กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 935.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่)
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร?”
เว่ยป้อตอบ “จิตใจหนักแน่นยืดหยุ่น คุณสมบัติธรรมดา อายุหกสิบปี ยังเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ข้าเคยตรวจสอบรากฐานของเขามาก่อน ชาติกำเนิดขาวสะอาด คือคนของเฉียนโจวเก่าของราชวงศ์ป๋ายซวง มาจากตระกูลปัญญาชน ไม่มีความคิดที่จะสอบเคอจวี่ มุ่งมั่นอยู่แต่กับมรรคา เคยเป็นตูเจี่ยง (ผู้ช่วยอาจารย์ที่สอนหนังสือ) ให้กับอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งในพื้นที่ของเฉียนโจว สงครามครั้งนั้นทำให้อารามเต๋าถูกทำลายภายในค่ำคืนเดียว หลังจากสงครามผ่านพ้นเขาอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือ รอกระทั่งเขาได้อ่านรายงานฉบับนั้นถึงมุ่งมั่นอยากมาฝึกตนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับไม่ใช่พวกคนที่ชอบฉวยโอกาสเอาเปรียบใคร ไม่ใช่ว่าอยากจะใช้ภูเขาลั่วพั่วเป็นทางลัดในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แค่รู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มแห่งแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือวีรบุรุษที่เลิศล้ำยอดเยี่ยม จึงคิดอยากจะขอความรู้ด้านมรรคกถากับเจ้าขุนเขาเฉินที่ทั้งเวทกระบี่ วิชาหมัด ความรู้และวิชาสายยันต์ล้วนเข้าขั้นชำนาญถึงจุดสุดยอด”
เฉินผิงอันนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับเซียนเว่ยครั้งแรกในเมืองหลวงต้าหลี ต่อให้ไม่พูดถึงสถานะอีกชั้นหนึ่งของเซียนเว่ย แม้แต่คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างตนก็ยังเกือบจะถูกคำพูดเหลวไหลของอีกฝ่ายสยบเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมได้ในฉับพลัน จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “หากไม่ใช่คนใสซื่อก็ไม่มีทางถูกเซียนเว่ยหลอกได้หรอก”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงอยากจะให้ข้ายอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยายสินะ”?
เว่ยป้อตอบไม่ตรงคำถาม “นักพรตผู้นี้คล้ายจะมีสติปัญญามาตั้งแต่เกิด มีชื่อว่าหลินเฟยจิง”
การที่เฉินผิงอันผ่านหน้าประตูบ้านตัวเองแต่ไม่เข้าไป คำที่บอกว่ายิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งขลาดกลัวก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงเพราะไม่ต้องการให้ชิงถงได้พบเจอกับคนเฝ้าประตูคนใหม่ที่มีฉายาว่าเซียนเว่ยเร็วเกินไปนัก
เพียงแต่ว่าพอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนใจ ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ชิงถงมองลมปราณของภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นรอกระทั่งชิงถงได้เห็นนักพรตเซียนเว่ยที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาแล้ว
ชิงถงจึงตกใจยิ่งกว่าตอนที่ได้พบอาจารย์ผู้เฒ่าในป๋ายอวี้จิงจำลองมากนัก
เห็นเพียงว่าตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วมีคนผู้หนึ่งปักปิ่นเต๋าชิ้นหนึ่ง
ชิงถงหน้าขาวซีดในชั่วพริบตา ยกมือหยิบหมวกคลุมใบหน้าขึ้นมาปิดบังโฉมหน้าอีกครั้งเงียบๆ
นี่ก็คือรากฐานที่แท้จริงของภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?
‘นักพรต’ คนแรกของโลกมนุษย์
หนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้าของยุคบรรพกาล!
