กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 935.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่)
บนยอดเขาของภูเขาพีอวิ๋นมหาบรรพตอุดร
ต้นสนโบราณสูงเสียดฟ้า เบื้องใต้ต้นสนมีบุรุษคนหนึ่งนอนเอนกายอยู่บนเตียงหยกขาว เท้าคางด้วยมือข้างเดียว คล้ายหลับคล้ายไม่หลับ สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
บนร่างสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะ สวมรองเท้าย่ำเมฆา รัดเข็มขัดหลากสีเส้นหนึ่ง ตรงติ่งหูห้อยห่วงทอง
ดุจเทพดุจเซียนดุจผี งดงามประหนึ่งภาพวาด
เล่าลือกันว่าซานจวินของห้าขุนเขาใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีปต่างก็มีมาดสง่างามต่างกันไป
จิ้นชิงแห่งขุนเขากลางอายุมากที่สุด มีกลิ่นอายความโบราณมากที่สุด ฟ่านจวินเม่าซานจวินหญิงแห่งขุนเขาใต้กลับกลายเป็นว่ามีความองอาจมากที่สุด
ซานจวินขุนเขาตะวันออกมีกลิ่นอายความเป็นเซียน ซานจวินขุนเขาตะวันตกมีกลิ่นอายของจอมยุทธ
ส่วนเว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือ เป็นที่ยอมรับว่ารูปงามที่สุดในบรรดาซานจวินทั้งห้าของในหนึ่งทวีป เป็นเหตุให้มีกลิ่นอายความเป็นเทพมากที่สุด
ว่ากันว่าตามคำกล่าวของเทพแจ้งข่าว (เปรียบเปรยถึงคนขี้ฟ้อง) ตัวเล็กๆ บางคนที่กุมอำนาจสำคัญของภูเขาลั่วพั่ว อาณาเขตของขุนเขาเหนือพวกเราในทุกวันนี้ กลุ่มคนเพียงหนึ่งเดียวที่รอคอยให้งานเลี้ยงท่องราตรีถูกจัดขึ้นมากที่สุดก็คือผู้ฝึกตนหญิงและเทพธิดาจากฝ่ายต่างๆ ที่ได้ครอบครองสถานะบนทำเนียบแล้ว พวกนางที่อยู่ในงานเลี้ยง เพียงแค่มองเว่ยซานจวินที่หน้าแดงก่ำน้อยๆ เพราะเริ่มเมากรึ่ม ต่อให้พวกนางไม่ต้องดื่มเหล้าก็เมาตามไปด้วยได้แล้ว
พอได้ยินเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็จะต้องทวงความเป็นธรรมแทนเว่ยซานจวินทันที จึงถามหมี่ลี่น้อยว่านี่เป็นข่าวลือที่ใครแพร่ออกไป
หมี่ลี่น้อยบอกว่าก็ป๋ายเสวียนไงล่ะ แต่ดูเหมือนป๋ายเสวียนจะฟังมาจากจิ่งชิงอีกที
อีกทั้งจิ่งชิงยังเคยยุยงป๋ายเสวียนว่าจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งหน้าให้จงได้ จะต้องกดข่มความมีหน้ามีตาของเว่ยป้อสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้เว่ยซานจวินของพวกเราท่านนี้หางชี้ขึ้นฟ้ามากเกินไป
เวลานี้เว่ยป้อเบิกดวงตาสีทองบริสุทธิ์คู่นั้นขึ้น ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ล่ะ?”
ถามได้ดี
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “แนะนำเจ้าว่าเลิกคิดจะหลอกขูดรีดจากเสี่ยวโม่ได้เลย!”
เว่ยป้อหัวเราะร่วน “ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของข้าแล้วล่ะสิ?”
แนะนำให้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าวางแผนเล่นงานต้นไผ่ไม่กี่ต้นนั้นของข้าให้น้อยลงหน่อย ได้ผลไหมล่ะ?
ปีนั้นหมี่ลี่น้อยก็ไม่ใช่ว่าถูกยุแยงให้มานับต้นไผ่ที่ภูเขาพีอวิ๋นของข้าบ่อยๆ หรอกหรือ?
ชิงถงยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน อาศัยหมวกคลุมหน้าโปร่งบางมองประเมินซานจวินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วไพศาลผู้นี้ เพียงแต่ทุกวันนี้เรื่องของงานเลี้ยงท่องราตรีกลับแทบจะกลายเป็นชื่อเรียกแทนเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นไปแล้ว
ว่ากันว่าซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ของหนึ่งทวีปผู้นี้เคยเป็นกากเดนของแคว้นเสินสุ่ยในอาณาเขตสู่โบราณ ถูกลดระดับขั้นให้เป็นเพียงเทพแห่งผืนดิน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รับความโปรดปรานจากราชครูชุย กระโดดเลื่อนขั้นเป็นซานจวินของราชสำนักต้าหลีได้ในก้าวเดียว
คนผู้นี้ประสบพบเจอกับความตกต่ำและความรุ่งโรจน์ที่ทำให้คนต้องทอดถอนใจด้วยความทึ่ง
แจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปในทุกวันนี้ สองทวีปเหนือใต้ต่างก็รู้กันดีว่าภูเขาพีอวิ๋นกับภูเขาลั่วพั่วก็คือพันธมิตรที่สนิทสนมกันราวกับสวมกางเกงตัวเดียวกัน
แต่จะว่าไปแล้วก็น่าสนใจ ครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วตรงหน้าผู้นี้ได้เหยียบย่างขึ้นมาบนภูเขาพีอวิ๋นก็คือตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มและยังเป็นลูกศิษย์ของเตาเผาเครื่องปั้น รอกระทั่งเว่ยป้อเข้ามาเป็นนายของที่แห่งนี้ รับหน้าที่เป็นซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลี เฉินผิงอันก็ได้เป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่กลับเป็นเว่ยป้อที่ไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกลับไม่เคยเป็นฝ่ายมาเยือนภูเขาพีอวิ๋นด้วยตัวเองมาก่อน
กระทั่งคราวก่อนที่เฉินผิงอันไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วได้หวนกลับมายังบ้านเกิด ถึงได้พาเสี่ยวโม่เดินขึ้นเขามาด้วยกัน ความอุดมสมบูรณ์ของของขวัญพบหน้าชิ้นนั้นทำให้เว่ยป้อรอคอยที่จะได้พบหน้ากันครั้งถัดไป
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่มัวพูดไร้สาระกับเจ้าแล้ว”
จากนั้นเมื่อเว่ยป้อรู้จุดประสงค์ในการปล่อยดวงจิตเดินทางในความฝันของเฉินผิงอันครั้งนี้แล้วก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เพียงแค่อดไม่ไหวทอดถอนใจเอ่ยว่า “เดิมทีรู้ว่าเจ้าแย่งชิงโชคชะตาน้ำที่อุดมสมบูรณ์ของลำคลองเย่ลั่วมาได้ ข้ายังนึกว่าเจ้าจะปิดด่านช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากโชคดีทนไปอีกสักสองสามร้อยปี ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีโอกาสที่จะช่วยเจ้าแย่งชิงตำแหน่งของ ‘บุคคลอันดับหนึ่งแห่งวิชาน้ำ’ จากใต้หล้ามาให้ได้ ผลกลับดีนัก อย่าว่าแต่โชคชะตาน้ำพวกนี้ที่รั้งเอาไว้ไม่อยู่เลย ตอนนี้แม้แต่คุณความชอบก็ไม่ต้องการแล้ว”
เวทห้าอสนีของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ คาถาไฟของฮว่อหลงเจินเหริน และยังมีวิชาดินของเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ล้วนพอจะถือว่าเลื่อนสู่อาณาเขตของบนยอดเขาที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้แล้ว
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันตระหนักได้อย่างแท้จริงว่ามหามรรคาของตัวเองใกล้ชิดกับสายน้ำก็เป็นเพราะคำเตือนจากเว่ยป้อเช่นกัน
เว่ยป้อกล่าว “สองขุนเขาอย่างตะวันออกและตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมตอบตกลง หากไม่อาจทำให้ซานจวินใหญ่ของห้ามหาบรรพตในหนึ่งทวีปตอบตกลงเหมือนกันหมดได้ ถึงอย่างไรก็จะเหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายถาดหนึ่ง ผลลัพธ์ของธูปภูเขาจะต้องถูกลดทอนลงไปมาก”
การพูดคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำยากก็ตรงที่ ‘ผลประโยชน์ใหญ่ไม่เท่ามรรคา’ เส้นทางในโลกมนุษย์ล่างภูเขา ผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ล้วนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ แต่เส้นทางเทพบนภูเขากลับไม่เหมือนกัน
ก็เหมือนอย่างเว่ยป้อที่ยินดีตอบตกลงกับเรื่องนี้ เขาจะแค่ละโมบในบุญกุศลส่วนนั้นได้อย่างไร หากถูกผลประโยชน์บดบังใจ ไม่แน่ว่าร่างทองซานจวินของเว่ยป้ออาจเกิดปัญหาก็เป็นได้
จะว่าไปแล้วด้านในนี้ก็มีเงื่อนไขใหญ่ข้อหนึ่งอยู่ด้วย นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จุดธูปทางใจ ยังจำเป็นต้องยอมรับในตัวเฉินผิงอันอย่างจริงใจด้วย
ดังนั้นเฉินผิงอันก็คือ ‘คนส่งธูปแห่งภูเขาสายน้ำ’ ที่สำคัญอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เตรียมใจพร้อมไว้กับการต้องกินน้ำแกงประตูปิดแล้ว ถึงได้มาหาเจ้าก่อน เพื่อหวังให้เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเริ่มต้น”
เว่ยป้อเอ่ย “ต้องให้ข้าบอกกล่าวกับสหายในวงการขุนนางสองคนนั้นก่อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าดีกว่า มีจดหมายฉบับนั้นของเจ้าหรือไม่ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร”
เว่ยป้อพยักหน้า เป็นเช่นนี้จริง ระดับขั้นของตำแหน่งเทพห้ามหาบรรพตล้วนเท่ากัน ไม่ว่าใครก็ควบคุมใครไม่ได้ นับประสาอะไรกับที่เว่ยป้อเองก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับซานจวินของสองขุนเขา ไม่ถือว่ามีมิตรภาพส่วนตัวกันแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่จวนซานจวินส่งจดหมายถึงกันล้วนหนีไม่พ้นพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน
เฉินผิงอันถาม “เย่ชิงจู๋เปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่? วันนี้ได้มาเยี่ยมเยือนจวนซานจวินของเจ้า เป็นฝ่ายถอนเอกสารที่นางจะลาออกจากการเป็นเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงหรือไม่?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “เจ้าเดาผิดแล้ว ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เย่ชิงจู๋รีบร้อนมาเยือนภูเขาพีอวิ๋นจริง แต่ขาดก็แค่ไม่ได้ร่ำร้องว่าจะผูกคอตายกับข้าเท่านั้น นางยิ่งยืนกรานในความคิดเดิม ต้องการเปลี่ยนไปรับตำแหน่งในที่แห่งอื่น ไม่คาดหวังว่าจะได้โยกย้ายไปในระดับที่เท่ากัน ต่อให้ถูกลดระดับขั้นลงก็ยังยอม นางหมายตาแม่น้ำอยู่สองสามแห่ง จุดเดียวที่เหมือนกันก็คืออยู่ห่างจากภูเขาลั่วพั่วค่อนข้างไกล ยังพูดจากระฟัดกระเฟียดใส่ข้า บอกว่าหากขุนเขาเหนือไม่อนุญาตเรื่องนี้ นางจะไปฟ้องถึงที่เมืองหลวง ตอนพูดก็ตาแดงก่ำ น้ำตาคลอดวงตาไปด้วย น่าสงสารยิ่งนัก”
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง “ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ก่อนหน้านี้ข้าก็คุยกับเหนียงเนียงเทพวารีที่จวนวารีแม่น้ำอวี้เจียงได้ดีนี่นา พูดจากันอย่างมีน้ำใสใจจริง ถือว่าละวางอคติก่อนหน้าที่มีต่อกันไปแล้วนะ”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ต่อให้นางจะเชื่อใจในคำพูดของเจ้า แต่กลับเชื่อใจในลางสังหรณ์ของตัวเองมากกว่า”
เฉินผิงอันเงียบงัน
เว่ยป้อหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่หมายความว่าวันหน้าเมื่อเจ้าปิดด่านฝึกตนต้องระวังจิตแห่งมรรคาของตัวเองให้ดี ภาพที่คนถือกระจกกับคนในกระจกมีความคลาดเคลื่อนกัน นี่ใช่เรื่องเล็กหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “จะระวัง”
นี่ก็คือเพื่อนแท้ที่ช่วยทัดทานกันแล้ว
เว่ยป้อหยิบของสิ่งหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมาส่งให้เฉินผิงอัน “นี่ก็คือของขวัญแสดงความยินดีกับสำนักเบื้องล่าง รับไป”
เฉินผิงอันเหลือบตามองของขวัญชิ้นนั้น “ช่วยมียางอายหน่อยได้ไหม?”
