กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 933.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (กลาง)
ซุนเติงเซียนยิ้มเอ่ย “ปีนั้นเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้หากได้เจอกัน ยังจะพูดคุยกันได้อีกหรือไม่”
เซียวหลวนลังเลเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าให้เจ้าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว ทำไมเจ้าถึงไม่เคยยอมไป ทางฝั่งของจวนวารีไม่คิดจะให้เจ้าต้องทำอะไรสักหน่อย ก็แค่เหมือนการแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกันในวันปีใหม่ ดื่มเหล้าพูดคุยเรื่องน่าสนใจในยุทธภพกับอิ่นกวานเท่านั้น”
ทั้งบอกเป็นนัยและบอกอย่างชัดเจน เซียวหลวนเคยทดลองมาหมดแล้ว ทว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของจวนวารีบ้านตนท่านนี้กลับไม่ยอมพยักหน้าตอบตกลง ไม่เคยบอกกล่าวสาเหตุ ดื้อยิ่งนัก
ซุนเติงเซียนหัวเราะ ยังคงไม่ได้อธิบายอะไร
ถึงอย่างไรเหนียงเนียงเทพวารีก็ไม่ใช่คนในยุทธภพ ยากจะพูดคุยภาษายุทธภพอย่างแท้จริงได้
เป็นฝ่ายไปขอเหล้าดื่มก่อน นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไปของมนุษย์
สุราที่เป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนก็ดื่มได้ไม่เมา รสชาติก็ไม่เหมือนเหล้าชั้นเลวในตลาดที่พบเจอกันโดยบังเอิญ
ใต้หล้ามีคนฉลาดมากมายขนาดนั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นขาดข้าซุนเติงเซียนไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก
เซียวหลวนเองก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง ไม่มีทางจะคิดจะให้ซุนเติงเซียนไปตีสนิทอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเพื่อตัวเองหรือจวนวารีแม่น้ำป๋ายหูจริงๆ
เพียงแต่เซียวหลวนเองก็ยังมีเรื่องลับที่ยากจะเอื้อนเอ่ยอยู่เรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่นึกถึงก็แทบอยากจะขุดรูมุดลงไป
เรื่องนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่หล่นไปอยู่ในมือของอู๋อี้แล้ว
ซุนเติงเซียนเอ่ยขอตัวลากับเหนียงเนียงเทพวารี ออกมาจากห้อง เตรียมไปจะฝึกเดินนิ่งอยู่ในเรือนเพื่อยืดเส้นยืดสาย
อันที่จริงเขาพักอยู่ในห้องด้านข้างของเรือนนี่เอง
ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันตามลำพัง หญิงชายไม่ควรใกล้ชิด? ไม่ได้จัดให้พวกเจ้าสองคนอยู่ในห้องเดียวกันก็ถือว่าจวนจื่อหยางมีมารยาทในการรับรองแขกมากแล้ว
พอดีกับที่นอกเรือนหลังเล็กมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เดินไปเปิดประตู ซุนเติงเซียนก็ต้องอึ้งตะลึงไปทันใด นอกจากอู๋อี้จะมาเยือนด้วยตัวเองแล้ว
ข้างกายอู๋อี้ยังมีคนหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว บุคลิกสง่างามอ่อนโยน ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคา
เซียวหลวนเองก็เดินเร็วๆ ออกมาจากห้องแล้ว ดวงตาเรียวยาวทอประกายเหมือนสายน้ำฤดูสารทคู่นั้นมีแววเขินอายวูบผ่าน ทว่าไม่นานก็กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
คนผู้นั้นกุมมือคารวะ คลี่ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “จอมยุทธใหญ่ซุน เซียวฮูหยิน เจอกันอีกแล้วนะ”
ซุนเติงเซียนเป็นแค่ผู้ถวายงานของจวนเทพวารี เซียวหลวนกลับเป็นเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ทว่าคนตรงหน้าผู้นี้กลับจงใจเรียกซุนเติงเซียนก่อนแล้วค่อยเรียกเซียวหลวนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา
เซียวหลวนหรือจะกล้าถือสาในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ รีบย่อเข่ายอบกายคารวะอย่างสำรวมทันที หลุบตาลงต่ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เซียวหลวนแห่งแม่น้ำป๋ายหูคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน!”