ตรงหน้าประตูของขุนเขากลาง
สีเขียวขจีเต็มขุนเขาไล่ระดับจากบนลงล่าง ประหนึ่งสายน้ำที่ไหลจากด้านบนลงสู่ตีนเขา
เวลานี้จิตแห่งมรรคาที่ตุ้มๆ ต่อมๆ ของชิงถงเริ่มค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติได้แล้ว จึงใช้เสียงในใจเอ่ยสัพยอกว่า “มิน่าเล่าในชื่อของซานจวินผู้นี้ถึงได้มีคำว่าชิง (เขียว)”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จิ้นซานจวินไม่ใช่คนที่ชอบพูดล้อเล่น อีกเดี๋ยวเจ้าก็ฟังให้มากพูดให้น้อย”
ในลานประกอบพิธีกรรมที่ถูกอำพรางอยู่ใกล้กับศาลบนยอดเขา เห็นซานจวินจิ้นชิงแห่งขุนเขากลางเปิดประตูต้อนรับแขก เฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ทางฝั่งของภูเขาเซียนตูที่เป็นสำนักเบื้องล่างมีผู้ถวายงานไม่บันทึกชื่ออยู่สองคนคือเส้าพอเซียนและสาวใช้เหมิงหลง อีกเดี๋ยวพวกเขาจะได้ก่อตั้งแคว้นในอาณาเขตของลำคลองหลินเหอภาคกลางของใบถงทวีป แซ่แคว้นคือตู๋กู แต่สตรีจะตั้งตนเป็นกษัตริย์ เส้าพอเซียนที่เป็นรัชทายาทแคว้นล่มสลายจะไม่ใช้ชื่อจริงซึ่งเป็นชื่อเดิม แต่จะรับหน้าที่เป็นราชครู บุตรสาวคนโตของเจ้าขุนเขาเฉิง อู๋อี้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยางจะใช้สถานะที่คล้ายคลึงกับเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น ในเมื่อเรื่องนี้ข้าเป็นคนที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีทางทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านแน่”
ไม่ผิดไปจากที่คาดแม้แต่น้อย ซานจวินใหญ่ท่านนี้หันหน้าไปทางทิศใต้แล้วประสานมือคารวะอีกครั้ง
จิ้นชิงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่ได้พูดอะไร”
เดิมทีปมในใจนี้คือเงื่อนตายอย่างหนึ่งที่อยู่ระหว่างสกุลซ่งต้าหลีกับจิ้นชิงแห่งขุนเขากลาง
ในฐานะซานจวินของมหาบรรพต จิ้นชิงนั้นสามารถถือว่าเป็นคนเก่าแก่ของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่สำคัญที่สุดอย่างที่ไม่มีหนึ่งใน
ดังนั้นธูปทางใจดอกนี้ของจิ้นชิงจะมีความจริงใจอย่างถึงที่สุด เพราะถือว่าได้ทำให้ความปรารถนาของเขากลายมาเป็นความจริงแล้ว
หากหลังจบเรื่องฮ่องเต้ต้าหลีซักไซ้ตำหนิ หนึ่งคือจิ้นชิงไม่คิดอะไรมาก ไม่เห็นเป็นสำคัญ เพราะไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ล้ำเส้นอะไร เพราะถึงอย่างไรกระทั่งถึงทุกวันนี้จิ้นชิงก็ยังไม่เคยติดต่อกับ ‘เส้าพอเซียน’ มาก่อน อีกอย่างจิ้นชิงก็ไม่ค่อยกังวลถึงภัยร้ายที่อาจทิ้งไว้ในภายหลัง เพราะถึงอย่างไรการค้าครั้งนี้ก็ทำกับเฉินผิงอัน แน่จริงราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าก็ไปหาเรื่องอิ่นกวานเอาสิ?
แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยและความใจกว้างของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้
เพราะถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปจิ้นชิงก็จะสามารถตั้งใจเป็นซานจวินขุนเขากลางของราชวงศ์ต้าหลีได้อย่างเต็มที่แล้ว
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่คนเป็นราชครูของแคว้นหนึ่งเท่านั้นถึงจะทำ อีกทั้งยังสามารถทำได้สำเร็จ
จิ้นชิงลูบคลำชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าขุนเขาเฉินก็จะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว น่าเสียดายที่มีภาระหน้าที่ติดตัว ติดขัดที่สถานะ ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจไปร่วมแสดงความยินดีได้ เรื่องของของขวัญแสดงความยินดี…คงได้แต่ถ่วงเวลาไว้ก่อนสักหลายวัน”
เพราะจิ้นชิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในความฝันของอีกฝ่าย
คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยิ้มกล่าวว่า “จิ้นซานจวินแค่เพ่งสมาธินิมิตดูสักครู่ ของขวัญแสดงความยินดีที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วชิ้นนั้นก็จะเปลี่ยนจากภาพมายามาเป็นของจริงได้”
จิ้นชิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็สามารถหยิบแบบคัดตัวอักษรเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อได้จริงดังคาด คือตำรารวบรวมตัวอักษรแกะสลักหน้าผาขนาดใหญ่ของขุนเขากลาง มีมากถึงสองพันกว่าบท คือตำราหายากที่ต้นฉบับเดิมได้หายสาบสูญไปนานแล้ว
จิ้นชิงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เหลือแค่เล่มนี้เล่มเดียวแล้ว โปรดเก็บรักษาให้ดี”
โดยทั่วไปแล้วแบบคัดตัวอักษร ส่วนใหญ่จะมอบให้กันระหว่างปัญญาชนล่างภูเขา สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วกลับมองคล้ายของขวัญเบาน้ำใจหนักมากกว่า
แต่เฉินผิงอันกลับรับแบบคัดตัวอักษรเล่มหนานี้มาด้วยท่าทางจริงจัง
เพราะสำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้ว นี่ก็คือการส่งถ่านท่ามกลางหิมะอย่างจริงแท้แน่นอน
บนเส้นทางการของการหลอมตัวอักษร เขาต้องการของสิ่งนี้อย่างเร่งด่วน
นี่ก็เหมือนกรอบป้ายสี่กรอบที่บ้านเกิดเรียกภาษาบ้านๆ ว่าซุ้มก้ามปูแห่งนั้น หลังจากที่ปีนั้นถูกขุนนางของกรมพิธีการคัดลอกไปหลายครั้งเข้าก็ค่อยๆ สูญเสียจิงชี่เสินไป เนื่องจากท่วงทำนองมรรคาอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนแฝงอยู่ในตัวอักษรพวกนี้ได้ถูกถ่ายโอนเข้าไปในฉบับคัดลอกทั้งหลายอย่างเงียบเชียบแล้ว มองดูเหมือนตัวอักษรบนกรอบป้ายชองซุ้มก้ามปูจะยังคงเดิม แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนแล้วกลับเป็นดั่ง ‘คนผมขาวไร้เรี่ยวแรง’ ไปแล้ว