ที่แท้อาวุธกึ่งเซียนสองชิ้นที่เสี่ยวโม่มอบมาให้ก่อนหน้านั้น ชิ้นหนึ่งคือขวานใหญ่หยกเหลืองที่สามารถสยบพิทักษ์ชะตาน้ำได้ ซึ่งเวลานี้ได้ถูกซานจวินใหญ่เว่ยของพวกเราเอาของของผู้อื่นมาแสดงน้ำใจกับผู้อื่น
แล้วก็เพราะตอนนี้ให้เสี่ยวโม่เก็บกล่องกระบี่ใบเล็กที่อู๋อี้มอบให้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคงเอาออกมาถามซานจวินใหญ่เว่ยแล้วว่าเจ้าละอายใจบ้างหรือไม่
เว่ยป้อยิ้มจนตาหยี ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เอานะ?”
เฉินผิงอันโบกมือ มองเว่ยซานจวินที่เก็บขวานหยกขนาดจิ๋วเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างว่องไวโดยไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย หากใช้คำพูดติดปากของเผยเฉียนในปีนั้นก็คือ เห็นแล้วปวดกบาลนัก
เว่ยป้อมองผู้ฝึกตนที่สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต แต่กลับมองตบะตื้นลึกของอีกฝ่ายไม่ออก ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็น่าจะมีขอบเขตเริ่มต้นที่เซียนเหรินแล้ว จึงถามว่า “สหายท่านนี้คือ?”
เฉินผิงอันคร้านจะใช้เสียงในใจพูดคุย เอ่ยออกมาตามตรงว่า “ฉายาชิงถง เจ้าของหอสยบปีศาจที่ใบถงทวีป เป็นเพื่อนบ้านกับต่งไห่แห่งอารามกวานเต๋า ร่างจริงคือต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง ครั้งนี้เดินทางในความฝันไปเยือนสามทวีป สหายชิงถงช่วยข้าได้มาก ถือว่าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน”
ชิงถงถอนหายใจเบาๆ บอกเรื่องราวของตนออกมาหมดเช่นนี้ ใต้เท้าอิ่นกวานไม่มีคุณธรรมในยุทธภพ แล้วก็ไม่สนใจข้อต้องห้ามแห่งขุนเขาสายน้ำสักนิดเลยนะ
มาดแห่งเทพของคนผู้นี้สง่างาม เรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร แต่หากมองอย่างละเอียด ชิงถงก็ยังรู้สึกว่ายังเป็นรองจูเหลียนคุณชายผู้สูงศักดิ์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่ดี
เว่ยป้อก้มหน้าค้อมเอว กุมมือคารวะอย่างค่อนข้างให้เกียรติอีกฝ่าย เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มอบอุ่นว่า “เว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นโชคดีได้พบกับผู้อาวุโสชิงถง”
ชิงถงปลดหมวกที่สวมอยู่ลง คารวะกลับคืนแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ชิงถงคารวะเว่ยซานจวิน”
เว่ยป้อหัวเราะร่า “ผู้อาวุโสชิงถง เรือโจรขึ้นง่ายแต่ลงยากนะ วันหน้าพวกเราสองคนก็ถือว่าเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากแล้ว”
รอยยิ้มของชิงถงฝืดฝืน
ใครบางคนเอาสองมือไพล่หลัง มองไปยังทิศไกล ง่วนอยู่กับการชมทัศนียภาพ พอได้ยินก็ยิ้มเอ่ยว่า “พูดจาจริงใจกับคนไม่สนิทคือข้อต้องห้ามใหญ่ของยุทธภพ เว่ยซานจวินระวังไว้หน่อย”
ชิงถงรู้สึกอิจฉาในความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอยู่บ้าง หนึ่งเทพหนึ่งเซียน ช่วยส่งเสริมกันและกันอย่างดี ก็ไม่แปลกที่หลายปีมานี้ภูเขาพีอวิ๋นเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันจนกลายมาเป็นผู้นำของห้ามหาบรรพตแล้ว
