กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 934.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สาม)
นอกประตูเรือน
เซียวหลวนยืนอยู่ข้างกายอู๋อี้อย่างระมัดระวังตัว ไม่รู้ว่าสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าสวมชุดตัวยาวสีเขียวมรกตผู้นั้นมีความเป็นมาอย่างไร
คงไม่ใช่เซียนกระบี่หญิงหนิงเหยาที่เล่าลือกันหรอกกระมัง? ทว่าผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นางไม่ได้พกกระบี่หรือสะพายกล่องกระบี่เลยนี่นา
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นหนิงเหยาจริง ไยต้องปิดบังรูปโฉมด้วย
เรื่องที่หนิงเหยาออกมาจากใต้หล้าห้าสี มาปรากฏกายที่เมืองหลวงต้าหลีได้ค่อยๆ แพร่ออกไปในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำแล้ว เพียงแต่ว่าแจกันสมบัติทวีปคล้ายจะใจตรงกันอย่างยิ่ง เพราะไม่มีภูเขาลูกใดหรือรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับใดที่กล้าเขียนถึงเรื่องนนี้
หลังจากอู๋อี้ได้ยินเสียงในใจของเซียวหลวนแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้มีความคิดที่ว่าเรื่องน่าอายไม่ควรแพร่งพรายออกไปนอกบ้านเลยสักนิด นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาทันทีว่า “น้องชายคนนั้นของข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า”
“ระดับขั้นบนทำเนียบของแม่น้ำหันสือแค่เท่าเทียมกับแม่น้ำอวี้เย่ของเมืองหงจู๋เท่านั้น คิดอยากจะเข้าชดเชยตำแหน่งของแม่น้ำเถี่ยฝู น้องชายของข้าก็ต้องเลื่อนขั้นถึงสองขั้น ถือเป็นความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนโดยแท้”
“เซียวหลวน ทำไมเจ้าไม่วางแผนตรงไปยังตำแหน่งเทพวารีของเย่ชิงจู๋แม่น้ำอวี้เย่เลยล่ะ แค่เลื่อนขั้นระดับเดียว ไปหาเจ้าขุนเขาเฉินก็ได้แล้ว เขาสนิทกับซุนเติงเซียนถึงเพียงนั้น หน้าตาน้อยนิดแค่นี้ย่อมยอมมอบให้กันได้”
เซียวหลวนส่ายหน้าอย่างแรง เรื่องนี้จะทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
เจ้าอู๋อี้ก็ยังเป็นตัวการชั่วร้ายอยู่เหมือนเดิม! หากไม่เป็นเพราะปีนั้นเจ้าคุกคามให้ข้าต้องไปทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้น ข้าเซียวหลวนมีหรือจะไม่กล้าไปหาเจ้าขุนเขาเฉิน?