หากตัวอักษรพวกนี้ถูกดึงมาจากตำราที่จัดพิมพ์ตามร้านหนังสือของหมู่ชาวบ้าน จากนั้นเอามาหลอมเป็นตัวอักษร ตัวอักษรที่หลอมออกมาได้กลับจะมีระดับขั้นต่ำ เป็นวิธีที่ย่ำแย่ที่สุด วิธีการหลอมตัวอักษรที่ดีที่สุด แน่นอนว่าควรดึงเอามาจากวัสดุพิเศษที่บ้างก็ใช้การบันทึก บ้างก็ใช้การแกะสลัก อย่างเช่นพวกกฎทองคำและข้อบัญญัติหยก บทคำเขียวคำบูชาของลัทธิเต๋าที่เป็น ‘วิชาไม่แพร่งพราย’ รวมไปถึงตำราที่เขียนด้วยลายมือของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ บันทึกและคัมภีร์ที่มีคำอธิบายประกอบซึ่งเขียนด้วยลายมือของมังกรคชสารหรือภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธ เพียงแต่ว่าตัวอักษรพวกนี้ได้แต่พบเจอมิอาจได้มาครอบครอง หากเอามาหลอมเป็นตัวอักษร นั่นจะเป็นความเสียหายบนมหามรรคาอย่างหนึ่งที่มิอาจชดเชยแก้ไขได้ ยกตัวอย่างเช่นคาถาขอฝนของลำคลองม่ายเหอบทนั้น เนื่องจากเป็นผลงานจริง ก็เท่ากับว่าเป็นน้ำของต้นกำเนิด หากเฉินผิงอันเอามันมาหลอมก็จะกลายมาเป็นบทความที่ไม่สมบูรณ์แบบ จะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้าย การไหลหายไปของโชคชะตาที่มากจนมิอาจประมาณการณ์ได้ ถึงขั้นที่ว่าจะชักนำให้ผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกคาถาเซียนบทนี้ในอนาคตเจอกับอุปสรรคขัดขวาง ตัวอักษรในใจจะยิ่งพร่าเลือน มิอาจพิสูจน์มรรคาได้อย่างแท้จริง เหมือนกับคนธรรมดาที่ตอนอ่านหนังสือแล้วบางครั้งค้นพบว่าตัวเองถึงกับไม่รู้จักตัวอักษรบางตัว
ทว่าตัวอักษรของแบบคัดลอกเล่มนี้กลับอยู่ตรงกลางระหว่างสองอย่างนี้พอดี
ส่วนการ ‘ยืมตัวอักษรสามแสนคำ’ จากตำราเก่าใหม่ของสองชายฝั่งระหว่างชีหลี่หลงกับแม่น้ำเฉียนถังของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ก็ได้แค่อาศัยจำนวนมาเอาชนะเท่านั้นจริงๆ
ตัวอักษรในบทกวีมีใช้ซ้ำกันอยู่หลายคำ แต่คำซ้ำซ้อนประเภทนี้ก็สามารถเอามาหลอมเป็นตัวอักษรตัวหนึ่งได้เหมือนกัน ก็เหมือนกับการตีเหล็ก ยิ่งนานก็ยิ่งหนักแน่นมั่นคง ระดับความหนาแน่นก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ยิ่งจำนวนที่ทับซ้อนมีมากเท่าไร ตัวอักษรนั้นก็จะยิ่งมีน้ำหนักมากเท่านั้น ท่วงทำนองที่ซุกซ่อนอยู่ภายในก็จะยิ่งหนัก
ส่วนกล่องกระบี่ใบที่อู๋อี้มอบให้ได้รองรับตัวอักษรอักขระโองการไว้หกสิบกว่าคำ ถือเป็นสถานการณ์อย่างแรกที่ ‘ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง’ แล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนี้อาจจะทำให้กลิ่นอายมรรคาของขุนเขากลางเสียหายได้”
จิ้นชิงหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาคืนมาให้ข้า?”
ซานจวินท่านนี้ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยว่า ‘พอได้ผลประโยชน์ที่ต้องการแล้วก็อย่ามาทำท่าว่าไม่อยากได้หน่อยเลย’ เท่านั้นเอง
เฉินผิงอันให้คำรับรองว่า “นอกจากการค้าขายแล้ว รอให้วันหน้าข้ามีเวลาว่างจะต้องตอบแทนขุนเขากลางแน่”
จิ้นชิงเอ่ยทีเล่นทีจริง “วันหน้า? ไยต้องรอวันหน้า วันนี้ใต้เท้าอิ่นกวานสามารถเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของขุนเขากลางได้เลยนะ ขอแค่พยักหน้าตอบตกลง ข้าก็จะให้ทางฝั่งกองมรรยาทเขียนรายงานข่าวขุนเขาสายน้ำที่ใช้ถ้อยคำไพเราะสละสลวยแล้วประกาศออกไปทันที”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ปฏิเสธเรื่องนี้ไปอย่างละมุนละม่อม หากว่าตอบตกลงเป็นเค่อชิงของขุนเขากลางจริง เว่ยซานจวินจะไม่เต้นผางด่าคนเลยหรือ?
ตั้งแต่ต้นจนจบจิ้นชิงไม่ได้ถามเฉินผิงอันว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ข้างกายคือใคร
เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “สำนักกระบี่หวงซานยังไม่จัดงานพิธีเปิดขุนเขาอีกหรือ?”