อู๋อี้เบ้ปาก เซียวหลวนผู้นี้ช่างโชคดีจริงๆ ดูเหมือนว่ามักจะได้เจอเจ้าคนข้างกายตนผู้นี้อยู่เสมอ สตรีผู้นี้ถือว่ามาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะบังเอิญหรือไม่?
ทำไม หรือว่าในจวนวารีแม่น้ำป๋ายหูแอบตั้งป้ายวิญญาณไม้เอาไว้?
เพียงแต่อู๋อี้ก็จำต้องยอมรับว่า เซียวหลวนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือโฉมสะคราญคนหนึ่งที่ ‘โฉมงามเลิศล้ำ มากพอจะทำให้คนหลงใหล จิตใจหวั่นไหว มองตามตาไม่กะพริบ’ จริงๆ
สตรีเห็นแล้วก็ยังรู้สึกว่าน่ารักน่าถนอม
ก็ไม่แปลกที่ในอาณาเขตของแคว้นหวงถิงจะมีหนังสือมากมายที่สร้างชื่อเสียงให้นางอย่างอ้อมๆ เอ่ยชื่นชมนางไม่ซ้ำรูปแบบ อะไรที่บอกว่าบนแม่น้ำมีเทพหญิง บนศีรษะโพกผ้าสีม่วงดอกบัว ใต้ฝ่าเท้าสวมรองเท้าลายใยบัว เดินแหวกคลื่นน้ำฝุ่นมิอาจแปดเปื้อน
เหอะ บทกวีที่คล้ายคลึงกันนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเซียวหลวนที่ไหว้วานให้คนมาช่วยเขียนแทนหรือไม่
อู๋อี้มองเซียวหลวนแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เซียวฮูหยิน ว่ามาเถอะ มาหาข้ามีธุระอะไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าคุยธุระกันไปเถอะ ข้ากับจอมยุทธใหญ่ซุนจะไปดื่มเหล้ากัน”
ซุนเติงเซียนมีสีหน้าลำบากใจ ตนออกจากบ้านไม่ได้พกสุรามา ในเรือนหลังนี้ก็ไม่ได้เตรียมสุราไว้ให้ แต่เฉินผิงอันกลับช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เขาแล้ว “ที่ข้ามีเหล้าหมักถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่หมักเองอยู่สองกา”
ไปถึงในห้องของซุนเติงเซียน รินเหล้าลงชามใหญ่สองชาม อันที่จริงซุนเติงเซียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เฉินผิงอันกลับถามจอมยุทธใหญ่ซุนว่าเคยเดินทางไปเที่ยวเยือนอำเภอสุ้ยอันหรือไม่ เมื่อมีหัวข้อสนทนาเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มพูดคุยกันได้แล้ว และพอมีเหล้าสองชามลงท้อง เฉินผิงอันก็ถอดรองเท้าผ้านั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้เสียเลย ซุนเติงเซียนก็เอาอย่าง ร่างทั้งร่างไม่แข็งเกร็งอีกต่อไป คนเก่าแก่ในยุทธภพ ขอแค่ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากนัก อันที่จริงก็ล้วนพูดคุยกันได้ ไม่ต้องให้อิ่นกวานหนุ่มหาเรื่องมาชวนคุย ซุนเติงเซียนก็เป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งให้ฟัง ถามเจ้าขุนเขเฉินว่ายังจำพวกคนที่เจอบนเทือกเขาสันตะขาบในปีนั้นได้หรือไม่ เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าต้องจำได้อยู่แล้ว ซุนเติงเซียนเช็ดปาก ยิ้มเอ่ยว่าเจ้าแก่พวกนั้น ขอแค่ได้มารวมตัวกันก็มักจะพูดคุยถึงเจ้าขุนเขาเฉินเสมอ แต่ตนน่ะไม่กล้าบอกว่ารู้จักเจ้า บางครั้งสอดปากพูดไปสองสามประโยคก็จะต้องถูกคนเถียงกลับมาทันทีว่าอิ่นกวานหนุ่มบอกเจ้าหรือ? หรือไม่ก็พูดว่าตอนนั้นเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือไร?