อู๋อี้กระจ่างแจ้งทันใด หัวเราะหึหึพลางเอ่ยว่า “ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าที่เป็นแม่สื่อฝืนผูกด้ายแดงส่งเดช”
เซียวหลวนหน้าแดงก่ำเล็กน้อย กัดริมฝีปาก
อู๋อี้กล่าว “หลุมนี้ข้าเป็นคนขุด ข้าก็จะถมให้เต็มเอง ก่อนที่ข้าจะออกไปจากจวนจื่อหยางจะไปเยือนจวนวารีแม่น้ำหันสือดูสักรอบ ดูว่าทางฝั่งของเขามีแผนการอย่างไรบ้าง สรุปก็คือข้าจะพยายามช่วยหาตำแหน่งที่ขาดให้เจ้า หากไม่ช่วยให้เจ้าได้เลื่อนขั้นอีกระดับก็จะช่วยให้เจ้าได้ตำแหน่งดีๆ ในระดับที่เท่าเทียมกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วจะสำเร็จหรือไม่ ข้าไม่รับรองใดๆ ภายในหนึ่งเดือน รอฟังข่าวจากข้า”
เซียวหลวนเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เอ่ยขอบคุณบรรพจารย์ต้งหลิงผู้นี้อย่างจริงใจ รับปากว่าหากทำสำเร็จตนเองก็ยินดีที่จะช่วยผลักดันให้เกาเนี่ยงแห่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูอย่างเต็มกำลัง
อู๋อี้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แล้วจึงพลันเปลี่ยนน้ำเสียงถามว่า “หากข้าสามารถพูดโน้มน้าวฮ่องเต้แคว้นหวงถิง จากนั้นเจรจากับกรมพิธีการของต้าหลีได้สำเร็จ สามารถช่วยให้น่านน้ำลำคลองเถี่ยเชวี่ยนในรัศมีหลายร้อยลี้รอบจวนจื่อหยางถูกควบรวมเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของจวนวารีแม่น้ำป๋ายหูเจ้าทั้งหมด นอกจากนี้ข้าจะยังให้ข้อเสนอกับราชสำนักทั้งสองแห่งว่าให้ถือโอกาสยกระดับเทพของแม่น้ำป๋ายหูให้สูงขึ้นด้วย เจ้าจะยินดีหรือไม่?”
ดวงตาเซียวหลวนเป็นประกายวาบ มีเรื่องดีงามแบบนี้ด้วยหรือ?! ยินดีสิ ทำไมจะไม่ยินดีเล่า?!
เซียวหลวนถามเสียงเบา “เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของเทพลำคลองเกา?”
อู๋อี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าย่อมมีแผนการอื่นสำหรับเขา จะไม่ปฏิบัติกับเขาแย่ๆ แน่นอน”
นางหัวเราะหยันอยู่ในใจ เหมือนกับงานเลี้ยงสุราในปีนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ใครบางคนยังชอบเจ้ากี้เจ้าการอยู่เหมือนเดิม จุดเดียวที่ร้ายกาจก็คือทั้งๆ ที่แขกวางท่าว่าจะแย่งชิงหน้าที่เจ้าบ้านอย่างชัดเจนแล้ว แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกว่าได้คืบจะเอาศอกเลยสักนิด
พูดถึงแค่การกระทำนี้ จวนจื่อหยางจะได้ผลประโยชน์มหาศาล ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้นางอู๋อี้ไปแสร้งแสดงทำตัวมีน้ำใจกับใคร อันที่จริงล้วนเป็นทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้กับแคว้นหวงถิงและกรมพิธีการต้าหลี คาดว่าอ้อมไปอ้อมมาอย่างนี้ก็ยังคงเป็นซานจวินใหญ่เว่ยแห่งมหาบรรพตอุดรที่เหมือนสวมกางเกงตัวเดียวกันกับภูเขาลั่วพั่วที่แอบลงแรงอย่างลับๆ อยู่ดีกระมัง?
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าแม่น้ำป๋ายหูได้ควบรวมลำคลองเถี่ยเชวี่ยนเข้าไปด้วย วันหน้าจะต้องมีการไปมาหาสู่อยู่กับจวนจื่อหยาง และเกาเนี่ยงเองก็จะได้งานที่ดีไปงานหนึ่ง คือเรื่องดีที่เหมือนขนมเปี๊ยะหล่นมาจากฟ้า เมื่อครู่นี้อู๋อี้ได้ยินเฉินผิงอันเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าอีกไม่นานทางราชสำนักต้าหลีก็จะออกคำสั่งแคว้นหวงถิงที่เป็นแคว้นใต้อาณัติว่าทางฝั่งของจังหวัดอวิ้นโจวจะมีลำคลองใหญ่แห่งใหม่ที่ราชสำนักจะตั้งศาลอย่างถูกต้องก่อตั้งขึ้นมา ต้นกำเนิดสายน้ำมีชื่อว่าลำธารอู๋ซี หลังจากเกาเนี่ยงออกจากตำแหน่งที่ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนแล้วสามารถไปรับตำแหน่งเทพลำคลองของที่นั่นได้ทันที ได้สร้างศาลสร้างร่างทองขึ้นมาใหม่ สืบทอดควันธูปได้อีกครั้ง เจ้าหวงฉู่แห่งจวนจื่อหยางก็โชคดีไม่น้อยเลย อันดับแรกก็เป็นตนที่จากไป จากนั้นก็เท่ากับว่ามีเทพแห่งสายน้ำที่ถูกต้องชอบธรรมอีกสองท่านซึ่งต่างก็ได้เลื่อนขั้นคนละระดับมาเป็นกำลังหนุนที่แข็งแกร่ง?