จิ้นชิงกล่าว “ภูเขาตะวันเที่ยงถูกพวกเจ้าทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อกันไปแล้ว ไหนเลยจะกล้าพูดถึง ‘สำนักเบื้องล่าง’ อะไรอีก จึงหาบันไดลงให้กับตัวเองด้วยการเปลี่ยนอักษรคำว่าสำนักเป็นคำว่าพรรค ตั้งชื่อว่าพรรคกระบี่หวงซาน ดูจากท่าทางคงถอดใจอย่างสิ้นเชิง ไม่คิดว่าจะมีโอกาสสร้างสำนักเบื้องล่างอะไรอีกแล้ว ส่วนวันเฉลิมฉลอง ตอนแรกตั้งไว้ที่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เลือกวันฤกษ์งามยามดีไว้วันหนึ่ง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ อย่างเร็วสุดก็น่าจะเป็นปลายปีของปีหน้าแล้ว”
ไม่พูดถึงเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางที่จับมือกันไปถามกระบี่ พูดถึงแค่เซียนกระบี่หมี่อวี้ที่สถานะเป็นดั่งน้ำลดหินผุด กับปรมาจารย์หญิงเผยเฉียน สำหรับผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงแล้วก็คือภูเขาใหญ่สองลูกที่มิอาจข้ามผ่านไปได้แล้ว
ภูเขาเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยงที่ถูกจู๋หวงตั้งชื่อให้ว่า ‘พรรคกระบี่หวงซาน’ หยวนป๋ายผู้ฝึกกระบี่หนึ่งใน ‘หยกคู่’ ของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจหลุดพ้นทำเนียบของภูเขาตะวันเที่ยงไปได้ ไม่ได้รับหน้าที่เป็นเค่อชิงของขุนเขากลาง แต่ก็ได้กลับคืนมาตุภูมิเดิมอีกครั้ง รับหน้าที่เป็นเจ้าประมุขคนแรกของพรรคกระบี่หวงซาน ส่วนหนีเยว่หรงผู้ฝึกตนหญิงแห่งยอดเขาชิงอู้ก็เท่ากับว่าได้กระโดดข้ามบันไดติดต่อกันหลายขั้น เปลี่ยนจากเถ้าแก่ของหอกว้ออวิ๋นมาเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของ ‘ภูเขาเบื้องล่าง’ ของภูเขาตะวันเที่ยง
เฉินผิงอันกล่าว “ยังคงคิดไปเองอยู่เหมือนเดิม ก็ดี วันหน้ารอให้เรื่องดีๆ มาเยือนก็จะมีความปลาบปลื้มยินดีเพิ่มมาได้หลายส่วนเองนั่นแหละ”
แรกเริ่มภูเขาตะวันเที่ยงคิดว่าสำนักเบื้องล่างคือของในกระเป๋า จะได้กลายเป็นสำนักแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปที่ได้ครอบครองสำนักเบื้องล่าง มีภาพบรรยากาศทำนองว่า ‘หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร’
ทุกวันนี้รู้สึกว่าเรื่องของสำนักเบื้องล่างถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำตามความหมายบนตัวอักษร แต่กลับไม่รู้ว่าราชสำนักต้าหลีมีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว พรรคกระบี่หวงซาน ต่อให้ภูเขาตะวันเที่ยงและจู๋หวงไม่ทำอะไรสักอย่างก็ยังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องได้เลื่อนเป็นสำนักอักษรจงอยู่ดี
จิ้นชิงยิ้มเอ่ย “นี่ถือเป็นดั่งคำกล่าวว่าสวรรค์ไม่ตัดทางเดินของคนหรือไม่?”
บนภูเขาและวงการขุนนางภูเขาสายน้ำทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ต่างก็ชอบรอดูเรื่องตลกของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก
และประโยคที่เอ่ยโดยไม่ได้เจตนาของซานจวินแห่งขุนเขากลาง อันที่จริงเมื่อชิงถงได้ฟังกลับมีนัยให้ขบคิดอย่างมาก รสชาตินั้นยังค้างคาให้ขบคิดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เฉินผิงอันหัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแค่ย้อนถามว่า “หลังจากกลายมาเป็นสำนักกระบี่หวงซาน อิงตามกฎเดิมของศาลบุ๋นก็จำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนัก ถ้าอย่างนั้นหยวนป๋ายก็ไม่อาจเป็นเจ้าสำนักได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไรต่อ? จะย้อนกลับไปที่ภูเขาตะวันเที่ยงอีกครั้งหรือว่าจะมาเป็นเค่อชิงอยู่กับจิ้นซานจวิน?”
