที่ปรุงอร่อย
ภูเขาลั่วพั่วมีจูเหลี่ยนเป็นผู้ดูแลจึงไม่ต้องกลัวปัญหายุ่งยาก ไม่ว่าจะนอกหรือใน เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรเขาก็เหมาไปทำเองได้หมด ไม่ต้องให้คนอื่นคอยเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
ทุกๆ ปีไม่ว่าจะเดือนไหน จูเหลี่ยนจะต้องรับเงินเดือนเป็นเงินหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะทุกเดือนเสมอ บอกว่าจะพยายามรวบรวมให้ได้ครบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้ได้
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกห้องครัวห้องหนึ่ง มองกล่องอาหารที่มาจากหอเจินซิวหลายใบ เอ่ยสัพยอกว่า “ตามคำกล่าวของพ่อครัวเฒ่าบ้านข้า ร้านอาหารบางแห่งที่ถูกเรียกขานว่าร้านเก่าแก่ก็แค่เพราะรักษาฝีมือของการทำอาหารได้มาตรฐานเหมือนตอนที่เพิ่งเริ่มทำเอาไว้ได้”
ทางฝั่งนครฉือสุ่ยทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็เคยลิ้มรสของปูกิ่งไผ่มาก่อน นั่นยังเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาทำตัวเป็นเจ้าบ้านจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก
เรื่องแบบนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ครั้งล่าสุดก็คือตอนอยู่ที่ลำคลองชางผูเมืองหลวงต้าหลีที่เลี้ยงเหล้ากวนอี้หรานกับจิ่งควน แน่นอนว่าไม่ใช่สุราเคล้านารีอะไร ทุกวันนี้จิ่งควนได้ออกจากเมืองหลวงไปรับหน้าที่เป็นผู้ว่าของเขตเป่าซีจังหวัดฉู่โจวแห่งใหม่แล้ว
ชิงถงถาม “พ่อครัวเฒ่า? คือจูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้าเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจูเหลี่ยนไหม?”
ชิงถงพยักหน้า “พื้นที่มงคลดอกบัวไม่ใช่สถานที่แปลกหน้าสำหรับข้า ข้ามักจะไปผ่อนคลายอารมณ์ที่นั่นเป็นประจำ แน่นอนว่าต้องเคยเจอกับจูเหลี่ยน”
อีกทั้งยังไม่กล้ามองมากด้วย
เพราะหอสยบปีศาจเป็นเพื่อนบ้านกับอารามกวานเต๋า ดังนั้นชิงถงจึงเคยเห็นจูเหลี่ยนอยู่ไกลๆ สองครั้ง นั่นต้องเรียกว่าเป็น…คนมหัศจรรย์จริงๆ แน่นอนว่าไอ้หมอนี่หน้าตาดีมากจริงๆ
ครั้งหนึ่งคือตอนที่จูเหลี่ยนอายุยังน้อยเคยไปย่ำวสันต์เที่ยวเล่นที่นอกเมือง อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่จูเหลี่ยนเป็นหนุ่มแล้วพกกระบี่เดินทางออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง
ในเรื่องเล่าประหลาดและเรื่องราวในยุทธภพมักจะมีเรื่องราวความรักที่สตรีพบชายแปลกหน้าก็หลงรักตั้งแต่แรกเห็นอยู่เสมอ อย่าได้ไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะจูเหลี่ยนที่อยู่ในยุทธภพไม่ต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ อาศัยแค่ใบหน้าของเขาก็ไม่รู้ว่าก่อหนี้รักไว้กี่มากน้อยแล้ว
คุณชายสูงศักดิ์ผู้งามสง่าเดินขึ้นสู่ที่สูงยืนพิงราวรั้วมองไปยังทิศไกล แค่ใช้สองนิ้วขยับหมุนเส้นผมกลุ่มหนึ่งตรงจอนหูก็คล้ายกับบิดขั้วหัวใจของสตรีมากมายที่มองอยู่ด้านข้างให้หักได้แล้ว