คุยธุระกันเสร็จแล้ว อู๋อี้มองสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าซึ่งนางมองตบะตื้นลึกของอีกฝ่ายไม่ออกแล้วถามว่า “สหายคือผู้ฝึกตนบนทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วหรือ?”
น้ำเสียงใสกระจ่างของชิงถงดังลอดออกมาจากผ้าโปร่งประหนึ่งน้ำในลำธารไหลริน “ไม่บังเอิญเลย ข้ามาจากใบถงทวีป คือบุคคลตัวเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง”
ก่อนจะออกไปจากจวนจื่อหยาง เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน เฉินผิงอันมอบเทียบคัดลอกที่เขียนด้วยลายมือตัวเองให้อู๋อี้หนึ่งชิ้น
ส่วนผลงานจริงชิ้นนั้น เฉินผิงอันคิดจะเอาไว้นานแล้วว่าจะเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดประจำตระกูล คือหนึ่งในเทียบอักษรที่ใช้สุราแลกมาจากมือของเซี่ยนเว่ยหนุ่มคนหนึ่ง
เฉินผิงอันถึงขั้นตัดใจเอามา ‘หลอมตัวอักษร’ ไม่ลงด้วยซ้ำ เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในเรือนไม้ไผ่มาโดยตลอด
เนื้อหาของเทียบอักษรมีไม่มาก แค่สองประโยคเท่านั้น ‘หากถือเทียบข้าส่องผืนน้ำ อย่าได้กลัวว่าตัวอักษรจะกลายเป็นเจียวเดินลงน้ำ หากถือเทียบข้าท่องไปยามราตรี ก็จะสั่งสอนให้ภูตผีและองค์เทพรบเร้นหนีหาย’
ประทับด้วยตราประทับสองชิ้น ‘เจียววัยเยาว์พลังเปี่ยมล้น’ และ ‘มังกรผอมแห้งจิตวิญญาณเอิบอิ่ม’
อู๋อี้ได้รับเทียบอักษรนี้มา แม้ว่าจะไม่ใช่ผลงานจริง แต่นางกลับเผยรอยยิ้มจริงใจอย่างที่หาได้ยาก ยอบกายคารวะอิ่นกวานหนุ่มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาชิงถงมาถึงอาณาเขตทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป
แคว้นชิงหลวนมีศาลเทพลำคลองแห่งหนึ่งที่กินอาณาบริเวณสิบกว่าไร่ คนเฝ้าศาลรู้หลักในการหาเงิน คือคนที่ทำการค้าเก่งมากคนหนึ่ง เขียนตัวอักษรลงบนผนัง ราคาไม่เท่ากัน ต้องดูที่ ‘ช่วงพื้นที่’
อีกทั้งหลังจากเขียนตัวอักษรเสร็จแล้ว ทางฝั่งของศาลแห่งนี้ก็จะมีการดูแลอย่างเข้มงวด จะรักษาไว้เป็นอย่างดี คิดจะให้สืบทอดต่อไปนานหลายร้อยปีก็ไม่เป็นปัญหาแน่นอน
ในระเบียงทางเดินยาวของลานเรือนชั้นที่สี่ บนผนังนอกจากจะมีผลงานน้ำหมึกของรองเจ้ากรมเฒ่าหลิ่วแห่งสวนสิงโตแล้ว บนผนังสีขาวห่างไปไม่ไกลยังมีลายมืออีกสามรูปแบบ
ได้หวนกลับคืนมายังที่เดิมที่เคยมา เฉินผิงอันเอาสองมือไพล่หลัง มองตัวอักษรบนกำแพง ยิ้มจนตาหยี
ตัวอักษรของเผยเฉียน เส้นแนวนอนขีดแรกของตัวอักษรเอียงไปสักหน่อย เขียนไว้สี่คำอย่างจริงจังว่า ‘ฟ้าดินผสานปราณ’