ซุนเติงเซียนดื่มเหล้าแล้วก็แสดงออกทางใบหน้าได้ง่าย เพียงไม่นานหน้าทั้งหน้าก็แดงก่ำ แต่อันที่จริงเขาแค่เพิ่งจะดื่มพอกรึ่มๆ เท่านั้น ถามว่า “ขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จอมยุทธใหญ่ซุนอยากถามว่าวิชาหมัดของเฉาสือเป็นอย่างไรหรือ?”
ซุนเติงเซียนถาม “ใช่ว่าเรื่องไหนไม่ควรพูดดันพูดเรื่องนั้นหรือไม่?”
“นี่จะมีอะไรกันเล่า ก็แค่ถามหมัดกับเฉาสือแล้วแพ้ติดต่อกันสี่ครั้งไม่ใช่หรือ”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าชนกับอีกฝ่ายเบาๆ ต่างฝ่ายต่างดื่มอึกใหญ่ ยกหลังมือเช็ดปาก “วิชาหมัดของเฉาสือประหนึ่งเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ทุกครั้งที่ลงมือก็ราวกับว่าทำนายได้ล่วงหน้ามาก่อน ร้ายกาจมากเลยล่ะ ข้าสู้เขาไม่ได้จริงๆ”
แต่เฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าแค่ชั่วคราว เปรียบเทียบกับปีนั้นที่ข้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วไร้เรี่ยวแรงให้ต่อสู้ตลอดการถามหมัดทั้งสามครั้ง การต่อสู้ที่สวนกงเต๋อครานั้นก็ถือว่าดีกว่าเดิมมากแล้ว”
ซุนเติงเซียนถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขาเฉินเรียนวิชาหมัดได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนตอบว่า “ในอดีตมีอาจารย์คอยสอนหมัดป้อนหมัดให้ ข้าเองก็ถือว่าอดทนกับความยากลำบากได้ บวกกับที่ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยเกียจคร้าน หากจะบอกว่าสถานะของผู้ฝึกกระบี่ที่ได้มาภายหลังคือเส้นทางการเดินขึ้นสู่ที่สูง ถ้าอย่างนั้นการฝึกวิชาหมัดเรียนวรยุทธในช่วงแรกก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”
ซุนเติงเซียนยิ้มถาม “คิดอย่างไรถึงหมักเหล้าเอง?”
เฉินผิงอันพูดหยอกล้อ “หาเงินอย่างไรล่ะ ตอนเด็กยากจนจนกลัว ในมือมีเงินอยู่แค่ไม่กี่แดง ในใจก็มักจะว่างโหวงอยู่เสมอ ทรัพย์สินของคนยากจนก็คือเหงื่อบนฝ่ามือ หากไม่เหนื่อยก็ไม่มี แต่เหนื่อยแล้วก็ยังไม่มี”
จิบเหล้าหนึ่งอึก เฉินผิงอันก็พูดต่ออีกว่า “ทุกวันนี้แน่นอนว่าไม่ขาดเงินแล้ว แต่เรื่องอย่างการหาเงินก็เหมือนกับการดื่มเหล้า ทำให้เสพติดได้ง่าย อย่างมากสุดก็แค่มักจะเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าอย่าได้หาเงินที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ คิดถึงเงินทองที่ไม่ชอบธรรมให้น้อยหน่อย เพราะพวกมันมักจะรั้งไว้ไม่อยู่ นอกจากนี้ก็คือพอมีเงินบ้างแล้วก็ต้องพยายามทำสิ่งที่ตัวเองสบายใจ เพราะเคยได้ยินคนเก่าคนแก่ของบ้านเกิดบอกว่า เก็บสะสมเงินให้กับลูกหลาน ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นความสุข รับไว้ไม่อยู่ก็คือรับไว้ไม่อยู่ มีเพียงทำความดีสะสมบุญกุศล ทิ้งความโชคดีไว้ให้กับลูกหลานเท่านั้น พวกเขาไม่อยากจะรับไว้ก็ไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า ทุกบ้านทุกครัวเรือนล้วนมีผืนนาแห่งหนึ่งที่เรียกว่าผืนนาแห่งความสุข ด้านในผืนนาแห่งความสุขง่ายที่จะมีรากแห่งปัญญาเติบโต ดังนั้นผืนนาแห่งความสุขที่ทิ้งไว้ให้กับลูกหลานจึงดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดีกว่าทรัพย์สินเงินทอง ถึงขั้นดียิ่งกว่าตำราด้วยซ้ำ”