ราวกับว่าขอแค่ลุ่มหลงในคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเหมาะสมคู่ควรกันหรือไม่ จะได้แต่ปรารถนามิได้มาครอง หรือได้ครองคู่อยู่ด้วยกันจนผมขาว ก็ล้วนรักลึกซึ้งเหมือนผูกปมแค้น ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรา
มีสตรีผมขาวโพลนในยุทธภพกี่มากน้อยที่พอชราแก่หง่อม ชีวิตนี้สุดท้ายแล้วก็ยังคงอยากพบเจอจูหลาง แต่ก็อับอายที่จะเจอจูหลาง
ชิงถงเอ่ยสัพยอก “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าจะสร้างบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเมื่อไหร่? หากว่าจูเหลี่ยนยินดีกลับคืนสู่โฉมหน้าที่แท้จริง ข้าต้องไปให้การสนับสนุนแน่นอน รับรองว่าทุกครั้งจะเริ่มต้นด้วยเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ”
คนสี่คนในภาพวาดที่ถูกเฉินผิงอันพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว พวกเว่ยเซี่ยนสามคนต่างก็ไม่ได้ปิดบังอำพราง เปิดเผยตัวตนด้วยร่างจริง มีเพียงจูเหลี่ยนที่เปลี่ยนโฉมกลายมาเป็นผู้เฒ่าหลังค่อม พูดจาทะลึ่งสัปดน
เฉินผิงอันในเวลานั้นถูกปิดหูปิดตา แต่ชิงถงกลับรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เอาจริงหรือ? ข้าสามารถปรึกษากับจูเหลี่ยนได้นะ ให้เขาเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำให้สหายชิงถงดูคนเดียว ตกลงกันไว้ก่อนว่าต้องหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าได้เจอจูเหลี่ยนทุกวัน มองจนกว่าจะเต็มอิ่ม”
ชิงถงกลับไม่เอ่ยตอบโต้แล้ว
ชิงถงเองก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาซึ่งความรู้กว้างขวางมากแล้ว แต่บุรุษรูปงามอย่างจูเหลี่ยน ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเจอเป็นคนที่สองเลยจริงๆ ต่อให้เป็นสตรีที่ถูกขนานนามว่างามล่มบ้านล่มเมือง เกรงว่าก็คงต้องละอายใจที่สู้ไม่ได้
คนงาม คนงาม ที่แท้คำนี้ก็ไม่ได้มีแค่สตรีที่ได้ครอบครองไปเพียงลำพัง
ความงามตอนเยาว์วัย ดุจลมเย็นจันทร์กระจ่าง ความคิดบริสุทธิ์ไร้ความชั่วร้าย
ความพิสุทธิ์ยามวัยหนุ่ม เป็นหนึ่งไม่มีสอง ประดุจเจ๋อเซียน
แต่ก็อย่าได้รู้สึกว่าจูเหลี่ยนคือหมอนปักลายบุปผาที่มีแต่เนื้อหนังมังสาอย่างเดียวเท่านั้น พวกอวี๋เจินอี้ในยุคหลัง คำว่าเดินขึ้นสู่ที่สูง กลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าก็เพียงแค่เพราะพื้นที่มงคลดอกบัวใหญ่เพียงเท่านั้น
ทว่าจูเหลี่ยนที่เปลี่ยนจากคุณชายผู้สูงศักดิ์ในตระกูลเศรษฐีกลายมาเป็นเสากลางค้ำยันแคว้นผู้กอบกู้สถานการณ์ซึ่งกำลังจะล้มลง จนกระทั่งกลายมาเป็นคนคลั่งวรยุทธในยุทธภพ เขากลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้อย่างสมชื่อ ก็เพียงแค่เพราะพื้นที่มงคลดอกบัวใหญ่เพียงเท่านั้นเช่นกัน
ผลลัพธ์มองดูเหมือนคล้ายกัน แต่อันที่จริงทั้งสองฝ่ายอยู่กันคนละสภาพการณ์อย่างสิ้นเชิง
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ใช้เสียงในใจถามว่า “วิธีผสานมรรคาของเจ้าอารามผู้เฒ่าคล้ายคลึงกับมหามรรคาที่ ‘ใต้หล้าไร้เรื่องราวใดก็คือช่วงเวลาอันผาสุก’ หรือไม่?”