จิ้นชิงเอ่ยว่า “นี่ก็ยังต้องดูที่ความต้องการของตัวหยวนป๋ายเอง ไปอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงก็คือไปใช้ชีวิตพักผ่อนในช่วงบั้นปลาย อาจยังต้องถูกศาลบรรพจารย์เกณฑ์ตัวให้มาเข้าร่วมการประชุมอยู่เป็นระยะ ด้วยนิสัยของหยวนป๋าย เปลี่ยนใจไปแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่น่าจะมาฝึกตนอยู่ที่จวนซานจวินของข้าแล้ว เกินครึ่งน่าจะเลือกอยู่ต่อที่สำนักเบื้องล่างกระมัง ไม่มีตำแหน่งขุนนางไม่มีภาระหน้าที่ก็ตัวเบา”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนจิ้นซานจวินบอกกล่าวกับหยวนป๋ายสักคำว่า สำนักกระบี่ชิงผิงแห่งภูเขาเซียนตู สำนักกระบี่แห่งแรกของใบถงทวีป กำลังตั้งตารอคอยอยู่ ยินดีต้อนรับให้มาเยือนอยู่เสมอ”
จิ้นชิงหัวเราะเสียงดังกังวาน “นี่ใต้เท้าอิ่นกวานจะมาขุดมุมกำแพงบ้านคนอื่นหรือ?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ซานจวินต้องบอกเรื่องนี้ให้หยวนป๋ายทราบด้วย ทางที่ดีที่สุดคือช่วยโน้มน้าวเขาให้ด้วย”
จิ้นชิงประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย “เจ้าให้ความสำคัญกับหยวนป๋ายขนาดนี้เชียวหรือ?”
หยวนป๋ายเดินมาถึงปลายทางของเส้นทางหัวขาดแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนอีก ไม่มีวาสนากับคำว่าเซียนกระบี่อย่างสิ้นเชิง นี่แทบจะเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว
หากจะพูดถึงสำนักทั่วไป ต่อให้เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีผู้มากพรสวรรค์อยู่มากมาย แน่นอนว่ายังยินดีที่จะเคารพนับถือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มหามรรคาหยุดชะงักมิอาจเดินหน้าได้ต่อ
แต่สำหรับเฉินผิงอันที่ได้ครอบครองยศ ‘อิ่นกวาน’ แล้ว อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น มีผู้ฝึกกระบี่แบบใดบ้างที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน?
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่มีสูงมีต่ำ มีเพียงคำว่าบริสุทธิ์เท่านั้นที่ไม่แบ่งสูงต่ำ”
จิ้นชิงกล่าว “รอให้เรื่องบางเรื่องสำเร็จได้จริงเมื่อไหร่ ข้าจะนำความไปบอกให้ ให้หยวนป๋ายตัดสินใจเองว่าจะไปฝึกตนอยู่ที่ไหน”
ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากสถานประกอบพิธีกรรมของจิ้นชิง ได้มอบพัดพับไผ่เขียวด้ามหนึ่งให้กับเขา ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือว่าสำคัญอะไร”
จิ้นชิงรับพัดพับเล่มนั้นมา พอมาอยู่ในมือก็รู้ทันทีว่า ‘ไม่ถือว่าสำคัญ’ อย่างที่บอกจริงๆ จึงยิ้มเอ่ยประโยคตามมารยาทว่า “รับรองแขกได้ไม่ดีพอ โปรดให้อภัยด้วย”
รอกระทั่งเฉินผิงอันกับผู้ติดตามออกไปจากอาณาเขตขุนเขากลางแล้ว จิ้นชิงก็คลี่พัดพับออก หน้าพัดมีตัวอักษรเป็นประโยคว่า
พันภูเขาครองบรรพต ร้อยวารีรวมเป็นหนึ่ง ประตูแคว้นโอฬาร เทพจวี้หลิงพิทักษ์ขุนเขา กระบี่ฟาดน้ำค้างแข็ง หมื่นปีบ่มเพาะเหล่าวีรชนผู้โดดเด่น
เรียนรู้จากปรมาจารย์ เส้นลมปราณแห่งมนุษย์ จิตวิญญาณแห่งแคว้น ความกล้าหาญแห่งผู้ทรงธรรม ใช้เรือนกักกันโชคลาภ ตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง ทุ่มเทสุดชีวิตและจิตใจ
——