ซุนเติงเซียนพยักหน้า “น่าเสียดายที่ตอนนี้คนมากมายไม่คิดแบบนี้ ใจเอาแต่คิดว่าหากไม่เด็ดขาดมากพอก็จะหาเงินก้อนใหญ่ไม่ได้”
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เพียงแต่จำต้องยอมรับว่า ในหลายๆ ครั้งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ พวกคนที่จิตใจเด็ดขาดมักจะมีชีวิตที่มีหน้ามีตาได้มากกว่า”
ซุนเติงเซียนถอนหายใจ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่คนหนึ่งเดินทางกว้างใหญ่คนหนึ่งเดินทางไม้คับแคบ ต่างคนต่างกินข้าว ต่างคนต่างดื่มเหล้า อีกอย่างข้ากับจอมยุทธใหญ่ซุนก็เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยกันทั้งคู่ สองมือใช่ว่าจะไม่สามารถยกชามกินข้าวดื่มเหล้าได้สักหน่อย”
ซุนเติงเซียนยกชามเหล้าขึ้นก่อน ยิ้มเอ่ยว่า “ก็จริงนะ ชนกันสักที”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าตาม พูดว่า “วันหน้าหากจอมยุทธใหญ่ซุนไปที่ภูเขาลั่วพั่วบ้านข้า ข้าจะลงครัวทำกับแกล้มแกล้มสุราสองสามจานด้วยตัวเอง”
ซุนเติงเซียนยิ้มกล่าว “มีประโยคนี้ก็คือกับแกล้มแกล้มสุราที่ดีที่สุดแล้ว”
ประโยคก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ‘ทรัพย์สินของคนยากจนก็คือเหงื่อบนฝ่ามือ’
ในที่สุดก็ทำให้ซุนเติงเซียนสามารถมั่นใจในเรื่องหนึ่ง เจ้าขุนเขาเฉินที่อายุไม่มากตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลร่ำรวยอะไร แต่เป็นคนที่เคยยากจนมาก่อนจริงๆ
ปีนั้นบังเอิญเจอกับกลุ่มของซุนเติงเซียนก็เหมือนเป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่ง ทำให้เฉินผิงอันได้กินยาสงบใจเข้าไปเม็ดหนึ่ง ข้าท่องยุทธภพด้วยความระมัดระวังเช่นนี้ ถูกต้องแล้ว
หากพูดให้ใหญ่หน่อยก็คือพิสูจน์ให้รู้ว่าเฉินผิงอันที่ระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำอยู่ในโลกกว้างแปลกหน้าซึ่งแตกต่างไปจากบ้านเกิดแห่งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ผิดแน่แล้ว
เพียงแต่ความในใจเหล่านี้ เฉินผิงอันไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟังมาก่อน วันนี้ได้เจอกับจอมยุทธใหญ่ซุน ยังไม่ทันดื่มจนเมามาย ตอนนี้จึงยังไม่พูดออกมา
ก็เหมือนกับการพิสูจน์มรรคาครั้งหนึ่งที่พิสูจน์กับทั้งตัวเองและพิสูจน์จากคนอื่นไปพร้อมๆ กัน
……
ในระเบียง
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถูกเปิดโปงเร็วขนาดนี้เชียว”
เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวที่ลำดับอาวุโสในการฝึกตนสูงมากผู้นั้น วิธีการผสานมรรคาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ย่อมไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ซับซ้อนยิ่งกว่าการคาดเดานั้นของเฉินผิงอันมากนัก
มีทั้งการวิงวอนขอฟ้าอำนวย แล้วก็มีทั้งพันธนาการจากดินอวยพร รวมไปถึงการกระทำของคนสามัคคี
ทว่ากลับสามารถรวมทั้งสามสิ่งให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นถึงได้บอกว่าเป็นเส้นทางเส้นหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก
ในอดีตเมื่อ ‘ใต้หล้า’ แห่งหนึ่งแบ่งออกเป็นสี่ใต้หล้า มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่และขอบเขตบินทะยาน ‘เยาว์วัย’ อยู่ไม่น้อยที่ต้องสงสัยว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าผู้ซึ่ง ‘ฝีเท้าเร็วเดินไปถึงก่อน’ ผู้นั้นใช้วิธีการอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงไม่ได้อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับกันยังวิ่งมาเป็นตัวประหลาดอยู่ในใต้หล้าไพศาล
พวกผู้ฝึกตนใหญ่พากันคาดเดาเรื่องนี้ คิดมานานหลายร้อยถึงพันปีก็ยังเดาได้ถึงแค่ก้าวนี้ของเฉินผิงอันเท่านั้น
หลวี่เหยียนเอ่ย “ตำราในโลกยุคหลังแพร่หลายไปกว้างขวาง ในระดับที่แน่นอนก็ถือว่าเฉินผิงอันครองความได้เปรียบ”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถอนหายใจดังเฮ้อหนึ่งที “ยอมรับว่าเด็กรุ่นหลังอายุน้อยคนหนึ่งมีสมองที่ชาญฉลาด มันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”
เสียงถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’ นี้ใช้จังหวะจะโคนเดียวกับซิ่วไฉเฒ่าไม่มีผิดเพี้ยน
แต่หากคิดคำนวณตามลำดับอาวุโสและอายุของทั้งสองฝ่ายแล้ว น่าจะเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เลียนแบบไปมากกว่า ทั้งยังรับเอาแก่นแท้สำคัญไปได้ด้วย?
หลวี่เหยียนส่ายหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผินเต้าไม่มีใจดูแคลนเฉินผิงอันแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมฝั่งซ้ายของเส้นทางไปเยือนหานตัน ก็มองเขาสูงกว่าคนอื่นอยู่สองขั้น”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยังมั่นใจในความคิดของตัวเองจึงยังเอ่ยว่า “เจ้ามีใจดูแคลน”
หลวี่เหยียนรู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวี “ปรมาจารย์มหาปราชญ์คือตัวอย่างที่ดีงามในทุกยุคทุกสมัย อย่าได้ทำให้หลวี่เหยียนที่เป็นคนของลัทธิเต๋าต้องลำบากใจเลย”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มถาม “เจ้าว่าเฉินผิงอันเดาตัวตนของหลูเซิงผู้นั้นออกหรือไม่?”
หลวี่เหยียนตอบ “บอกได้ยาก”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “เม็ดกระบี่โบราณเม็ดนั้น แม้จะไม่ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าหายากสักเท่าใด แต่ก็คู่ควรกับคำว่า ‘ไม่ธรรมดา’ อยู่เหมือนกัน สหายฉุนหยาง เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันจะเอามาหลอมเองหรือมอบให้คนอื่น?”
หลวี่เหยียนกล่าว “โลภมากย่อมเคี้ยวได้ไม่ละเอียด เกินครึ่งน่าจะมอบให้คนอื่น”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบาง “กินรากผักไหวก็ลิ้มสารพัดรสขมได้ ไม่มีอะไรให้ต้องกริ่งเกรง ทุกเรื่องล้วนเป็นไปได้”
หลวี่เหยียนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ผู้ฝึกบำเพ็ญตนนั้นเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด”
เพียงแต่ว่าหากคนเราไม่มีใจเห็นแก่ตัว ไยต้องแสวงหามรรคาอยากฝึกตนเป็นเซียนด้วยเล่า
ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือมีอายุขัยยาวนาน อีกทั้งยังอยู่ยงคงกระพัน เป็นอมตะไปพร้อมกับฟ้าดิน
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ร้องเอ๊ะหนึ่งที “นี่นักพรตฉุนหยางด่าตัวเอง หรือว่าด่าข้า หรือว่าด่าทั้งคู่?”