ชิงถงย้อนถาม “อิ่นกวานพูดถึงปีที่เก็บเกี่ยวได้ดีหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็แค่ลองเดาดูเท่านั้น”
เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้นจริงๆ เพราะเมื่อครู่นี้ชิงถงพูดถึงเรื่องที่เสี่ยวโม่ไปหมักเหล้าที่ชายหาดลั่วเป่า และสถานะของเสี่ยวโม่เดิมก็เป็นดั่งคำกล่าวของโลกยุคหลังที่บอกว่า ‘วาสนาหล่นลงมาจากฟ้า’
บวกกับร่างจริงของเจ้าอารามผู้เฒ่า อีกทั้ง ‘นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็น’ ผู้นี้ การกระทำบางอย่างของเขาในสงครามครั้งนั้นคล้ายกับว่าจุดยืนของเขาจะค่อนข้างล่องลอยไม่แน่นอน เพียงแต่ว่าไม่ได้แสดงความเอนเอียงอย่างเห็นได้ชัด โดยภาพรวมแล้วยังคงยืนอยู่ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาล เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้เลือกเข้าข้างใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงเพราะชาติกำเนิดของมหามรรคาตัวเอง ส่วนเรื่องของการหมักเหล้าในโลกมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องที่มีเฉพาะตอนที่ใต้หล้าสงบสุขเท่านั้น คนที่พลัดพรากจากลาอย่างอลหม่านมิอาจสู้สุนัขที่ผาสุกได้ ใครยังจะมีอารมณ์มีเวลาเหลือให้ไปหมักเหล้า? แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ละยุคแต่ละสมัยส่วนใหญ่มักจะมีคำสั่งห้ามสุราในระดับที่แตกต่างกันไป ส่วนคำว่าเหลาสุราร้านเหล้าที่พวกจอมยุทธพเนจรในนิยายไปนั่งกินบ่อยๆ เอะอะก็บอกว่าเอาเนื้อวัวมาหลายๆ จิน อันที่จริงไม่ได้เป็นความจริงเท่าใดนัก
เบาะแสที่ร้อยเรียงกันซึ่งเหมือนอยู่ห่างไกลไปสุดขอบฟ้า หลังจากทยอยเอามารวมกันแล้วก็ทำให้เฉินผิงอันใจสั่นเล็กน้อย เริ่มพลิกเปิดตำราในหอเก็บตำราของทะเลสาบหัวใจอย่างว่องไว ในที่สุดก็เจอ ‘คำโบราณ’ ยุคบรรพกาลที่ไม่รู้ว่าเป็นคำกล่าวของใคร คำว่า ‘ตัดบัวยังเหลือไย’ ก็คือเส้นสายซ่อนแฝงที่ยากจะสังเกตเห็นเส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ช่วงเวลาอันผาสุก ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ มีคลังเก็บธัญพืชสูงใหญ่ ธัญพืชมากมายยากจะคำนวณ หมักเหล้ารสทั้งหอมทั้งหวาน มอบให้บรรพบุรุษได้ชิมก่อน เหมาะสมนำไปใช้ในพิธีเซ่นไหว้ ประทานพรนำพาสุข”
ชิงถงสีหน้านิ่งสงบ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ แต่คงเพราะรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมคล้ายเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย จึงรีบเอ่ยเสริมขึ้นมาทันทีว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานมีความคิดที่บรรเจิดเลิศล้ำจริงๆ”
เฉินผิงอันปรายตามอง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะเป็นเช่นไร คิดดูแล้วทิศทางการคาดเดาคร่าวๆ ในใจของชิงถงก็ไม่น่าจะพ้นไปจากเส้นสายนี้แล้ว
นี่จะหมายความว่าในยุคที่โลกสงบสุข เจ้าอารามผู้เฒ่าต่งไห่แห่งอารามกวานเต๋ามีพลังการต่อสู้ที่สูงมากใช่หรือไม่? แต่หากเป็นกลียุค ตบะของเขาจะลดต่ำลง พลังในการต่อสู้โจมตีก็จะอ่อนด้อยลงไปด้วย?