เฉินผิงอันพูดเรื่องการยกระดับตำแหน่งเทพของเซียวหลวนแห่งแม่น้ำป๋ายหูกับการย้ายเกาเนี่ยงจากลำคลองเถี่ยเชวี่ยนไปอยู่ที่ศาลเขตอวิ้นโจว อันที่จริงความยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือลำธารอู๋ซีที่อยู่ในอาณาเขตอวิ้นโจวแคว้นหวงถิงแห่งนั้นค่อนข้างจะไม่ธรรมดา เพราะถึงอย่างไรก็ซุกซ่อนซากปรักของวังมังกรแห่งหนึ่งเอาไว้ สถานที่ที่น้ำและภูเขาอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ถือเป็นพื้นที่ล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำ และลำธารอู๋ซีที่เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดน้ำของลำคลองซี่เหมย ในประวัติศาสตร์ของแคว้นหวงถิงกลับไม่เคยมีการแต่งตั้งเทพวารีที่ถูกต้องมาก่อน ไม่มีแม้แต่พ่อปู่ลำคลองแม่ย่าลำคลอง
พูดให้ง่ายหน่อยก็คือ รอให้ซากปรักวังมังกรถูกเปิดออก โชคชะตาน้ำย่อมต้องไหลเอ่อออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นเทพลำคลองคนแรกที่ได้รับการโยกย้ายให้ไปรับตำแหน่งที่ลำคลองซี่เหมยซึ่งโชคชะตาน้ำเพิ่มขึ้นพรวดพราดก็คือการเลื่อนขั้นอย่างหนึ่ง นอกจากนี้แล้วหากว่าเทพลำคลองจัดการได้อย่างเหมาะสมก็ง่ายที่จะได้รับคำประเมินว่ายอดเยี่ยมจากการประเมินขุนเขาสายน้ำของกรมพิธีการต้าหลีและจวนซานจวิน
เว่ยป้อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าจัดการเอง เจ้าให้เซียวหลวนกับเกาเนี่ยงรอฟังข่าวก็พอ ในจดหมายสามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า ตอนนี้พวกเขาสามารถลงมือเตรียมการกับเรื่องของการยกระดับขั้นและหลอมทองให้กับเทวรูปร่างทองในศาลได้แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ต้องให้ข้าบอกกล่าวกับราชสำนักต้าหลีก่อนจริงๆ หรือ?”
ตำแหน่งเทพวารีของลำคลองซี่เหมย หากไม่ผิดไปจากที่คาด ทางฝั่งของราชสำนักต้าหลีจะต้องมีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่หลายคน
ก็เหมือนปีนั้นที่เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝู พวกแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นทั้งหลายของต้าหลีก็แอบทะเลาะกันไปไม่น้อย
เว่ยป้อส่ายหน้ากล่าว “ระดับขั้นของลำคลองซี่เหมยไม่ถือว่าสูงนัก อีกทั้งยังอยู่ใจกลางของอาณาเขตขุนเขาเหนือ อยู่ห่างจากภูเขาพีอวิ๋นแค่ไม่กี่ก้าว ข้าสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันกล่าว “คราวหน้าเจ้าอย่าลืมเตือนเกาเนี่ยงทางอ้อมหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาที่ได้ร่ำรวยในฉับพลันหลงลืมกำพืดตัวเอง หรือเผลอเอาขนบธรรมเนียมความเคยชินของจวนจื่อหยางย้ายไปอยู่เขตอวิ้นโจวทั้งหมดด้วย”
เกาเนี่ยงปลดประจำการจากศาลจีเซียงของลำคลองเถี่ยเชวี่ยน ย้ายไปอยู่ลำคลองซี่เหมย หลังจากนั้นเรื่องของควันธูปและการรวบรวมโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในอาณาเขต การอยู่ร่วมกันกับเทพอภิบาลเมืองและศาลบุ๋นบู๊ในท้องถิ่น เฉินผิงอันกลับไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย
เนื่องจากเทพลำคลองผู้เฒ่าท่านนี้ ‘วางตัวเป็น’ อย่างมาก เกาเนี่ยงเป็นคนที่เชี่ยวชาญการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมมากเกินไป ทว่าสำหรับเทพวารีของในพื้นที่แห่งหนึ่งแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก
เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “กองตรวจสอบของจวนซานจวินของข้ายังไม่มีอาจารย์ที่ดีๆ สักคนเลยนะ”
หลังจากนั้นก็พูดคุยกันอีกสองสามประโยค เว่ยป้อเห็นว่าเฉินผิงอันจะจากไปแล้ว อึเสร็จดึงกางเกงขึ้นก็จะไปเลยจริงๆ หรือนี่?