หลวี่เหยียนส่ายหน้า “ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง อีกเดี๋ยวก็จะต้องออกเดินทางไกลแล้ว เลยอดเศร้าใจกลัดกลุ้มไม่ได้”
ภูเขาเขียวเมฆขาวของมาตุภูมิ สะพานน้อยน้ำไหลยาว ล้วนกำลังรอคอยให้นักเดินทางอยู่ทิศไกลกลับคืนเรือน
ราวกับว่าเมื่อฟ้าสว่าง สะดุ้งตื่นจากฝันก็จะ ‘ลืมตามาเห็น’ เสียงขายดอกไม้ดังรอบด้าน
จิตแห่งมรรคาของหลวี่เหยียนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ย่อมเก็บกลั้นอารมณ์ทุกข์ตรมอ่อนจางนี้ไว้ได้อย่างรวดเร็ว เขายังคงสงสัยใคร่รู้ในเรื่องหนึ่งอย่างมาก “ผู้ฝึกกระบี่หญิงของเปลี่ยวร้างที่ใช้นามแฝงว่าป๋ายจิ่งผู้นั้น เวทกระบี่สูงกว่าสหายโม่เซิงหนึ่งระดับอีกหรือ?”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ คือสตรีดุร้ายคนหนึ่ง เวทกระบี่ก็สูงมาก เพียงแต่ว่าเสี่ยวโม่เองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน เผชิญหน้ากับการตามตอแยไม่เลิกราเช่นนี้ การถามกระบี่ครั้งหนึ่งจะให้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับป๋ายจิ่งจริงๆ ก็คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากทำให้เสี่ยวโม่โมโหขึ้นมาจริงๆ แล้วเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตบางเล่มออกมา ป๋ายจิ่งก็ต้องหวั่นเกรงเหมือนกัน พูดถึงแค่การไล่ฆ่าในปีนั้น หากว่าสู้สุดชีวิตจริงๆ ก็ยังเป็นหย่างจื่อและจูเยี่ยนที่ต้องเสียเปรียบมากกว่า หนีไม่พ้นจุดจบที่บินทะยานสามคนต้องตายสองเจ็บหนึ่ง อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จูเยี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น อันที่จริงก็ไม่ต่างอะไรจากความตายแล้ว”
“เป็นข้ารับใช้กระบี่ที่ปกป้องมรรคาให้กับคนกลุ่มนั้น แน่นอนว่าเสี่ยวโม่สามารถทำได้ดีมาก แต่หากให้เป็นนักรบพลีชีพ นี่ต่างหากที่เขาจะเป็นได้อย่างสมชื่อมากที่สุด”
“ดังนั้นหากจะพูดถึงสายตาในการเลือกคนของผู้อาวุโสบางท่าน นับแต่โบราณจนปัจจุบันก็ถือว่าดีมากมาโดยตลอดเลยล่ะ”
แต่ผู้ฝึกกระบี่ป๋ายจิ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกับเซียวสวิ้นแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ค่อนข้างชอบการไร้พันธนาการที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด
ปีนั้นเฉินชิงตูที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มิอาจควบคุมเซียวสวิ้นได้ ทุกวันนี้ป๋ายเจ๋อหวนคืนสู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะควบคุมป๋ายจิ่งได้
ก็ไม่ถือว่าควบคุมไม่อยู่กระมัง น่าจะเป็นความเคารพนับถืออย่างหนึ่ง หรือควรจะพูดว่าเหมือนความใจกว้างยอมให้อภัยที่ผู้ใหญ่มีต่อผู้น้อยมากกว่า
ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ เชิญใช้ชีวิตให้มีอิสระเสรี
——