ชิงถงรู้สึกรำคาญอย่างมาก
อารามกวานเต๋าของตงไห่ในปีนั้น ในระเบียงของอารามตากข้าวโพดเอาไว้ บนลานตากธัญพืชเป็นสีเหลืองอร่าม ล้วนเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ลงมือทำด้วยตัวเอง นักพรตน้อยเซาฮว่อที่ดวงตามองสูงไม่เห็นหัวใคร สะพายน้ำเต้าลูกใหญ่อยู่ตลอดทั้งปีไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วยซ้ำ และน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มาจากหนึ่งในเถาน้ำเต้าที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกเองกับมือในอดีต มีชื่อว่า ‘โต่วเหลียง’ (ปริมาณมากมหาศาล) ผู้ฝึกตนทั่วไปบางทีได้ยินชื่อนี้อาจจะคิดไปถึงประโยค ‘น้ำในมหาสมุทรมิอาจตวงวัด’ ทันที แต่อันที่จริงกลับไม่ได้มีอะไรลี้ลับเช่นนั้น พูดให้ถูกต้องก็คือ ไม่ได้ลี้ลับมหัศจรรย์อะไรมากมายหรือหวนกลับคืนสู่ความจริงอะไร มันก็เป็นแค่วัตถุที่ใช้วัดตวงเท่านั้นจริงๆ
และสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เครื่องตวงวัดมากที่สุดบนโลกก็ไม่ใช่ธัญพืชที่ปลูกทุกปีเก็บทุกปีหรอกหรือ?
เฉินผิงอันเดินไปที่โถงเซวี่ยหมาง ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกประหนึ่งเดินออกมาจากกระจก เผยกายออกมาแล้วก็เอ่ยกับชิงถงอีกว่า “เจ้าก็ไม่ต้องอำพรางตัวตนแล้ว”
ตลอดทั้งจวนจื่อหยาง มีเพียงอู๋อี้ที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณส่วนนี้ นางทิ้งหวงฉู่เอาไว้ พุ่งมาที่นี่พร้อมปราณสังหารพลุ่งพล่าน ผลกลับต้องยืนอึ้งอยู่กับที่
ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมาเยือนถึงบ้าน
หลังจากฟังข้อเสนอที่เฉินผิงอันกล่าวมา อู๋อี้แทบจะไม่ต้องครุ่นคิด ไม่มีความลังเลใดๆ ก็ตอบตกลงทันที
อย่าว่าแต่จะได้รับคุณความชอบที่ล้ำค่าหายากส่วนนั้นมาอย่างเปล่าๆ เลย ต่อให้ไม่มีผลตอบแทนที่ใหญ่เทียมฟ้าส่วนนี้ อู๋อี้ก็จะยังพยักหน้าตอบตกลง ช่วยจุดธูปน้ำให้หนึ่งดอก
เพราะเส้นทางที่บิดาชี้บอกให้นางนั้นหนีไม่พ้นเฉินผิงอัน มีความเกี่ยวข้องกับอวี๋ลู่รัชทายาทแคว้นล่มสลายของราชวงศ์สกุลหลูอย่างใกล้ชิด และอวี๋ลู่กับเฉินผิงอันก็เป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีแล้ว ยังมีมิตรภาพเป็นสหายร่วมห้องกันครึ่งหนึ่ง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดบิดาถึงมั่นใจว่าชาวบ้านพลัดถิ่นที่ ‘ชอบอู้งาน’ อย่างอวี๋ลู่ผู้นี้จะมาตั้งรกรากอยู่ที่ใบถงทวีป กอบกู้ชะตาแคว้นให้กับสกุลหลู อู๋อี้กลับไม่ได้สนใจ
อู๋อี้บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ เพียงไม่นานก็ไปเยือนโถงเจี้ยนชื่อ เปิดตราผนึกลับชั้นหนึ่งออก หยิบสมบัติล้ำค่าบนภูเขาชิ้นหนึ่งออกมาจากในห้องลับ