ชิงถงอารมณ์ซับซ้อน หลังจากผ่านการเดินทางไกลครั้งนี้ก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาซานจวินเว่ยป้อและพวกกงโหวลำน้ำใหญ่อย่างหยางฮวา เฉาหย่งมากยิ่งขึ้นจริงๆ แต่ละคนไม่เพียงแต่ได้ดูแลอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำที่กว้างใหญ่ ประเด็นสำคัญยังครึกครื้นอย่างมาก หากว่ามีกุนซืออีกหลายๆ คนที่รับสมัครให้มาช่วยออกแรง มาช่วยดูแลกิจธุระในจวน ก็จะไม่ว่างงานสุขสบายเหมือนเว่ยป้ออย่างที่เห็นเมื่อครู่นี้เลยหรือ?
เว่ยป้อเรียกรั้งเฉินผิงอันเอาไว้ ยิ้มเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งว่า “คนเฝ้าประตูรุ่นที่สองของภูเขาลั่วพั่วพวกเจ้าอย่างนักพรตเซียนเว่ย เขาไม่ได้อยู่นิ่งเฉยเลยสักนิด ตอนนี้ได้แอบรับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อไว้คนหนึ่ง ก็คือผู้ฝึกตนอิสระอายุน้อยคนหนึ่ง เนื่องจากคนผู้นี้เลื่อมใสใต้เท้าอิ่นกวาน ต่อให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าภายในเวลาสามสิบปีพวกเจ้าจะไม่รับลูกศิษย์คนใด ก็ยังมาเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่เมืองเล็ก ดูท่าคงจะอยู่ยาวแน่ ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องไปป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตูภูเขา นักพรตเซียนเว่ยเห็นว่าเขามีใจแสวงหามรรคาก็เลยเกิดใจถนอมผู้มีความสามารถ บางครั้งทั้งสองฝ่ายก็จะถกมรรคากัน เหมือนไก่คุยกับเป็ด บางทีนักพรตเซียนเว่ยยังรังเกียจที่ลูกศิษย์โง่เง่าด้วย”
เฉาฉิงหล่าง หยวนไหล หมี่ลี่น้อย ต่างก็เคยเฝ้าที่หน้าประตูภูเขา แต่ถือว่าเป็นแค่การควบตำแหน่งพิเศษเท่านั้น
พอเฉินผิงอันได้ยินก็รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด
ก่อนหน้านี้อาศัยรายงานขุนเขาสายน้ำของภูเขาพีอวิ๋นให้ช่วยภูเขาลั่วพั่วป่าวประกาศเรื่องหนึ่งออกไปว่า ภายในเวลาสามสิบปี ภูเขาลั่วพั่วจะอยู่ในสถานะปิดภูเขา ทั้งไม่ต้อนรับคนนอก ยิ่งไม่รับลูกศิษย์
เกี่ยวกับเรื่องนี้เฉินผิงอันแค่ยอมอ่อนให้เล็กน้อย นั่นคืออนุญาตให้สมาชิกในทำเนียบยอดเขาจี้เซ่ออาศัยความถูกชะตาของแต่ละคนรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดเป็นการส่วนตัวได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเซียนเว่ยจะสบช่องรับลูกศิษย์มาเพราะเหตุนี้
——