สุดท้ายเขียนว่า ‘เผยเฉียนและอาจารย์พ่อมาเยือนที่แห่งนี้’
เห็นตัวอักษรสี่คำนั้นแล้ว ชิงถงก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอย่างที่หาได้ยาก
เพราะในภาพมายาภาพหนึ่ง เฉินผิงอันมีบทสนทนากับนักพรตฉุนหยาง
ตอนนั้นหลวี่เหยียนเอ่ยว่า ‘จิตวิญญาณผสานกับไท่ซวี เชื่อมโยงไปยังนอกฟ้าดิน ลมปราณได้ความอัศจรรย์ของห้าธาตุ ตะวันจันทราอยู่ในพื้นที่เล็กแคบ’
ในประโยคนี้ดูเหมือนว่าจะรวมกันเป็นสี่คำว่า ‘ฟ้าดินผสานปราณ’ ได้พอดี?
จูเหลี่ยนใช้ตัวอักษรแบบหวัดเขียนบทความหนึ่งร้อยกว่าตัวอักษร ตัวอักษรบางน้ำหมึกจาง เขียนรวดเดียวเสร็จประหนึ่งเจียวหลงโบยบิน
ส่วนเฉินผิงอันนั้นเขียนตัวอักษรแบบบรรจงที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ชิงถงเลิกผ้าคลุมหน้ามุมหนึ่งขึ้น เงยหน้ามองประโยคยาวสองประโยคที่เขียนไว้บนกำแพง อ่านในใจไปรอบหนึ่ง แล้วถึงถามว่า “เจ้าเป็นคนเขียนหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เกิดแรงบันดาลใจถึงได้เขียน”
ชิงถงกล่าว “ศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้ต้องได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อยแน่นอน”
เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่ห้องโถงหลักของศาลพ่อปู่ลำคลอง เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม หยิบธูปสามดอกออกมาจากในชายแขนเสื้อ จุดธูปแล้วควันธูปก็ลอยกรุ่นโชยขึ้นสูง
คงเป็นเพราะไม่อยากรบกวนพ่อปู่ลำคลองของที่แห่งนี้ เฉินผิงอันจึงจงใจสร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมากั้นขวาง รอกระทั่งธูปทั้งสามดอกเผาไหม้หมดสิ้นแล้วถึงได้พาชิงถงออกมาจากศาล
ทั้งสองฝ่ายอำพรางเรือนกายเดินอยู่ริมลำคลอง ชิงถงถามว่า “ยังจะไปอีกกี่สถานที่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้เผาผลาญบุญกุศลของเจ้าสักหน่อย ได้ท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำไปพร้อมข้าตลอดทาง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเสียค่าเดินทางแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ยังไม่รู้จักพออีกหรือ? หากคิดจะบินทะยานข้ามทวีปท่องเที่ยวก็มีกฎมากมายเลยนะ”
ชิงถงหัวเราะร่า “ก็จริงนะ”
ลังเลเล็กน้อย ชิงถงก็ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่เคยถามข้าว่ารู้เบาะแสของผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “การค้าครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเกินไป”
ชิงถงกล่าวอย่างกังขา “นี่ถือเป็นการค้าอะไรด้วย?”