ส่วนผู้ฝึกตนหญิงที่สวมหมวกคลุมหน้า ในเมื่อเฉินผิงอันไม่ได้แนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก อู๋อี้ก็ไม่ถามให้มากความ
กลับไปยังระเบียงที่แกะสลักอย่างงดงามแห่งนั้น อู๋อี้ยื่นกล่องไม้เล็กๆ ใบหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน
บนกล่องไม้แกะสลักเป็นภาพเจียวหลงแห่งตำหนักเทพ เทพธิดาหญิงเฟิ่งหลวน และเจินเหรินยุคโบราณขี่กระดองเต่า
ของชิ้นนี้คือสมบัติพิทักษ์จวนจื่อหยาง เจ้าจวนทุกรุ่นอย่าหวังว่าจะได้เห็น
เดิมทีอู๋อี้คิดจะมอบให้กับตัวอ่อนเซียนกระบี่บางคนในอนาคตที่จะถูกตนรับมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด จากนั้นรอให้อีกฝ่ายสร้างโอสถทองได้ก็จะมอบให้เป็นของขวัญรับลูกศิษย์ที่มาถึงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเป็นของขวัญแสดงความยินดีไปในคราวเดียวกัน
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ข้าไม่ได้มาปล้นทรัพย์เสียหน่อย นี่เจ้าคิดจะทำอะไร
“ด้านในบรรจุเม็ดกระบี่ยุคบรรพกาลที่หาได้ยากยิ่งเม็ดหนึ่ง”
อู๋อี้เข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายดูแคลนของขวัญพบหน้าชิ้นนี้ จึงได้แต่ฝืนนิสัยอธิบายอย่างอดทน “เป็นของขวัญที่บิดามอบให้ข้าในปีนั้นตอนที่ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต”
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นบิดาของนางอิ่มมากแล้ว อีกทั้งยังอารมณ์ไม่เลว ถึงได้มอบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มาให้
ชิงถงเพียงแค่กวาดตามองกล่องไม้แวบเดียว พอได้ยินคำว่า ‘หาได้ยากยิ่ง’ จากอู๋อี้ ชิงถงที่อยู่ด้านหลังผ้าคลุมหน้าก็กระตุกมุมปาก ขอบเขตไม่สูง แต่พูดจาวางโตไม่เบา
แต่รอกระทั่งอู๋อี้ร่ายคาถา ใช้สองนิ้วปาดตราผนึกหลายชั้นบนกล่องกระบี่ขนาดจิ๋วออก ปราณกระบี่ก็พลันแผ่อบอวลออกมา ไอม่วงลอยกรุ่น
ชิงถงตกตะลึงไปเล็กน้อย เป็นของที่มีค่าจริงๆ หรือนี่
ตัวอักษรม่วงทองที่มีประกายแสงเรืองรองร้อยเรียงกันเป็นเส้นยาว ประโยคหนึ่งในนั้นคือคำว่า ‘ภาพฝาผนังพันปีไร้คนรับรู้ ตรีวิสุทธิ์แค่ต้องการร่างดิน’
เมื่อตราผนึกเวทลับหลายชั้นที่เฉิงหลงโจวร่ายไว้ถูกอู๋อี้คลายออก ตัวอักษรก็เหมือนหิมะทับถมที่หลอมละลาย พริบตาเดียวก็กระจายออกไป ต่อให้เป็นอู๋อี้ก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เก็บกลับมาไม่ทัน
เห็นได้ชัดว่าเกินครึ่งอู๋อี้น่าจะได้คำเตือนจากบิดาว่าให้กลับมาเปิดตราผนึกทั้งหมดออกในภายหลัง
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อเก็บท่วงทำนองตัวอักษรทั้งหมดนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ
อู๋อี้รู้สึกเสียใจภายหลังนิดๆ แล้ว น้ำเสียงลดเบาอยู่หลายส่วน “ได้ยินบิดาบอกว่า เม็ดกระบี่เม็ดนี้มาจากมหาบรรพตประจิมของแผ่นดินกลางในยุคโบราณ เป็นเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาท่านหนึ่งที่หลอมขึ้นมากับมือตัวเอง เดิมทีมอบให้เป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาของมหาบรรพตประจิม”
ในความหมายโดยทั่วไปแล้ว คำว่ายุคโบราณที่ผู้ฝึกตนในทุกวันนี้พูดถึงกันก็คือการเปรียบเทียบกับ ‘ยุคบรรพกาล’ เมื่อช่วงหมื่นปีก่อน โดยมีสี่ส่วนของใต้หล้าเป็นจุดเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าไพศาลก่อตั้งศาลบุ๋น มีศึกสังหารมังกรครั้งนั้นที่ ‘บนโลกนี้ไม่มีมังกรที่แท้จริงอีก’ เป็นจุดสิ้นสุด นี่ก็คือยุคโบราณในความหมายโดยกว้าง แน่นอนว่าก็มีก่อนหน้านี้อีกสามสี่พันปีซึ่งมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ไม่มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นจุดเชื่อมต่อที่ถูกอำพรางไว้ ถือเป็นคำกล่าวที่มีความหมายแคบกว่า
เฉินผิงอันไม่ได้รับกล่องกระบี่มา แค่เอ่ยเสียงเบาว่า “เคยได้ยินมาว่ามหาบรรพตประจิมในสมัยโบราณ หล่อหลอมทองของห้าธาตุเป็นตัวหลัก พร้อมกับควบคุมสัตว์ปีกมีขน”
ในช่วงเวลานั้นหากอิงตามธรรมเนียมปฏิบัติที่หลี่เซิ่งกำหนดไว้ โอรสสวรรค์บวงสรวงขุนเขาสายน้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า ห้ามหาบรรพตถูกมองเป็นซานกง (คำเรียกขุนนางขั้นสูงสุดสามตำแหน่ง) ลำน้ำใหญ่ถูกมองเป็นเหล่าโหว
ทว่าเจ้าของตัวจริงของห้ามหาบรรพตกลับไม่ใช่ซานจวิน ซานจวินของห้ามหาบรรพตในเวลานั้นเหมือนกับขุนนางผู้ช่วยคนหนึ่งมากกว่า ผู้ที่ให้การช่วยเหลือก็คือ ‘เจินเหริน’ และห้ามหาบรรพตก็คือที่ทำงานของเจินเหริน เจินเหรินกลุ่มนี้มีหน้าที่ต่างกันไป ได้กุมอำนาจสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นเจินเหรินสองสามคนที่ที่ทำงานอยู่ในมหาบรรพทักษิณ หนึ่งหลักสองรอง แบ่งออกเป็นดูแลเรื่องการแบ่งเขตปรากฎการณ์ดวงดาวบนโลก ควบกับการดูแลเรื่องของปลามังกรเผ่าพันธุ์น้ำ ส่วนหน้าที่ของที่ว่าการมหาบรรพตประจิมที่ดึงดูดความสนใจของคนได้ดีที่สุด แน่นอนว่ายังคงเป็นเรื่องของการ ‘หล่อหลอม’ ในบางระดับแล้วนี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกรมโยธาของราชสำนักในโลกยุคหลัง
คำว่าที่ว่าการเจินเหรินก็คือที่ว่าการหรือลานประกอบพิธีกรรมที่ ‘เทพเซียนพสุธา’ ตามความหมายที่แท้จริงอาศัยอยู่เป็นประจำในโลกมนุษย์
แน่นอนว่าเทพเซียนพสุธาในเวลานั้นยังไม่ได้มีมากมายเหมือนในโลกยุคหลัง มีหน้ามีตาอย่างมาก แต่ว่าไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เอาไว้ใช้บรรยายผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดอะไร แต่กลับเหมือน ‘เซียนดิน’ ในสายตาของพวกเสี่ยวโม่และชิงถงของในยุคบรรพกาลมากกว่า
——