เฉินผิงอันตอบ “หากไม่ใช่เรื่องดีก็ต้องเป็นเรื่องร้าย ดีหรือร้ายอาจจะมีอย่างละครึ่ง หากเป็นเรื่องดี ยังพอมีความมั่นใจ แต่หากเป็นเรื่องร้ายกลับต้องติดกับของโจวจื่อ เจ้าว่าจะขาดทุนหรือไม่เล่า?”
ชิงถงยิ้มกล่าว “คิดบัญชีกันแบบนี้ได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ได้แต่คิดบัญชีแบบนี้เท่านั้น”
โชคดีที่ชิงถงไม่ต้องย้ายสถานที่ไปไหน ไม่อย่างนั้นเจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตบินทะยานที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระ คงต้องกล้ำกลืนความยากลำบากจนเต็มอิ่มแน่นอน
เมื่อความคิดหนึ่งผิดไป ก็จะรู้สึกว่าผิดไปเสียทุกเรื่อง ป้องกันความผิดก็เหมือนฟองอากาศที่อยากจะข้ามมหาสมุทร ไม่อาจมีรูโหว่แม้เพียงปลายเข็ม ช่วยเหลือคนอื่นก็เหมือนช่วยเหลือตัวเอง
ขอเพียงทำเรื่องดีทุกเรื่องให้สำเร็จ จึงจะทำให้ชีวิตไร้ความเสียดายไร้ความเสียใจ ฝึกอบรมตนให้เหมือนไม้สูงเสียดฟ้า อาศัยกิ่งไม้มากมายมาประคอง จึงจะบำเพ็ญจนเกิดมรรคผล
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เคยมีคนกล่าวว่า คนผู้หนึ่งมีอายุสองอย่าง หนึ่งคือใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง หนึ่งคือใช้ชีวิตอยู่ในโลกของคนอื่น อย่างแรกคืออายุลวง อย่างหลังคืออายุจริง”
ชิงถงขมวดคิ้ว “อย่าพูดอะไรให้ลี้ลับได้ไหม ยกตัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ยกตัวอย่างแบบไกลและใกล้อย่างละข้อก็แล้วกัน เจ้าชิงถงมีอายุมาหนึ่งหมื่นปีบวกกับอีกหลายพันปีแล้วกระมัง เจ้าคิดว่าตัวเองเข้าใจโลกที่อยู่นอกกายของตัวเองได้เท่าโจวจื่อไหม? ความกว้าง ความยาว ความหนาแน่นของจิตแห่งมรรคา ล้วนเห็นได้ชัดว่าเทียบกับโจวจื่อไม่ได้ หรืออย่างผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาบ้านข้า หมี่ลี่น้อยอยู่ที่ทะเลสาบคนใบ้มานานหลายปีขนาดนั้น วันหน้าก็จะอยู่บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรายาวนานยิ่งกว่า ความคิดของนางกลับบริสุทธิ์ใสซื่อกว่าคนมากมายของภูเขาลั่วพั่ว”
คนบางคน อย่างตัวเฉินผิงอันเองและชุยตงซานที่เป็นลูกศิษย์ของเขา ก็เหมือนได้เจาะบ่อน้ำหรือไม่ก็สระน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นไว้บนหัวใจตัวเอง
ชิงถงพอจะยอมรับคำกล่าวนี้ได้อย่างถูไถ แต่จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ตัวอย่างไกลและใกล้สองข้อนี้ พูดลำดับผิดไปหรือไม่?”
ตนอยู่ใกล้เพียงตรงหน้าเฉินผิงอัน ส่วนผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขลั่วพั่วคนนั้นเรียกได้ว่าอยู่ไกลสุดขอบฟ้า
เฉินผิงอันหัวเราะ “ทำความเข้าใจเอาเอง”
ชิงถงถือโอกาสถาม “แล้ว ‘บางคน’ คือใคร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไกลสุดขอบฟ้าใกล้เพียงตรงหน้า”
——